WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

กลยุทธ์วันนี้ Sell into Strength
      ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังไม่ผ่าน 1,570 จุด ปิดที่ 1,568.60 จุด บวกเป็นวันที่ 3 อีก 3.25 จุด มูลค่าการซื้อขาย 41,377 ล้านบาท
      เงินทุนต่างชาติยังไม่ชัดเจน แม้ว่านักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 เพียง 846 ล้านบาท กลับมา Long สุทธิใน SET50 Index Futures เพียง 44 สัญญา แต่กลับมาขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการ 1,823 ล้านบาท
      ทิศทางการลงทุนในวันนี้ MBKET คาดว่า SET INDEX จะแกว่งตัวขึ้นทดสอบและปิดยืนเหนือ 1,570 จุดในวันนี้ ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่แกว่งแคบ รอผลการประชุม ECB ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งต่างคาดการณ์ว่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ออกมา คล้ายกับการออกโครงการ QE ของเฟด
     อย่างไรก็ตาม สัญญาณเสี่ยงภายในตลาดหุ้นไทยเริ่มมีมากขึ้น ดังจะเห็นได้จาก มูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง ไม่เกิน 4.5 หมื่นล้านบาท/วัน หุ้นใน MAI กลับมีมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นติดสูงสุด 20 อันดับแรกในช่วง 4-5 วันทำการที่ผ่านมา อีกทั้งกองทุน Trigger funds เริ่มใกล้แตะระดับเป้าหมายมากขึ้นมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 3.0 พันล้านบาท อาจกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ SET INDEX ผันผวนในช่วงนี้
คืนนี้ติดตามการจ้างงานเอกชนสหรัฐฯ และ รายงาน Beige Book เพื่อประเมินมุมมองต่อโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในกลางปีหน้า
      ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ MBKET แนะนำให้นักลงทุนทยอยขายทำกำไรบริเวณ 1,570 จุดหรือสูงกว่า และถือเงินสดมากขึ้น หากจะมีการเก็งกำไรขอให้จำกัดวงเงินมากขึ้น
กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้น MBKET แนะนำ “เก็งกำไร” AAV

 

Portfolio Top Pick in 3Q14: AAV /AP/ IFEC
HOLD: SPALI/ SAMART/ SPCG/ BLAND/ IFEC/ BTS/ SIM/ MACO/ CK
Speculative buy: AAV

 

Action and Stock of the Day
SET INDEX ยังไม่ผ่าน 1,570 จุด

 

      SET INDEX วันนี้ คาดทดสอบและมีแนวโน้มปิดยืนเหนือ 1,570 จุด แต่มูลค่าการซื้อขายยังคงเบาบาง เป็นสัญญาณความเปราะบางของตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

 

       ดังนั้นกลยุทธ์ ทยอยขายทำกำไรบริเวณ 1,570 จุดหรือสูงกว่า และกลับมาถือเงินสดให้มากขึ้นอีกครั้ง
      ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ ปิดบวกเป็นส่วนใหญ่ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 มีเพียง TAIEX ที่ปิดลบแรง 1.19% dod ขณะที่ตลาดหุ้นกลุ่ม TIP ปิดบวกทุกตลาด
ด้านตลาดหุ้นไทย SET INDEX ยังคงมีความพยายามขยับขึ้นทดสอบ 1,570 จุด ตลอดชั่วโมงการซื้อขาย ผลักดันโดยหุ้นหลักในกลุ่มธนาคาร อย่าง BBL / KBANK รวมถึงหุ้นกลุ่ม PTT ทรงตัวดีขึ้น ทำให้ SET INDEX แกว่งในแดนบวกได้ตลอดชั่วโมงการซื้อขาย ยังไม่ผ่าน 1,570 จุด ปิดที่ 1,568.60 จุด บวกเป็นวันที่ 3 อีก 3.25 จุด มูลค่าการซื้อขาย 41,377 ล้านบาท
กลุ่มที่ปิดบวกมากที่สุดในวานนี้ได้แก่ กลุ่มเหมืองแร่ +5.62%, กลุ่ม Professional +5.15% และกลุ่ม Packaging +1.69% ขณะที่กลุ่มหลัก กลุ่มธนาคาร +0.72% กลุ่มพลังงาน +0.41% และ กลุ่ม ICT -0.07%

 

ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
      ตลาดหุ้นเอเชีย (7.50 น.) เช้านี้ Nikkei เปิดบวก ส่วน Kospi เปิดลบ เช่นเดียวกับวันก่อนหน้า เหมือนกับวันก่อนหน้า ทั้งนี้เงินเยนอ่อนค่าแตะระดับ Yen105/US$ เป็นการเอื้อต่อภาคการส่งออกของญี่ปุ่น
MBKET ปรับมุมมองต่อการลงทุนลงเป็น “กลาง” วันแรกในรอบ 15 วันทำการ จากตลอด 14 วันทำการก่อนหน้ามีมุมมองเป็น “กลางถึงบวก” หลังจาก SET INDEX พยายามไต่ระดับขึ้นทดสอบแนว 1,570 จุดอย่างต่อเนื่อง แต่มูลค่าการซื้อขายเบาบางลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เป็นการส่งสัญญาณถึงความเปราะบาง และความผันผวนต่อการลงทุน ตลาดหุ้นไทยมีมากขึ้น นักลงทุนจึงควรระมัดระวังต่อการลงทุนในช่วงนี้ ด้วยปัจจัยเฉพาะของตลาดหุ้นไทย ได้แก่
       •มูลค่าการซื้อขายที่เบาบางเฉลี่ยไม่ถึง 4.5 หมื่นล้านบาท/วัน แม้ว่าจะผ่านช่วงวันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทยไปแล้วก็ตาม สะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางการลงทุนในช่วงสั้นนี้
•มูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่ กระจุกตัวในหุ้น MAI ดังจะเห็นได้จาก หุ้นใน MAI มีมูลค่าการซื้อขายติด 20 อันดับแรกในแต่ละวัน เป็นสัญญาณเปราะบางที่น่าจับตามองและให้น้ำหนัก
•กองทุน Trigger funds ราว 3-4 กองทุน ใกล้แตะระดับเป้าหมาย มูลค่า NAV รวมไม่ต่ำกว่า 3.0 พันล้านบาท
       อย่างไรก็ตาม Downside risk ของ SET INDEX ในช่วง 1-2 วันนี้ยังเป็นไปอย่างจำกัด เพราะนักลงทุนยังถือพอร์ต รอผลการประชุม ECB ในเย็นวันพรุ่งนี้ ต่อการคาดหวังเชิงบวกที่จะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คล้ายกับ QE ออกมา
อีกทั้งพัฒนาการทางการเมืองภายในประเทศ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ระยะที่ 2 ตามที่คสช.ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ได้แก่
oตารางเวลาด้านรัฐบาล
วันที่ 25 ส.ค. โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
วันที่ 30 ส.ค. นายกฯ พล.เอก ประยุทธ์ นำเสนอชื่อ คณะรัฐมนตรี ขึ้นทูลเกล้าฯ
คาดวันที่ 2-4 ก.ย. นายกฯ และ ครม. เข้าถวายสัตย์ ปฎิญาณ ก่อนเริ่มบริหารประเทศ
คาดสัปดาห์หน้า นายกฯ จะแถลงนโยบายบริหารประเทศ ต่อ สนช.
และครึ่งเดือนหลังของเดือนก.ย. นายกฯ แถลงร่างงบประมาณปี 2558 เพื่อขออนุมัติ จากทางสนช.
กรอบเวลาดังกล่าว สอดคล้องกับ กรอบเวลาที่ คสช. เคยชี้แจงไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งจะทันต่อการเริ่มใช้งบประมาณประจำปี 2558 ในวันที่ 1 ต.ค. 2557
oร่างงบประมาณปี 2558 ได้ผ่านวาระที่ 1 วานนี้ ขั้นตอนถัดไปตั้งคณะกรรมาธิการ เพื่อพิจารณา และนำเสนอต่อสนช. เพื่อพิจารณาวาระที่ 2-3 ตามลำดับ วันที่ 17-18 ก.ย. คาดว่าจะสามารถนำงบประมาณปี 2558 ใช้ได้ทันวันที่ 1 ต.ค.นี้
oการยกเลิกกฎอัยการศึก คาดนายกฯ จะดำเนินการในช่วง 1-2 สัปดาห์ต่อจากนี้ไป ซึ่ง กองทุนบางประเภทถูกจำกัดการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นๆ คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือนก.ย.
oแผน Roadmap ที่สำคัญด้านเศรษฐกิจ
แผนการลงทุน 2.4 ล้านล้านบาทคาดว่าจะเสนอต่อรมว. คมนาคมในวันที่ 4 ก.ย.
แผนปฎิรูปพลังงาน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้นนี้ MBKET เสนอให้นักลงทุน พิจารณาขายทำกำไรบริเวณ 1,570 จุดหรือสูงกว่า และกลับมาถือเงินสดให้มากขึ้นอีกครั้ง หลังสัญญาณความเปราะบาง และความผันผวนของตลาดหุ้นไทย เริ่มมีมากขึ้น นักลงทุนควรปิดความเสี่ยงในช่วงสั้นนี้ เพื่อรอกลับเข้าซื้อเก็งกำไรอีกรอบหากเกิดการปรับฐานในช่วงนี้

 

ปัจจัยสำคัญวันนี้
1.ติดตามการพิจารณาแผนงานด้านเศรษฐกิจที่สำคัญจากนี้ไป
•แผนการลงทุนด้านคมนาคม ในงบประมาณปี 2558 และแผนการลงทุน 8 ปี ของกระทรวงคมนาคม คาดว่า รมว. คมนาคม จะเข้ากระทรวง เพื่อพิจารณาดังกล่าวในวันที่ 4 ต.ค.
•ข้อเสนอการลดหย่อนภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ในปี 2557 มาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อนำเสนอคือ รมว. กระทรวงการคลังในวันที่ 5 ต.ค.
MBKET มีความเห็นเป็นบวกต่อพัฒนาการดังกล่าว และจะส่งผลบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง / วัสดุก่อสร้าง / กลุ่มธนาคาร ในประเด็นแรก ส่วนประเด็นที่ 2 นั้น กลุ่มโรงแรมจะได้รับประโยชน์ทางตรง ขณะที่กลุ่มสายการบินต้นทุนต่ำ จะได้ประโยชน์ทางอ้อม หุ้น Top Pick ได้แก่ CK / KTB / ERW / AAV
2.จับตาหุ้นขนาดเล็กใน MAI: หากมีการเคลื่อนไหวร้อนแรงอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 วันนี้ อาจเป็นสัญญาณเสี่ยงต่อการภาพตลาดหุ้นไทย เพราะเกิดความเปราะบาง และอาจเป็นปัจจัยที่กระตุ้นทางการอาจออกกฎที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
3.สถานการณ์ในยูเครน ยังทรงตัว: แม้ว่า ผู้นำอียู จะมีข้อสรุปร่วมกันที่จะเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจการเงิน และ พลังงาน ของรัสเซีย หากสถานการณ์ในยูเครน ไม่ดีขึ้น แต่ผลกระทบทางอ้อมที่จะตามมาคือ ภาพเศรษฐกิจในอียูเอง เพราะจะต้องเสี่ยงต่อการนำเข้าก๊าซจากแหล่งอื่น ที่ไม่ใช่รัสเซีย ซึ่งจะมีต้นทุนที่สูงกว่า ทำให้ภาพรวมของยูเครน ณ ปัจจุบัน เป็นกลาง เพียงแต่มีแรงกดดันทางการเมืองทั้งจากรัสเซีย และ กลุ่มประเทศพันธมิตรของยูเครน
4.คืนนี้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่
•ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน Bloomberg consensus คาด จ้างงานเพิ่มขึ้น 2.23 แสนตำแหน่ง จากเดือนก่อนหน้าที่จ้างเพิ่มขึ้น 2.18 แสนตำแหน่ง
•รายงาน Beige Book ของเฟด ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญ ต่อการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของเฟด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเห็นต่อการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากปัจจุบันที่ 0.25% จะมีโอกาสขึ้นในกลางปีหน้า อย่างที่ตลาดคาดการณ์หรือไม่

 

วานนี้ วันก่อนหน้า
PER14 PER15 PER14 PER15
SET INDEX 15.88 13.70 15.83 13.66
PSE 20.04 17.33 19.98 17.27
JSE 16.86 14.38 16.75 14.28
KOSPI 10.45 9.10 10.50 9.14

 

AIEX 15.00 14.02 15.23 14.25
Straits Time 14.67 13.53 14.60 13.47
SHCOMP 8.98 7.94 8.87 7.84
ที่มา: Bloomberg

 

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ได้แก่
1.AAV : ราคาปิด 4.72 บาท ราคาเหมาะสม 5.20 บาท
a)MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและสายการบินจะตอบรับเชิงบวก หลังกระทรวงการคลังเตรียมพิจารณามาตรการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมในวันศุกร์นี้ (5 ก.ย.) โดยคาดว่าจะให้นำใบเสร็จค่าใช้จ่ายค่าซื้อแพ็คเกจทัวร์ หรือ ค่าใช้จ่ายห้องพักโรงแรม มาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท ต่อคนต่อปี
b)ดังนั้น เราคาดว่าหากกระทรวงการคลังอนุมัติมาตรการดังกล่าว จะเป็นบวกต่อรายได้ของสายการบินประเภท Low Cost Airline เนื่องจากจะส่งผลให้ปริมาณผู้โดยสารในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีที่เข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจท่องเที่ยว
c)และราคาน้ำมันดิบ NYMEX ที่ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดรอบ 8 เดือน เหลือ US$92.88/barrel เป็น Sentiment บวกต่อหุ้นกลุ่มสายการบิน เนื่องจากจะส่งผลให้ต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นต้นทุนหลักของสายการบินลดลง ใน 3Q57
d)คาดจะเห็นการฟื้นตัวของผลประกอบการในลักษณะ V Shaped ตั้งแต่ 3Q57 เป็นต้นไป และกำไรสุทธิปี 2558 คาดว่าจะเติบโต +240% yoy เป็น 1,671 ล้านบาท เติบโตสูงที่สุดในกลุ่มสายการบิน และราคาหุ้นซื้อขายระดับ PBV 2558 เพียง 0.86 เท่า

 

What will DJIA move tonight? คืนนี้มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ ได้แก่ รายงานการจ้างงานภาคเอกชน และรายงาน Beige Book

 

Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
เงินทุนต่างชาติวานนี้กลับมาขายสุทธิ US$17 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิมากถึง US$425 ล้าน
ตลาดหุ้น วานนี้(US$ ล้าน) วันก่อนหน้า(US$ ล้าน) YTD(US$ ล้าน) 2556(US$ ล้าน)
TAIEX -10.7 278.7 13,253.2 9,188.0
KOSPI n.a 54.2 8,781.9 4,875.1
JSE -19.7 10.9 4,834.1 -1,806.4
PSE -13.0 -8.6 1,290.1 678.4
ตลาดหุ้นเวียดนาม Closed 42.5 262.7 263.2
SET INDEX 26.5 47.1 -671.5 -6,210.5

 

Foreign Investors Action วานนี้
เงินทุนต่างชาติเป็นกลาง
วานนี้ วันก่อนหน้า
ตลาดหุ้น (ล้านบาท) +846 +1,505
SET50 Index Futures (สัญญา) +44 -1,321
SSF (สัญญา) -518 +948
Metal Futures (สัญญา) -204 -79
ตลาดตราสารหนี้ (ล้านบาท) -1,823 +4,329

 

นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 เพียง 846 ล้านบาท รวม 2 วันทำการซื้อสุทธิ 2,351 ล้านบาทเท่านั้น ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิเท่ากับ 23,371 ล้านบาท
ด้านนักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Long สุทธิใน SET50 Index Futures อีกครั้ง 44 สัญญา คาดว่าเป็นการทยอยปิดสถานะ Short ที่เปิดไว้ก่อนหน้า เมื่อ S50U14 ปิดต่ำกว่า SET50 index เพียง 2 จุดเศษ เท่านั้น
Metal Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Short สุทธิเป็นวันที่ 3 อีก 204 สัญญา รวม 3 วันทำการ Short สุทิ 979 สัญญา เมื่อราคาทองคำในตลาดโลกแกว่งในกรอบแคบระหว่าง US$1,280-1,290/ounce ขาดทิศทางที่ชัดเจน
และ ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการ 1,823 ล้านบาท เทียบกับ 6 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 11,279 ล้านบาท กดดันให้ราคาพันธบัตรไทยระยาวราคาปรับตัวลงแรง ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นอีก 1.47bps ปิดที่ 3.577%

Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling เพิ่มเป็น 678 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 410 ล้านบาท
Stock Total Value(mn Bt) % of trading Volume Avg.Price(Bt)
TTA 119.19 8.34% 23.41
TRUE 63.98 7.50% 11.30
LH 33.82 16.97% 10.96
SCC 32.67 9.35% 438.00
KTB 30.36 8.86% 23.61

 

NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5 เป็นที่น่าสนใจว่า กลับมาเน้นซื้อพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมี เด่น
การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้ซื้อสุทธิ อีก 1,478 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,782 ล้านบาท รวม 5 วันทำการซื้อสุทธิ 6,224 ล้านบาท ทั้งนี้กลับมาให้ความสนใจกับกลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมี ซึ่งปรับตัวลงมาแรงช่วงก่อนหน้า สรุปภาพการลงทุนได้ดังต่อไปนี้
1.กลุ่มธนาคาร ถูกซื้อสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 2 อีก 654 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 877 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิ 261 ล้านบาท กลุ่มปิโตรเคมี ซื้อสุทธิ 221 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 454 ล้านบาท กลุ่มอาหาร ซื้อสุทธิ 179 ล้านบาท กลุ่มค้าปลีก ซื้อสุทธิ 148 ล้านบาท และกลุ่ม ICT ซื้อสุทธิ 114 ล้านบาท
2.ด้านกลุ่มอสังหาฯ ถูกขายสุทธิสูงสุดอีกครั้ง แต่ก็เพียง 84 ล้านบาท เท่านั้น

 

ซื้อสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการซื้อขาย ขายสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการขาย
BBL 459.86 31.66 GOLD -92.73 12.57
PTTGC 249.56 22.71 MINT -39.30 14.13
CPF 189.99 21.99 BLA -29.45 17.83
CPALL 164.32 12.24 INTUCH -29.25 7.32
KBANK 156.83 34.47 IVL -28.12 17.19

 

Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA
Strategist / Analyst
662-6586300 x 1440
Padon Vannarat
Equity Analyst
662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham
Assistant Analyst
662-6586300 x 1530
Twitter Channel
http://twitter.com/YipNgenYipTong

 

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

“ขยับฟิวเตอร์ SET ที่ไม่ควรหลุดขึ้นมาเป็น 1560”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ภาพตลาดวันก่อน : ขยับขึ้นต่อ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับขึ้นอีก 3.25 จุด มาปิดที่ 1568.60 โดยมีการเลือกซื้อหุ้นกระจายไปยังกลุ่มต่างๆ แม้ว่าไม่ได้มีข่าวใหม่เข้ามามากนัก แต่โมเมนตัมของตลาดยังอยู่ในแดนบวก นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 789 ล้านบาท พอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิแต่กลุ่มละไม่มาก ส่วนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 983 ล้านบาท

 

ปัจจัยและกลยุทธ์ : Sentiment การลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นกลาง (Neutral) แม้ว่าจะมีความกังวลกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและยูโรโซน รวมถึงสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างยูเครน+พันธมิตรในยุโรป & สหรัฐ กับรัสเซีย แต่ก็ได้รับการชดเชยด้วยตัวเลขภาคการผลิตเดือนส.ค.57 ของสหรัฐที่ออกมาแข็งแกร่งเกินคาด นอกจากนั้นยังมีกระแสคาดการณ์ว่า ECB จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมนโยบายฯในวันที่ 4ก.ย.นี้ ส่วนในประเทศยังมีการเข้าซื้อลงทุนในหุ้นที่คาดการณ์ว่าผลประกอบการ 2H57 จะออกมาสดใส และมีแนวโน้มดีต่อเนื่องในปีหน้า รวมทั้งในช่วงนี้จะมีการเข้ามาเก็งกำไรกับเรื่องราวที่เกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการ, การทำแบคดอร์ลิสติ้งบริษัทจดทะเบียนด้วย สำหรับ Theme การลงทุนในเดือนก.ย.57ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังจะเข้าสู่ High season ของการจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยวใน 4Q จึงเป็น Domestic Spending และ Tourism Play (ดูรายละเอียดได้ใน Wealth Perspective Equity ของเดือนก.ย.57) หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น TMB

 

กลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบหรือการอ่อนตัวที่ต่ำกว่า 1560 จุด ควรชะลอการเก็งกำไร/ลดพอร์ตตามในกรณีที่มีหุ้นมากเหลือเงินสดอยู่น้อย เพราะดัชนีมีโอกาสอ่อนไปยัง 1520 จุดหรือต่ำกว่า ส่วนการปรับขึ้นต่อมีแนวต้านระยะสั้น 1570, 1580 จุด สำหรับหุ้นที่คาดว่าราคามีโอกาสทำ New High เมื่อพิจารณาจากสัญญาณทางเทคนิค คือ HMPRO, THREL, VGI, DELTA, EPCO, TPIPL, SCP, CGD, SITHAI,MFEC, RATCH, GLOW, TMB, SRICHA, IRCP ส่วนหุ้นที่แนะนำและปรับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่น่า Take Profit (สำหรับการลงทุนรอบสั้น) คือ MAJOR,GUNKUL, SVI, LHBANK

 

Fundamental Pick
TMB แนะนำซื้อราคาปิด 3.12 บาท เป้าหมาย–Under Review
* สินเชื่อ 2H57 เติบโตดีขึ้น...เน้น SME เพิ่ม ธนาคารตั้งสำรองค่าเผื่อฯในปี 57-58 น้อยลงหลังจากตั้งสำรองไปมากในช่วงปี 55 ธนาคารมี Room ที่จะขยายรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยเพิ่ม ROE ให้ขึ้นไปเป็น 10% ต้นๆ ในอีก 2 ปีข้างหน้า ทาง DBS คาดกำไรสุทธิปี 57-58เติบโตก้าวกระโดด 38% และ 22% ตามลำดับ ปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นราคาหุ้น (Catalyst) คือการที่กระทรวงการคลังมีโอกาสขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไป โดยปัจจุบันถือหุ้นตามรายงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ เท่ากับ 26% ซึ่งเรามองว่าจะขายในระดับ P/BV ที่สูง เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของ TMB แข็งแกร่ง หลังจากได้ปรับกลยุทธ์และปรับปรุงประสิทธิภาพหลายด้านในช่วงที่ผ่านมา แนะนำซื้อ โดยหากให้ P/BV เท่ากับระดับสูงสุดของธนาคารที่ 2.3 เท่า พบว่าราคาเป้าหมายจะเท่ากับ 3.60 บาท

 

ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ตัวเลขภาคการผลิตเดือนส.ค.ขยายตัวแข็งแกร่งและต่อเนื่อง
* ผลสำรวจของมาร์กิตบ่งชี้ว่ากิจกรรมการผลิตของสหรัฐในเดือนส.ค.ขยายตัวเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.53 โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ เพิ่มขึ้นมาที่ 57.9 ในเดือนส.ค.57 เพิ่มขึ้นจาก 55.8 ในเดือนก.ค.
* สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่าดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 59.0 ในเดือนส.ค. จากระดับ 57.1 ในเดือนก.ค. โดยตัวเลขเดือนล่าสุดนั้นเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.54 และเป็นการขยายตัวเดือนที่ 15 ติดต่อกัน

 

• ตลาดหุ้นสหรัฐ : แกว่งแคบ
* ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 17,067.56 จุด ลดลง 30.89 จุด หรือ -0.18% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,598.19 จุด เพิ่มขึ้น 17.92 จุด หรือ +0.39% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,002.28จุด ลดลง 1.09 จุด หรือ -0.05%...สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างยูเครนกับรัสเซียกดดันตลาดแต่ข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่งของสหรัฐช่วยพยุงตลาดเอาไว้

 

- สัญญาน้ำมันดิบ : ลดลงเพราะวิตกเศรษฐกิจจีนและยูโรโซนชะลอตัวลง
* สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ร่วงลง 3.08 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 92.88ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน ร่วงลง 2.45 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 100.34 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยกดดัน คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและยูโรโซนเมื่อพิจารณาจากตัวเลข PMI ภาคการผลิตเดือนส.ค.ที่ออกมาแย่กว่าคาด

 

- สัญญาทองคำ COMEX : ดิ่งลงแรง
* สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 22.4ดอลลาร์ หรือ 1.74% ปิดที่ 1,265 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ปัจจัยในประเทศ
+ Equity Explorer : SIM… มีโอกาสขายสมาร์ทโฟนล็อตใหญ่ให้กับผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือ...กำไรปี 57-58 เติบโตแกร่งเฉลี่ย 18% ต่อปี แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย4.6 บาท
* มีโอกาสที่ SIM จะขายโทรศัพท์สมาร์ทโฟนล็อตใหญ่ประมาณ 5 แสนเครื่อง ให้กับผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือช่วง 2H57 (ปกติบริษัทมียอดขาย 1.1-1.2 แสนเครื่องต่อไตรมาส)เพื่อจัดเคมเปญหนุนให้ลูกค้าย้ายจาก 2G ไปเป็น 3G ซึ่งจะทำให้บริษัทผู้ประกอบการได้ประโยชน์จากการที่จ่ายส่วนแบ่งรายได้น้อยลง ขณะที่ผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์จากราคาโทรศัพท์ที่ต่ำลง ทางด้าน SIM ก็จะมียอดขายและกำไรที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นการขายล็อตใหญ่แต่เชื่อว่าอัตรากำไรสุทธิของการขายโทรศัพท์ล็อตใหญ่จะไม่ต่ำมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขาย & บริหารต่ำ
* คาดบริษัทจะทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ใน 3Q57 ซึ่งปัจจัยหนุนมาจากยอดขายสมาร์ทโฟนที่เติบโตแข็งแกร่ง ตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้โทรศัพท์ประเภทนี้เพิ่มขึ้น และยอดขายดิจิตอล ทีวี โฟนก็ดีขึ้นด้วย หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบออกอากาศจากอนาล็อกไปเป็นดิจิตอล และในช่วง 4Q57 และปี 58 จะมียอดขายกล่อง Set top box เข้ามาเสริมด้วย คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 57 จะเติบโตได้ 23% และเติบโตต่อ 13% ในปี 58 นับว่าแข็งแกร่งมาก
* แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 4.6 บาท เทียบเท่ากับ P/E ปี 58 ที่ 17 เท่า คาดการณ์ DividendYield ปี 57-58 เท่ากับ 3.5% และ 4% ตามลำดับ

 

+ กลุ่มท่องเที่ยว & โรงแรม : ได้อานิสงค์ทางบวกจากการนำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวไปลดหย่อนภาษี หุ้นเด่น AOT, CENTEL,MINT
* สรรพากรเร่งชงมาตรการภาษีกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยล่าสุดมีข่าวออกมาว่านักท่องเที่ยวทั่วไปจะนำค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวไปหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท ส่วนนิติบุคคลลดหย่อนได้ 2 เท่าไม่จำกัดวงเงิน
* ผู้ประกอบการภาคเอกชนมองว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวและการค้าการขายในต่างจังหวัดได้มาก คาดว่ารายได้จากไทยเที่ยวไทยจะเพิ่มอีก 1 แสนล้านจากมาตรการช่วง 2 ปี (ปี 57-58)
* ความเห็น DBS Retail Research : หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว อาหาร โรงแรม และการบิน ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวดังกล่าว ซึ่งหุ้นเด่นของเราเป็น AOT, CENTEL,MINT

 

•/+ SCB : มีกระแสข่าวว่าจะขายหุ้นไทยพาณิชย์ประกันชีวิตออกไป 25% ... แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 220 บาท
* รอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทประกันที่คาดว่าเป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นบางรายเพื่อขายหุ้นในบริษัท ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต (เอสซีบีไลฟ์) 25% มูลค่าการซื้อขายอาจจะสูงถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราว 1.92 หมื่นล้านบาท สำหรับมูลค่าทางการตลาดของเอสซีบีไลฟ์ในปัจจุบันอยู่ที่ 2,400ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 7.68 หมื่นล้านบาท (โพสต์ทูเดย์)

 

* ความเห็น DBS Retail Research : กระแสข่าวนี้อาจทำให้มีการเข้ามาเก็งกำไรในหลักทรัพย์SCB มากขึ้น ส่วนปัจจัยพื้นฐานของธนาคาร ทาง DBS มีมุมมองในทางบวกกับผลประกอบการ(Core Profit) ปี 58 โดยคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิจะขยายตัวได้ 26% จากสินเชื่อรายย่อยที่ฟื้นตัวดีขึ้น รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเติบโตในอัตราที่สูงขึ้น และ Credit cost น้อยลง ส่วน Core profitในปีนี้คาดว่าจะทรงตัว แต่ถ้าธนาคารมีการขายสินทรัพย์และบันทึกกำไรก้อนใหญ่เข้ามาก็จะทำให้มีกำไรสุทธิบรรทัดสุดท้ายเติบโตได้ แนะนำซื้อ DBS ให้ราคาพื้นฐาน 220 บาท

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!