- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 16 February 2018 16:21
- Hits: 1434
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ ลดความกังวลเรื่องดอกเบี้ยสหรัฐฯ”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
เรามองว่าตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวในแดนบวกได้ในลักษณะเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยปัจจัยความกังวลต่างๆทั้งเรื่องการเร่งปรับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯและบอนด์ยีลด์ได้น้อยลงไป อีกทั้งราคาน้ำมันยังปรับตัวขึ้นในระดับสูง โดยเราให้กรอบของวันที่ระดับ 1,810 จุด .... ดัชนี PPI สหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น, ดอลลาร์ต่ำ ตามลำดับ, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสหรัฐฯทรงตัว, และราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวขึ้นสูง .... ส่วนปัจจัยในประเทศได้แก่ การขายหน่วยลงทุน ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ 4.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะล่าช้าออกไปถึงกลางปีนี้
กลยุทธ์การลงทุน:
เรามีความเห็นเช่นเดียวกับวันก่อน โดยคาดว่าตลาดจะปรับตัวขึ้นในวันนี้ จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าเก็งกำไรระหว่างวัน การเข้าเก็งกำไรระหว่างวัน ยังคงเน้นหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ, หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และด้วยมุมมองที่ว่าค่าเงินดอลลาร์จะอยู่ในระดับต่ำต่อไป จะส่งผลให้คาดการณ์ราคา commodity ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้เรากลับมาแนะนำหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ commodity.... โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ PTT*, PTTEP*, BANPU*, TOP*, CPALL
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: ATP30*, HUMAN
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) PTT*/ PTTEP*:
ราคาหุ้นของ PTT, PTTEP ในช่วงก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงไปมากก่อนหน้านี้ โดยเรามองว่าราคาน้ำมันดิบมีโอกาสยืนเหนือ 60 ดอลลาร์/บาร์เรลต่อไปได้ จากแรงหนุนสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าคาดและค่าเงินดอลลาร์ที่ยังคงอ่อนค่าลง
(+) BANPU*:
ปริมาณการซื้อขาย BANPU เพิ่มขึ้นมากในช่วงวานนี้ ในเชิงกลยุทธเรามองว่าราคาหุ้นมีโอกาสเดินหน้าต่อจากราคาถ่านหินที่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 104 ดอลลาร์/ตัน -0.2% MTD แต่ +3.3% QTD และคาดว่ายังสูงต่อเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์อ่อน ในขณะที่คดีหงสาจะมีการนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 6 มี.ค. นี้
(+) TOP*:
TOP เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ได้ผลบวกจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น และค่าการกลั่นยังทรงตัวในระดับสูงที่ 6.5 เหรียญ/บาร์เรล (เท่ากับช่วง4Q17) อีกทั้งผลประกอบการช่วง 4Q17 ยังอยู่ในระดับสูงที่ 6,926 ล้านบาท สูงกว่าที่ตลาดคาดประมาณ 4%
(+) CPALL:
เรายังชอบกลุ่มที่ผลประกอบการอิงกับปัจจัยในประเทศ หรือ domestic play อีกทั้งเรายังคาดกำไรสุทธิ 4Q17 อยู่ในระดับสูงที่ 5.3 พันล้านบาท +23.5% YoY และ +6.8% QoQ …. ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 8600 บาท
หุ้นมีประเด็น
(0) STEC: ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุด อนาคตยังมีโครงการต่างๆ รองรับสูง
จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (15 ก.พ.2018) เรามีมุมมองต่อการดำเนินงานในอนาคตที่ดีขึ้น ภายหลังจากผลการดำเนินงานในปี 2017 ที่ขาดทุน โดยผลขาดทุนนี้มีสาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองจำนวน 2,972 ล้านบาท เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายแรงงาน และวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างที่ล่าช้ากว่ากำหนดของโครงการก่อสร้างรัฐสภา และสนามบินภูเก็ตเป็นหลัก ส่งผลให้เราว่าผลการดำเนินงานในอนาคตจะได้รับแรงกดดันน้อยลงจากโครงการเหล่านี้ นอกจากนี้ เรามองว่าปี 2018 บริษัทจะกลับมาดีขึ้นจาก Backlog โครงการต่างๆ มูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท จากโครงการรถไฟฟ้าสีส้ม (ความสำเร็จของโครงการเร็วกว่าคาด), เหลือง และชมพู (คาดเริ่มดำเนินงาน 2Q18) โดยบริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินงานหลักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ปี 2018 อยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท) แต่จากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และชมพูที่ไม่ครบปี เรามองว่าอัตรากำไรสุทธิปี 2018 จะลดลงอยู่ที่ประมาณ 6-7% ก่อนที่จะกลับมาสู่ระดับปกติในปี 2019 ที่ 8%
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) DDD (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 125 บาท)
DDD ได้ร่วมมือกับ Sino-Pacific เพื่อกระจายสินค้าประเภทซองไปยังร้าน Traditional trade ทั่วประเทศกว่า 440,000 ร้านค้า จากเดิม 1,300 ร้านค้า เรามีมุมมองเชิงบวกกับการร่วมมือในครั้งนี้ เรามองว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าของ DDD ส่งผลให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่ม Mass market ได้มากขึ้น โดยราคาผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายจะอยู่ที่ 39 บาท เราคาดว่า DDD จะมีรายได้ในประเทศจาก Traditional trade เพิ่มขึ้นอีก 858 ล้านบาท (อิงสมมติฐาน ยอดขาย 5 ซองต่อเดือนต่อร้านค้า) ทั้งนี้เรายังไม่ได้รวมรายได้จากจุดจำหน่ายนี้ในการประเมินราคาหุ้น สำหรับปี 2018 เราคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 622 ล้านบาท เพิ่ม 78%YoY ส่งผล Domestic spending sentiment ที่ฟื้นตัว,การออกผลิตภัณฑ์ใหม่และการรุกขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 125 บาท
“ ลดความกังวลเรื่องดอกเบี้ยสหรัฐฯ”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
เรามองว่าตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวในแดนบวกได้ในลักษณะเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยปัจจัยความกังวลต่างๆทั้งเรื่องการเร่งปรับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯและบอนด์ยีลด์ได้น้อยลงไป อีกทั้งราคาน้ำมันยังปรับตัวขึ้นในระดับสูง โดยเราให้กรอบของวันที่ระดับ 1,810 จุด .... ดัชนี PPI สหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น, ดอลลาร์ต่ำ ตามลำดับ, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสหรัฐฯทรงตัว, และราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวขึ้นสูง .... ส่วนปัจจัยในประเทศได้แก่ การขายหน่วยลงทุน ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ 4.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะล่าช้าออกไปถึงกลางปีนี้
กลยุทธ์การลงทุน:
เรามีความเห็นเช่นเดียวกับวันก่อน โดยคาดว่าตลาดจะปรับตัวขึ้นในวันนี้ จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าเก็งกำไรระหว่างวัน การเข้าเก็งกำไรระหว่างวัน ยังคงเน้นหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ, หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และด้วยมุมมองที่ว่าค่าเงินดอลลาร์จะอยู่ในระดับต่ำต่อไป จะส่งผลให้คาดการณ์ราคา commodity ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้เรากลับมาแนะนำหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ commodity.... โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ PTT*, PTTEP*, BANPU*, TOP*, CPALL
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: ATP30*, HUMAN
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) PTT*/ PTTEP*:
ราคาหุ้นของ PTT, PTTEP ในช่วงก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงไปมากก่อนหน้านี้ โดยเรามองว่าราคาน้ำมันดิบมีโอกาสยืนเหนือ 60 ดอลลาร์/บาร์เรลต่อไปได้ จากแรงหนุนสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าคาดและค่าเงินดอลลาร์ที่ยังคงอ่อนค่าลง
(+) BANPU*:
ปริมาณการซื้อขาย BANPU เพิ่มขึ้นมากในช่วงวานนี้ ในเชิงกลยุทธเรามองว่าราคาหุ้นมีโอกาสเดินหน้าต่อจากราคาถ่านหินที่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 104 ดอลลาร์/ตัน -0.2% MTD แต่ +3.3% QTD และคาดว่ายังสูงต่อเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์อ่อน ในขณะที่คดีหงสาจะมีการนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 6 มี.ค. นี้
(+) TOP*:
TOP เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ได้ผลบวกจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น และค่าการกลั่นยังทรงตัวในระดับสูงที่ 6.5 เหรียญ/บาร์เรล (เท่ากับช่วง4Q17) อีกทั้งผลประกอบการช่วง 4Q17 ยังอยู่ในระดับสูงที่ 6,926 ล้านบาท สูงกว่าที่ตลาดคาดประมาณ 4%
(+) CPALL:
เรายังชอบกลุ่มที่ผลประกอบการอิงกับปัจจัยในประเทศ หรือ domestic play อีกทั้งเรายังคาดกำไรสุทธิ 4Q17 อยู่ในระดับสูงที่ 5.3 พันล้านบาท +23.5% YoY และ +6.8% QoQ …. ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 8600 บาท
หุ้นมีประเด็น
(0) STEC: ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุด อนาคตยังมีโครงการต่างๆ รองรับสูง
จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (15 ก.พ.2018) เรามีมุมมองต่อการดำเนินงานในอนาคตที่ดีขึ้น ภายหลังจากผลการดำเนินงานในปี 2017 ที่ขาดทุน โดยผลขาดทุนนี้มีสาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองจำนวน 2,972 ล้านบาท เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายแรงงาน และวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างที่ล่าช้ากว่ากำหนดของโครงการก่อสร้างรัฐสภา และสนามบินภูเก็ตเป็นหลัก ส่งผลให้เราว่าผลการดำเนินงานในอนาคตจะได้รับแรงกดดันน้อยลงจากโครงการเหล่านี้ นอกจากนี้ เรามองว่าปี 2018 บริษัทจะกลับมาดีขึ้นจาก Backlog โครงการต่างๆ มูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท จากโครงการรถไฟฟ้าสีส้ม (ความสำเร็จของโครงการเร็วกว่าคาด), เหลือง และชมพู (คาดเริ่มดำเนินงาน 2Q18) โดยบริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินงานหลักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ปี 2018 อยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท) แต่จากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และชมพูที่ไม่ครบปี เรามองว่าอัตรากำไรสุทธิปี 2018 จะลดลงอยู่ที่ประมาณ 6-7% ก่อนที่จะกลับมาสู่ระดับปกติในปี 2019 ที่ 8%
บทวิเคราะห์วันนี้
(+) DDD (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 125 บาท)
DDD ได้ร่วมมือกับ Sino-Pacific เพื่อกระจายสินค้าประเภทซองไปยังร้าน Traditional trade ทั่วประเทศกว่า 440,000 ร้านค้า จากเดิม 1,300 ร้านค้า เรามีมุมมองเชิงบวกกับการร่วมมือในครั้งนี้ เรามองว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าของ DDD ส่งผลให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่ม Mass market ได้มากขึ้น โดยราคาผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายจะอยู่ที่ 39 บาท เราคาดว่า DDD จะมีรายได้ในประเทศจาก Traditional trade เพิ่มขึ้นอีก 858 ล้านบาท (อิงสมมติฐาน ยอดขาย 5 ซองต่อเดือนต่อร้านค้า) ทั้งนี้เรายังไม่ได้รวมรายได้จากจุดจำหน่ายนี้ในการประเมินราคาหุ้น สำหรับปี 2018 เราคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 622 ล้านบาท เพิ่ม 78%YoY ส่งผล Domestic spending sentiment ที่ฟื้นตัว,การออกผลิตภัณฑ์ใหม่และการรุกขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 125 บาท
(+) ROBINS (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 79.00 บาท)
รายงานกำไรสุทธิใน 4Q17 ที่ 820 ล้านบาท -18.8% YoY และ+34.1% QoQ ใกล้เคียงที่คาด กำไรปกติเพิ่มขึ้น +14.7%YoY, + 30.2%QoQ จากการเติบโตของรายได้ค่าเช่า ซึ่งมีอัตราการเช่าสูง การลดลงของต้นทุนการเงินและภาษี ขณะที่การเติบโตที่สูง QoQ มาจากการจับจ่ายใช้สอยมีแนวโน้มฟื้นตัว การเข้าสู่ช่วงเทศกาลปลายปี และการกระตุ้นจากภาครัฐ บริษัทจะมีกำไรสุทธิ ในปี 2018 ประมาณ 3.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากการขยายสาขาใหม่และรับรู้รายได้เต็มปีจากสาขาที่เพิ่มในปี 2017 บริษัทมีหนี้สินต่อทุนสุทธิเป็น cash ซึ่งเอื้อต่อการขยายสาขา เราประเมินมูลค่า โดยใช้วิธีส่วนลดกระแสเงินสดของปี 2018 โดยอิง WACC 8.6%, และ Terminal 3% ได้มูลค่าเหมาะสมที่ 79 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ"
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (15 ก.พ.) – ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,800.86 จุด เพิ่มขึ้น 8.77 จุด หรือ +0.49% มูลค่าการซื้อขาย 44,644.85 ล้านบาท ตลาดปรับตัวขึ้นได้ดีในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังประเด็นเรื่องความกังวลต่อการปรับดอกเบี้ยสหรัฐฯเริ่มน้อยลงไป
ปัจจัยต่างประเทศ
(0) ดัชนี PPI สหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น, ดอลลาร์ต่ำ ตามลำดับ – กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พุ่งขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากทรงตัวในเดือนธ.ค. ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.944% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี และ ดอลลาร์ร่วงลงสู่กรอบ 106 เยน แตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน
(0) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสหรัฐฯทรงตัว – สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านทรงตัวที่ระดับ 72 ในเดือนก.พ. ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนม.ค. หลังจากดีดตัวแตะระดับสูงสุดในรอบ 18 ปีในเดือนธ.ค.
(+) ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวขึ้นสูง - สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้น 74 เซนต์ หรือ +1.2% ปิดที่ 61.34 ดอลลาร์/บาร์เรล จากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ อีกทั้งยังได้แรงหนุนต่อเนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด
ปัจจัยในประเทศ
(-) คาดไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ล่าช้า – ปลัดกระทรวงการคลัง ประธานคณะกรรมการจัดตั้งกองทุนรวมไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ เปิดเผยว่า การขายหน่วยลงทุน ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ 4.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะล่าช้าออกไปถึงกลางปีนี้ เนื่องจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สร.กทพ.) ไปยื่นเรื่องอุทธรณ์ศาลปกครอง ทำให้การเดินหน้าขายหน่วยลงทุนมีปัญหา
รายงานกำไรสุทธิใน 4Q17 ที่ 820 ล้านบาท -18.8% YoY และ+34.1% QoQ ใกล้เคียงที่คาด กำไรปกติเพิ่มขึ้น +14.7%YoY, + 30.2%QoQ จากการเติบโตของรายได้ค่าเช่า ซึ่งมีอัตราการเช่าสูง การลดลงของต้นทุนการเงินและภาษี ขณะที่การเติบโตที่สูง QoQ มาจากการจับจ่ายใช้สอยมีแนวโน้มฟื้นตัว การเข้าสู่ช่วงเทศกาลปลายปี และการกระตุ้นจากภาครัฐ บริษัทจะมีกำไรสุทธิ ในปี 2018 ประมาณ 3.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากการขยายสาขาใหม่และรับรู้รายได้เต็มปีจากสาขาที่เพิ่มในปี 2017 บริษัทมีหนี้สินต่อทุนสุทธิเป็น cash ซึ่งเอื้อต่อการขยายสาขา เราประเมินมูลค่า โดยใช้วิธีส่วนลดกระแสเงินสดของปี 2018 โดยอิง WACC 8.6%, และ Terminal 3% ได้มูลค่าเหมาะสมที่ 79 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ"
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (15 ก.พ.) – ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,800.86 จุด เพิ่มขึ้น 8.77 จุด หรือ +0.49% มูลค่าการซื้อขาย 44,644.85 ล้านบาท ตลาดปรับตัวขึ้นได้ดีในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังประเด็นเรื่องความกังวลต่อการปรับดอกเบี้ยสหรัฐฯเริ่มน้อยลงไป
ปัจจัยต่างประเทศ
(0) ดัชนี PPI สหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น, ดอลลาร์ต่ำ ตามลำดับ – กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พุ่งขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากทรงตัวในเดือนธ.ค. ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.944% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี และ ดอลลาร์ร่วงลงสู่กรอบ 106 เยน แตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน
(0) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสหรัฐฯทรงตัว – สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านทรงตัวที่ระดับ 72 ในเดือนก.พ. ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนม.ค. หลังจากดีดตัวแตะระดับสูงสุดในรอบ 18 ปีในเดือนธ.ค.
(+) ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวขึ้นสูง - สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้น 74 เซนต์ หรือ +1.2% ปิดที่ 61.34 ดอลลาร์/บาร์เรล จากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ อีกทั้งยังได้แรงหนุนต่อเนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด
ปัจจัยในประเทศ
(-) คาดไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ล่าช้า – ปลัดกระทรวงการคลัง ประธานคณะกรรมการจัดตั้งกองทุนรวมไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ เปิดเผยว่า การขายหน่วยลงทุน ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ 4.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะล่าช้าออกไปถึงกลางปีนี้ เนื่องจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สร.กทพ.) ไปยื่นเรื่องอุทธรณ์ศาลปกครอง ทำให้การเดินหน้าขายหน่วยลงทุนมีปัญหา
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
License No: 081447
+662 648 1127
[email protected]
OO5639
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
License No: 081447
+662 648 1127
[email protected]
OO5639