- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 09 February 2018 16:27
- Hits: 1527
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“Sentiment ลบต่างประเทศกดดัน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ปัจจัยต่างประเทศ & ภายใน : การร่วงแรงของดัชนีดาวโจนส์ราว 4% และดัชนีตลาดหุ้นยุโรปร่วงประมาณ 2% เพราะวิตกเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียอ่อนตัวลงในเช้าวันนี้ ทั้งนี้ทาง DBSVTH เคยทำการศึกษาพบว่าค่าความสัมพันธ์ (Correlation) ของเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวดัชนี S&P500 กับ SET นั้นเป็นแบบแปรผันตรงและค่าความสัมพันธ์สูงแบบมีนัยสำคัญ (ก็คือจะขึ้นลงตามกัน) ดังนั้นจึงประเมินว่า SET มีสิทธิร่วงตามดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ หลังเมื่อวานนี้ (8 ก.พ.) ก็แกว่ง 15 จุดในวันและปิดเกือบต่ำสุดของวันที่ 1786.66 (+1.22 จุด)
ปัจจัยจับตา คือ การลงมติร่างก.ม.งบประมาณชั่วคราวของวุฒิสภาสหรัฐ (ซึ่งตรงกับเที่ยงวันนี้ เวลาไทย) ซึ่งถ้าผ่านก็จะส่งให้สภาผู้แทนราษฎร และส่งให้ปธน.ทรัมป์ลงนามเพื่อประกาศบังคับใช้ ยังผลให้รัฐบาลสหรัฐจะมีงบประมาณใช้ได้ถึง 23 มี.ค.61 แต่ถ้าวันนี้โหวตไม่ผ่านก็จะชัตดาวน์บางหน่วยงานรัฐอีกรอบ (คราวก่อนชัตดาวน์ไป 3 วัน)
หุ้นมีข่าววันนี้เป็น ROJNA : จะขายหุ้นที่ถือใน TICON ทั้งหมด 478.7 ล้านหุ้น หรือ 26.1% @ 17.90 บาท/หุ้น ให้กลุ่มเฟรเซอร์ฯส และจะบันทึกกำไรจากการขายหุ้นก้อนใหญ่ ทั้งนี้บริษัทจะนำเงินขายหุ้นไปคืนหนี้ & ขยายธุรกิจ & เงินทุนหมุนวียน ซึ่งเรามองว่าดีลนี้เป็นบวกกับ ROJNA
หุ้นแนะนำวันนี้เป็น IMPACT : กองทุนมีกำไรงวด 3Q ปี 60/61 (ต.ค.-ธ.ค.60) 340 ลบ. (+33%YoY, +4%QoQ) จากอัตราค่าเช่าสูงขึ้น 18.5%YoY เป็น 77 บาท/ตรม./เดือน อัตราการเช่าเพิ่มเป็น 49% จาก 47% ในช่วงเดียวกันปีก่อน และค่าใช้จ่ายดำเนินงาน/รายได้ลดลง แนวโน้มไปได้ดี คาดกำไรปี 60/61 (สิ้นสุดมี.ค.) โต 15% และขยายต่อ 5% ในปี 61/62 ส่วนระยะยาวเมื่อสร้างรถไฟฟ้าสีชมพูเข้าไปในเมืองทองธานีเสร็จก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นไปอีก แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 17 บาท (DCF) ด้านปันผล งวด 3Q ปี 60/61 จ่าย 0.21 บาท/หุ้น ขึ้น XD 20 ก.พ.61 จ่ายเงิน 8 มี.ค.61 คิดเป็น Yield งวดนี้ 1.4% สำหรับทั้งปีนี้คาดการณ์ Yield 5.1% ส่วนปี 61/62 คาดไว้ที่ 5.4% นับว่าน่าจูงใจสำหรับกองฯที่เป็น Freehold
กลยุทธ์ทางพื้นฐาน : แนะเลือกซื้อเป็นรายบริษัท โดยธีมเด่นหุ้นดีจาก DBS ในปี 61 เราเลือกเป็น 1. Investment recovery play (หุ้นเด่น AMATA ราคาพื้นฐาน 30 บาท), 2. Dividend play (หุ้นเด่น KKP ราคาพื้นฐาน 88 บาท), 3. Growth play (หุ้นเด่น IVL ราคาพื้นฐาน 65 บาท) และ 4. Tourism play (หุ้นเด่น ERW ราคาพื้นฐาน 10.50 บาท) การอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นจังหวะทยอยซื้อสะสม
กลยุทธ์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ และมีโอกาสร่วงต่อในวันนี้ แนวรับ 1750-1730 (1710-1700) จุด สำหรับหุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่ ได้แก่ JMT, PLAT, SYNEX, GPSC, ECF, WICE, VIH ส่วนหุ้นที่แนะนำไป แล้วให้หาจังหวะ Take profit เป็น STAR, VNT, AU หุ้นที่ยังอยู่ใน List –ไม่มี- หุ้นหลุด List คือ PRINC
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง
# กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 221,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 45 ปี สวนกับที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 232,000 ราย
- สหรัฐ : Bond yield 10 ปีปรับขึ้นสู่ระดับสุงสุดในรอบ 4 ปี
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีดีดตัวสู่ระดับ 2.878% ซึ่งใกล้แตะระดับสูงสุดในนรอบ 4 ปีขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.164% เมื่อคืนนี้
• สหรัฐ : จับตาการโหวตร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวช่วงเที่ยงวันนี้
# จับตาวุฒิสภาสหรัฐลงมติร่างกฎหมายงบประมาณ (ช่วงเที่ยงวันศุกร์ที่ 9 ก.พ.นี้) เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาชัตดาวน์ โดยหากวุฒิสภาให้ความเห็นชอบต่อร่างกฎหมายงบประมาณดังกล่าว ก็จะมีการส่งต่อไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้การอนุมัติต่อไป ก่อนที่จะให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามรับรองเป็นกฎหมาย ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณใช้ได้ถึงวันที่ 23 มี.ค.61
# แต่...ถ้าสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับร่างกฎหมายงบประมาณภายในเวลาเที่ยงของวันนี้ตามเวลาไทยสหรัฐก็จะเผชิญภาวะชัตดาวน์อีกครั้ง หลังจากที่เกิดการชัตดาวน์เป็นเวลา 3 วันในเดือนที่แล้ว
- ภาวะตลาดหุ้น : ดัชนี DJIA ปิดร่วงราว 4% ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงราว 2%
# ดัชนี DJIA ปิด 23,860.46 จุด -1,032.89 จุด หรือ -4.15% ดัชนี S&P500 ปิด 2,581.00 จุด -100.66 จุด หรือ -3.75% และดัชนี Nasdaq ปิด 6,777.16 จุด -274.82 จุด หรือ -3.90% เพราะนักลงทุนวิตกกับกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดในปีนี้
# ดัชนีตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วง 1.6-2.6% (ดัชนี DAX เยอรมนีปรับลงมากสุด) ดัชนีตลาดหุ้นลอนดอนลดลง 1.5%
- ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาอ่อนตัวลงต่อ
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 64 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 61.15 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 70 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 64.81 ดอลลาร์/บาร์เรล
# ตลาดกังวลว่าอุปทานน้ำมันทั่วโลกจะปรับตัวสูงขึ้น หลังจากอิหร่านวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 700,000 บาร์เรล สู่ระดับ 4.7 ล้านบาร์เรล/วัน ในอีก 4 ปีข้างหน้า รวมทั้งมีข่าวว่าท่อส่งน้ำมันโฟร์ตีส์ในทะเลเหนือเตรียมกลับมาดำเนินการอีกครั้ง หลังจากท่อส่งน้ำมันแห่งนี้ได้ถูกปิดเพื่อซ่อมรอยแตกเมื่อปลายปี 60
+ ภาวะตลาดทองคำ : ราคารีบาวด์
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 4.40 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ 1,319 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• ROJNA (ราคาปิด 7.50 บาท) : จะขายหุ้น TICON 26.1% ให้เฟรเซอร์ส @ 17.9 บาท และทำเทนเดอร์ฯต่อไป
# ROJNA แจ้งว่าบอร์ดมีมติให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ใน TICON 478.7 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็น 26.1% ให้แก่บริษัท เฟรเซอร์ส แอสเซ็ทส์ จำกัด (FAS) ในกลุ่มของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ราคาหุ้นละ 17.90 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 8.57 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเม.ย.61 และเมื่อดีลเรียบร้อย FAS จะถือหุ้นใน TICON 66.17%
# ทาง FAS จะต้องทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์เมื่อดีลซื้อขายกับ ROJNA แล้วเสร็จ ซึ่งเราคาดว่าจะตั้งโต๊ะรับซื้อจากรายย่อยในราคาหุ้นละ 17.90 บาทเท่ากับที่ซื้อจาก ROJNA
# ROJNA ระบุว่าบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น TICON ไปใช้รองรับการขยายกิจการและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการของบริษัท และชำระคืนหนี้
# งวด 9M60 ทาง ROJNA รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก TICON เข้ามา 64 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 7% ของกำไรสุทธิ ROJNA ในงวด 9M60 ที่ 875 ล้านบาท
# ราคาซื้อขาย TICON ที่กำหนดไว้ 17.90 บาทสูงกว่าราคาปิดเมื่อวานนี้ที่ 17.60 บาทอยู่ 1.7% ส่วนราคาหุ้น ROJNA ปิดที่ 7.50 บาท เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายที่ DBSVTH ให้ไว้ 7.92 บาทจะมี Upside 5.6%
• กนง.ประชุม 14 ก.พ.นี้ คาดคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5%
# คณะกรรมการนโยบายการเงินจะประชุมรอบแรกวันที่ 14 ก.พ.นี้ ทาง DBS คาดว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อ โดยเฉพาะด้านการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ซึ่งการเติบโตยังไม่กระจายตัวดี (การเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 60 โดยหลักมาจากภายนอก คือ ส่งออกขยายตัวแกร่งเพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้น และท่องเที่ยวที่ดีตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตแข็งแกร่ง)
# ปัจจัยติดตาม คือ 1. การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ซึ่งมีผลกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund flow) และส่งผลต่อค่าเงินบาท รวมถึงตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้, 2. ราคาน้ำมันดิบ, 3. เหตุการณ์/การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทั้งภายนอกและภายในประเทศ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO5420