- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 09 February 2018 16:03
- Hits: 1042
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
SET INDEX
1786.66 +1.22(+0.07) // Vol.55,919
มีความผันผวนสูง ด้วยการเปิดตัวลง และแรงซื้อกลับหลังจากที่เข้าใกล้แนวรับ ลุ้นยืน 1758 ให้อยู่
กรอบการเคลื่อนไหว 1753-1790
ดัชนีวานนี้มีทิศทางแกว่งตัวออกข้างที่ชะลอทั้งด้านขาลงและการ Rebound ทำได้ดีสุดของวันที่ 1796 จุด ขณะที่ด้านล่างลงไม่ลึกอยู่ที่ 1781 จุด โดยส่วนใหญ่เน้นเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ก่อนที่ดัชนีจะทำปิดที่ 1786 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ลดลงเหลือระดับ 5 หมื่นกว่าล้านบาท จากภาพดังกล่าวดูเหมือนแนวโน้มดัชนียังคงมีความก้ำกึ่งได้ทั้งทางขึ้นและลง ตราบใดที่ยังไม่สามารถยืน 1800 จุดได้ บวกกับ Sentiment ในเชิงลบของตลาดเพื่อนบ้านยังรบกวนอยู่ ทำให้ดัชนีมีโอกาสพักตัวอีกรอบ และมีโอกาสลงมาปิด Gap ที่เปิดไว้เมื่อ 3 ม.ค. 61 (1753-1758)
แนวรับ 1773 // 1753 // 1746
แนวต้าน 1790-1795
SET INDEX
1786.66 +1.22(+0.07) // Vol.55,919
มีความผันผวนสูง ด้วยการเปิดตัวลง และแรงซื้อกลับหลังจากที่เข้าใกล้แนวรับ ลุ้นยืน 1758 ให้อยู่
กรอบการเคลื่อนไหว 1753-1790
ดัชนีวานนี้มีทิศทางแกว่งตัวออกข้างที่ชะลอทั้งด้านขาลงและการ Rebound ทำได้ดีสุดของวันที่ 1796 จุด ขณะที่ด้านล่างลงไม่ลึกอยู่ที่ 1781 จุด โดยส่วนใหญ่เน้นเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ก่อนที่ดัชนีจะทำปิดที่ 1786 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ลดลงเหลือระดับ 5 หมื่นกว่าล้านบาท จากภาพดังกล่าวดูเหมือนแนวโน้มดัชนียังคงมีความก้ำกึ่งได้ทั้งทางขึ้นและลง ตราบใดที่ยังไม่สามารถยืน 1800 จุดได้ บวกกับ Sentiment ในเชิงลบของตลาดเพื่อนบ้านยังรบกวนอยู่ ทำให้ดัชนีมีโอกาสพักตัวอีกรอบ และมีโอกาสลงมาปิด Gap ที่เปิดไว้เมื่อ 3 ม.ค. 61 (1753-1758)
แนวรับ 1773 // 1753 // 1746
แนวต้าน 1790-1795
Technical Analyst : พรรณนภา เขมะสุรัตน์ // เลขทะเบียน 060110 // Tel. : 02-648-1124 // phannapa.k@ktbst .co.th
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
“ ถูกกดดันจาก ตลาดหุ้นสหรัฐฯอีกระลอก”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงอย่างมากที่ระดับ 1,032 จุด หรือ -4% ในช่วงคืนที่ผ่านมา เป็นผลจากความกังวลด้านดอกเบี้ยและ bond yield ที่ปรับตัวขึ้น คาดตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลงตามภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศ อย่างไรก็ตามเรามองว่าการปรับตัวลงของดัชนีไทยจะไม่แรงเท่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเราให้แนวรับที่ระดับ 1,760 จุด .... ปัจจัยภายนอกได้แก่ ตัวเลขการว่างงานต่ำสุดในรอบ 45 ปี, ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลง, และติดตามเรื่องการโหวตร่างงบประมาณของวุฒิสภาสหรัฐฯเพื่อหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์ คาดว่าจะสามารถผ่านพ้นไปได้.... ส่วนปัจจัยในประเทศ ททท. คาดยอดท่องเที่ยวช่วงตรุษจีนคึกคัก, และ กระทรงการคลังเตรียมพ.ร.บ.ร่วมทุน (พ.ร.บ.PPP) สำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
กลยุทธ์การลงทุน:
ภาพระยะสั้นตลาดยังปรับฐานแต่ไม่ลงลึก การปรับตัวลงของดัชนีจะเป็นโอกาสที่ดีในการ “ทยอยซื้อ” แต่หากหลุดแนวรับที่ระดับ 1,760 แนะนำให้หาจังหวะในการ cut loss การเข้าเก็งกำไรระหว่างวันยังคงต้องเลือกซื้อเป็นรายตัวหรือ selective buy เน้นหุ้นที่มีลักษณะ domestic play หรือหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว …. ยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมัน-ปิโตรเคมี เนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง .... โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ AMATA, GULF*
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) AMATA:
เรายังคงเลือก AMATA เป็นหุ้นที่น่าสนใจต่อเนื่อง โดยเรามองว่า AMATA เป็นหุ้นที่อิงปัจจัยในประเทศ, ได้รับผลบวกจากมาตรการ EEC และ AMATA ได้รับปัจจัยบวกจากการที่ สนช. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. อีอีซี ประกาศใช้เป็นกฎหมาย .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 30.00 บาท
(+) AU:
ปริมาณการซื้อขายของ AU เพิ่มขึ้นมากในช่วงวานนี้ โดยเรามองว่า AU เป็นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจากแผนการขยายสาขา ซึ่งบริษัทตั้งเป้าการเปิดสาขาจำนวนอีก 10 สาขา จากปี 2017 ที่มีทั้งสิ้น 27 สาขา มีแผนหาตัวแทนแฟรนไชส์ในต่างประเทศ (เริ่มที่มาเลเซีย) .... ผลสำรวจคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2017-2018 รวบรวมโดย Bloomberg ยังเติบโตสูงที่ +32% และ 31% ที่ 130 ล้านบาท และ 170 ล้านบาท ตามลำดับ
(+) HANA:
เรามองว่าจะมีแรงซื้อเข้ามายัง HANA จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับราว 31.85 บาท/ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น +1.2% เมื่อเทียบกับช่วงสัปดาห์ก่อน อีกทั้ง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ยังกล่าวว่าส่งออกมีโอกาสเติบโตกว่าที่กระทรงพาณิชย์ประเมินไว้ที่ 6% ... ในฝั่งของรายได้ของบริษัทฯ พบว่ามีการขยายตัวต่อเนื่อง .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 60.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) Industrial Estate (Overweight)
ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เขตพัฒนาพิเศษภาค ตะวันออก พ.ศ. ..หรือ"กฎหมาย อีอีซี"ในชั้นให้ความเห็นชอบในวาระ 2 และ 3 หลังจากที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว โดยหลังจากนี้ประธานสนช.จะส่งร่างกฎหมายให้นายกรัฐมนตรีเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป (ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามองว่าการผ่านร่าง พรบ. อีอีซีข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความชัดเจนของ พรบ.อีอีซี และจะหนุนให้เกิดการลงทุนในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเพิ่มขึ้น ทั้งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และ ระยอง และพื้นที่อื่นๆที่ มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ ในการดำเนินการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค ซึ่งมีงบประมาณการลงทุนในช่วง 10 ปีไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เรายังคงชอบหุ้นในกลุ่มนิคมฯที่จะได้รับผลบวกจากการขายที่ดินได้เพิ่มขึ้น และรายได้จากการให้บริการสาธารณูปโภคในนิคม ได้แก่ AMATA และ WHA ที่ราคาเหมาะสม 30 และ 5 บาท ตามลำดับ
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงอย่างมากที่ระดับ 1,032 จุด หรือ -4% ในช่วงคืนที่ผ่านมา เป็นผลจากความกังวลด้านดอกเบี้ยและ bond yield ที่ปรับตัวขึ้น คาดตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลงตามภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศ อย่างไรก็ตามเรามองว่าการปรับตัวลงของดัชนีไทยจะไม่แรงเท่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเราให้แนวรับที่ระดับ 1,760 จุด .... ปัจจัยภายนอกได้แก่ ตัวเลขการว่างงานต่ำสุดในรอบ 45 ปี, ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลง, และติดตามเรื่องการโหวตร่างงบประมาณของวุฒิสภาสหรัฐฯเพื่อหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์ คาดว่าจะสามารถผ่านพ้นไปได้.... ส่วนปัจจัยในประเทศ ททท. คาดยอดท่องเที่ยวช่วงตรุษจีนคึกคัก, และ กระทรงการคลังเตรียมพ.ร.บ.ร่วมทุน (พ.ร.บ.PPP) สำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
กลยุทธ์การลงทุน:
ภาพระยะสั้นตลาดยังปรับฐานแต่ไม่ลงลึก การปรับตัวลงของดัชนีจะเป็นโอกาสที่ดีในการ “ทยอยซื้อ” แต่หากหลุดแนวรับที่ระดับ 1,760 แนะนำให้หาจังหวะในการ cut loss การเข้าเก็งกำไรระหว่างวันยังคงต้องเลือกซื้อเป็นรายตัวหรือ selective buy เน้นหุ้นที่มีลักษณะ domestic play หรือหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว …. ยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมัน-ปิโตรเคมี เนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง .... โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ AMATA, GULF*
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) AMATA:
เรายังคงเลือก AMATA เป็นหุ้นที่น่าสนใจต่อเนื่อง โดยเรามองว่า AMATA เป็นหุ้นที่อิงปัจจัยในประเทศ, ได้รับผลบวกจากมาตรการ EEC และ AMATA ได้รับปัจจัยบวกจากการที่ สนช. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. อีอีซี ประกาศใช้เป็นกฎหมาย .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 30.00 บาท
(+) AU:
ปริมาณการซื้อขายของ AU เพิ่มขึ้นมากในช่วงวานนี้ โดยเรามองว่า AU เป็นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจากแผนการขยายสาขา ซึ่งบริษัทตั้งเป้าการเปิดสาขาจำนวนอีก 10 สาขา จากปี 2017 ที่มีทั้งสิ้น 27 สาขา มีแผนหาตัวแทนแฟรนไชส์ในต่างประเทศ (เริ่มที่มาเลเซีย) .... ผลสำรวจคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2017-2018 รวบรวมโดย Bloomberg ยังเติบโตสูงที่ +32% และ 31% ที่ 130 ล้านบาท และ 170 ล้านบาท ตามลำดับ
(+) HANA:
เรามองว่าจะมีแรงซื้อเข้ามายัง HANA จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับราว 31.85 บาท/ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น +1.2% เมื่อเทียบกับช่วงสัปดาห์ก่อน อีกทั้ง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ยังกล่าวว่าส่งออกมีโอกาสเติบโตกว่าที่กระทรงพาณิชย์ประเมินไว้ที่ 6% ... ในฝั่งของรายได้ของบริษัทฯ พบว่ามีการขยายตัวต่อเนื่อง .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 60.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
(+) Industrial Estate (Overweight)
ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เขตพัฒนาพิเศษภาค ตะวันออก พ.ศ. ..หรือ"กฎหมาย อีอีซี"ในชั้นให้ความเห็นชอบในวาระ 2 และ 3 หลังจากที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว โดยหลังจากนี้ประธานสนช.จะส่งร่างกฎหมายให้นายกรัฐมนตรีเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป (ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ)
ความเห็น: เรามองว่าการผ่านร่าง พรบ. อีอีซีข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความชัดเจนของ พรบ.อีอีซี และจะหนุนให้เกิดการลงทุนในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเพิ่มขึ้น ทั้งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และ ระยอง และพื้นที่อื่นๆที่ มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ ในการดำเนินการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค ซึ่งมีงบประมาณการลงทุนในช่วง 10 ปีไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เรายังคงชอบหุ้นในกลุ่มนิคมฯที่จะได้รับผลบวกจากการขายที่ดินได้เพิ่มขึ้น และรายได้จากการให้บริการสาธารณูปโภคในนิคม ได้แก่ AMATA และ WHA ที่ราคาเหมาะสม 30 และ 5 บาท ตามลำดับ
(+) IVL (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 63 บาท)
ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะใช้ซื้อหุ้นสามัญบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2 หรือ IVL-W2 ได้รับการแปลงสภาพรอบล่าสุด (31 ม.ค. 2561) สูงถึง 166 ล้านหน่วย ส่งผลให้บริษัทรับเงินระดมทุนเข้ามาสูงถึง 7,148 ล้านบาท จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีฐานเงินทุนแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวดังกล่าว IVL ได้รับเงินจากการระดมทุนเพื่อสร้างโอกาสเติบโตจากการซื้อสินทรัพย์จากคู่แข่ง เช่น โรงงาน PET และ PTA ที่ประสบปัญหาของ M&G ในสหรัฐฯ, เม็กซิโกและบราซิล รวมถึงยังมีโรงงาน PET ในเบลเยี่ยม ของ JBF ซึ่ง IVL คาดจะสรุปแผนการซื้อสินทรัพย์ของ M&G ใน 1Q18 และของ JBF ในช่วงไตรมาส 3Q18 โดยการที่คู่แข่งขันอย่าง M&G และ JBF ประสบปัญหาทางการเงินและยังไม่สามารถขึ้นกำลังการผลิตได้ จะส่งผลให้สเปรด pet ในยุโรปและสหรัฐฯอยู่ในระดับดี 210-230 เหรียญ ชดเชย dilution ที่ต่ำเพียง 3%ได้ แนะนำ ซื้อ IVL ราคาเป้าหมาย 63 บาท
ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะใช้ซื้อหุ้นสามัญบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2 หรือ IVL-W2 ได้รับการแปลงสภาพรอบล่าสุด (31 ม.ค. 2561) สูงถึง 166 ล้านหน่วย ส่งผลให้บริษัทรับเงินระดมทุนเข้ามาสูงถึง 7,148 ล้านบาท จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีฐานเงินทุนแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวดังกล่าว IVL ได้รับเงินจากการระดมทุนเพื่อสร้างโอกาสเติบโตจากการซื้อสินทรัพย์จากคู่แข่ง เช่น โรงงาน PET และ PTA ที่ประสบปัญหาของ M&G ในสหรัฐฯ, เม็กซิโกและบราซิล รวมถึงยังมีโรงงาน PET ในเบลเยี่ยม ของ JBF ซึ่ง IVL คาดจะสรุปแผนการซื้อสินทรัพย์ของ M&G ใน 1Q18 และของ JBF ในช่วงไตรมาส 3Q18 โดยการที่คู่แข่งขันอย่าง M&G และ JBF ประสบปัญหาทางการเงินและยังไม่สามารถขึ้นกำลังการผลิตได้ จะส่งผลให้สเปรด pet ในยุโรปและสหรัฐฯอยู่ในระดับดี 210-230 เหรียญ ชดเชย dilution ที่ต่ำเพียง 3%ได้ แนะนำ ซื้อ IVL ราคาเป้าหมาย 63 บาท
(+) LHBANK (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 1.92 บาท)
จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (8 ก.พ.) LHBANK ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อปี 2018 เพิ่มขึ้น 10-15% YoY (ใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ที่ 10% YoY) ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่โตได้ดีโดยจะมาจากสินเชื่อรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตมากขึ้น ในส่วนของการเป็น partner กับทาง CTBC น่าจะเห็น synergy ในช่วงปลายปี 2018 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของ Trade Finance และ Digital Banking ซึ่งจะช่วยหนุนให้มีสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นได้ แต่เรามีปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 2018 ลง 4% โดยปรับ credit cost เพิ่มขึ้นอีก 10bps จาก IFRS9 เราคาดว่า การเข้ามาของ CTBC จะส่งผลให้สินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมที่มี
โอกาสเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องในระยะยาว ดังนั้น เราจึงแนะนำ “ซื้อ” แต่เป็นการซื้อเพื่อการลงทุนในระยะยาว เพื่อรอ synergy ที่จะมีจาก CTBC ซึ่งจะเริ่มเห็นผลช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป แต่ปรับราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 1.92 บาท
จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (8 ก.พ.) LHBANK ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อปี 2018 เพิ่มขึ้น 10-15% YoY (ใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ที่ 10% YoY) ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่โตได้ดีโดยจะมาจากสินเชื่อรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตมากขึ้น ในส่วนของการเป็น partner กับทาง CTBC น่าจะเห็น synergy ในช่วงปลายปี 2018 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของ Trade Finance และ Digital Banking ซึ่งจะช่วยหนุนให้มีสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นได้ แต่เรามีปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 2018 ลง 4% โดยปรับ credit cost เพิ่มขึ้นอีก 10bps จาก IFRS9 เราคาดว่า การเข้ามาของ CTBC จะส่งผลให้สินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมที่มี
โอกาสเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องในระยะยาว ดังนั้น เราจึงแนะนำ “ซื้อ” แต่เป็นการซื้อเพื่อการลงทุนในระยะยาว เพื่อรอ synergy ที่จะมีจาก CTBC ซึ่งจะเริ่มเห็นผลช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป แต่ปรับราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 1.92 บาท
(+) GPI: (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 4.30 บาท)
เราคาดกำไรสุทธิใน 4Q17 ของ GPI จะอยู่ที่ -20 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิลดลงจาก 4Q16 ที่อยู่ที่ -22 ล้านบาท เนื่องจาก 1) รายได้จากการจัดงาน Air Race 1 เพิ่มขึ้น และ 2) รายได้จากธุรกิจรับจ้างพิมพ์เพิ่มขึ้น ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2017 ของเราอยู่ที่ 138 ล้านบาท เติบโต 16% YoY ส่วนปี 2018 เราได้ปรับกำไรสุทธิปี 2018 ขึ้น 1.34% เป็น 150 ล้านบาท เติบโต 8% YoY เพื่อะสะท้อนธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ของบริษัทและธุรกิจกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามเรามองว่ากำไรสุทธิตั้งแต่ปี 2018 จะเติบโตได้อีกจากงาน motor show ในต่างประเทศ และธุรกิจอื่นๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มเติม คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 4.30 บาท (PER ที่ 17.4 เท่า)
เราคาดกำไรสุทธิใน 4Q17 ของ GPI จะอยู่ที่ -20 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิลดลงจาก 4Q16 ที่อยู่ที่ -22 ล้านบาท เนื่องจาก 1) รายได้จากการจัดงาน Air Race 1 เพิ่มขึ้น และ 2) รายได้จากธุรกิจรับจ้างพิมพ์เพิ่มขึ้น ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2017 ของเราอยู่ที่ 138 ล้านบาท เติบโต 16% YoY ส่วนปี 2018 เราได้ปรับกำไรสุทธิปี 2018 ขึ้น 1.34% เป็น 150 ล้านบาท เติบโต 8% YoY เพื่อะสะท้อนธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ของบริษัทและธุรกิจกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามเรามองว่ากำไรสุทธิตั้งแต่ปี 2018 จะเติบโตได้อีกจากงาน motor show ในต่างประเทศ และธุรกิจอื่นๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มเติม คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 4.30 บาท (PER ที่ 17.4 เท่า)
(0) TK (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 20.00 บาท)
เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2017 ลดลง 7% จากกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ต่ำกว่าคาด โดยคาดกำไรสุทธิ 4Q17 เพิ่มขึ้น 21%YoY จากการขยายสินเชื่อที่ได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถในประเทศปี 2017 เพิ่มขึ้น 4% แต่กำไรสุทธิอ่อนตัว 8%QoQ จากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายทางการตลาดสำหรับการดำเนินงานครบรอบ 45 ปีบริษัท อย่างไรก็ตามเรามองว่าในปี 2018บริษัทจะติดตาม และบริหารสินเชื่อที่เข้มงวดเพิ่มขึ้น ควบคู่การขยายสินเชื่อทั้งใน และนอกประเทศ รวมทั้งการออกหุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยลดลง นอกจากนี้เรามองว่าบริษัทจะมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นในปี 2018 และเพียงพอต่อ IFRS 9 ส่งผลให้บริษัทจะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในระยะยาวที่ลดลง โดยเรามองว่าราคาหุ้นที่ลดลงมาสะท้อนผลการดำเนินงาน 4Q17 ที่อ่อนตัวแล้ว และเรามองว่าปี 2018 ผลการดำเนินงานจะดีขึ้น จึงเป็นจังหวะในการเข้าซื้อหุ้นที่ราคาเหมาะสม 20.00 บาท (อิง PBV ที่ 1.9x)
เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2017 ลดลง 7% จากกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ต่ำกว่าคาด โดยคาดกำไรสุทธิ 4Q17 เพิ่มขึ้น 21%YoY จากการขยายสินเชื่อที่ได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถในประเทศปี 2017 เพิ่มขึ้น 4% แต่กำไรสุทธิอ่อนตัว 8%QoQ จากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายทางการตลาดสำหรับการดำเนินงานครบรอบ 45 ปีบริษัท อย่างไรก็ตามเรามองว่าในปี 2018บริษัทจะติดตาม และบริหารสินเชื่อที่เข้มงวดเพิ่มขึ้น ควบคู่การขยายสินเชื่อทั้งใน และนอกประเทศ รวมทั้งการออกหุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยลดลง นอกจากนี้เรามองว่าบริษัทจะมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นในปี 2018 และเพียงพอต่อ IFRS 9 ส่งผลให้บริษัทจะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในระยะยาวที่ลดลง โดยเรามองว่าราคาหุ้นที่ลดลงมาสะท้อนผลการดำเนินงาน 4Q17 ที่อ่อนตัวแล้ว และเรามองว่าปี 2018 ผลการดำเนินงานจะดีขึ้น จึงเป็นจังหวะในการเข้าซื้อหุ้นที่ราคาเหมาะสม 20.00 บาท (อิง PBV ที่ 1.9x)
(+) MALEE (Bloomberg Consensus 46.40 บาท)
MALEE ปรับกลยุทธ์ เน้นการบริหารจัดการควบคุมต้นทุน และปรับปรุงคุณภาพสินค้า พร้อมวางงบลงทุนราว 500 ลบ. เพื่อปรับปรุงโรงงาน ซื้อเครื่องจักรใหม่ นอกเหนือจากนี้ยังมีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 3-5 ตัว ในช่วง 2Q18-3Q18 ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 30% โดยเน้นส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศมากขึ้น คาดสัดส่วนส่งออกอยู่ที่ 30-40% สำหรับค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอาจกระทบต่อราคาที่แพงขึ้นสำหรับลูกค้าที่รับสินค้าไปส่วนตัวบริษัทเองไม่ได้รับผลกระทบ ในด้านธุรกิจร่วมทุนกับพันธมิตรเวียดนาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 2Q18
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกกับข่าวข้างต้น เรามองว่า ผลประกอบการ MALEE ได้ผ่านจุดต่ำมาแล้วในปี 2017 เราเชื่อมั่นว่า MALEE จะสามารถ Deliver revenues growth ได้ตามเป้าส่งผลจาก 1) การรุกขยายตลาดต่างประเทศและในประเทศ 2) การเพิ่มพันธมิตรใหม่ในต่างประเทศทั้งเวียดนามและอินโดนีเซียอีกทั้งมี แผนที่จะนำสินค้าของพันธมิตรมาขายในประเทศใน 2Q18 และการลงทุนในเวียดนามล่าสุดจะสนับสนุนการขยายไปในตลาดอาเซียนของ MALEE 3) การปรับปรุงการผลิตน้ำมะพร้าวได้เสร็จสมบูรณ์ในช่วงปลายปี 2017 4)แผนการจัดการควบคุมต้นทุนและปรับปรุงคุณภาพสินค้า จะส่งผลให้ Gross profit margin ขยายตัวดีขึ้นในปีนี้ เรายังมองว่าการปรับปรุงกลยุทธ์การดำเนินงาน สอดคล้องกับแผนธุรกิจ 9ปีของ MALEE เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง ราคาเป้าหมาย Consensus ที่ 46.4 บาท
(+) EKH: (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท)
EKH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 61 เติบโต 8-10% จากปี 60 ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 540 ล้านบาท จากการปรับขึ้นค่าห้องพักในส่วนที่ปรับปรุงใหม่ราว 10% ขณะเดียวกันบริษัทได้เปิดศูนย์เด็กหลอดแก้วที่ร่วมทุนพันธมิตรจีน คาดว่าจะมีลูกค้าราว 10 ราย/เดือน ซึ่งจะทำให้ในปีแรกทำรายได้ราว 30-40 ล้านบาท และจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 2 ปีข้างหน้า โดยวานนี้บริษัทฯ ได้จัดงาน "EKI-IVF Grand Opening Ceremony" เพื่อเปิดตัวศูนย์ให้คำแนะนำปรึกษาผู้มีบุตรยาก ซึ่งดำเนินงานโดย บริษัท เอกชัย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทย่อยที่ EKH ถือหุ้นในสัดส่วน 57% และพันธมิตรจากจีนถือหุ้น 25% และที่เหลือถือหุ้นโดยผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านดังกล่าว
ความเห็น: เรามองประเด็นข่าวดังกล่าวเป็นบวกกับ EKH เนื่องจากเราคาดว่าศูนย์ผู้มีบุตรยากจะสร้างรายได้ให้กับโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลจีนสนับสนุนการมีมีบุตรคนที่ 2 ซึ่งชาวจีนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจะมีมากกว่า 100 ล้านคู่ รวมถึงผู้ที่มีอายุมากที่มีความเสี่ยงในการมีบุตรยาก ปัจจุบันเราแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท ซึ่งอาจจะมีการปรับราคาเป้าหมายขึ้นหากมีความชัดเจนในเรื่องของจำนวนคนไข้ IVF
MALEE ปรับกลยุทธ์ เน้นการบริหารจัดการควบคุมต้นทุน และปรับปรุงคุณภาพสินค้า พร้อมวางงบลงทุนราว 500 ลบ. เพื่อปรับปรุงโรงงาน ซื้อเครื่องจักรใหม่ นอกเหนือจากนี้ยังมีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 3-5 ตัว ในช่วง 2Q18-3Q18 ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 30% โดยเน้นส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศมากขึ้น คาดสัดส่วนส่งออกอยู่ที่ 30-40% สำหรับค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอาจกระทบต่อราคาที่แพงขึ้นสำหรับลูกค้าที่รับสินค้าไปส่วนตัวบริษัทเองไม่ได้รับผลกระทบ ในด้านธุรกิจร่วมทุนกับพันธมิตรเวียดนาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 2Q18
ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกกับข่าวข้างต้น เรามองว่า ผลประกอบการ MALEE ได้ผ่านจุดต่ำมาแล้วในปี 2017 เราเชื่อมั่นว่า MALEE จะสามารถ Deliver revenues growth ได้ตามเป้าส่งผลจาก 1) การรุกขยายตลาดต่างประเทศและในประเทศ 2) การเพิ่มพันธมิตรใหม่ในต่างประเทศทั้งเวียดนามและอินโดนีเซียอีกทั้งมี แผนที่จะนำสินค้าของพันธมิตรมาขายในประเทศใน 2Q18 และการลงทุนในเวียดนามล่าสุดจะสนับสนุนการขยายไปในตลาดอาเซียนของ MALEE 3) การปรับปรุงการผลิตน้ำมะพร้าวได้เสร็จสมบูรณ์ในช่วงปลายปี 2017 4)แผนการจัดการควบคุมต้นทุนและปรับปรุงคุณภาพสินค้า จะส่งผลให้ Gross profit margin ขยายตัวดีขึ้นในปีนี้ เรายังมองว่าการปรับปรุงกลยุทธ์การดำเนินงาน สอดคล้องกับแผนธุรกิจ 9ปีของ MALEE เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง ราคาเป้าหมาย Consensus ที่ 46.4 บาท
(+) EKH: (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท)
EKH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 61 เติบโต 8-10% จากปี 60 ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 540 ล้านบาท จากการปรับขึ้นค่าห้องพักในส่วนที่ปรับปรุงใหม่ราว 10% ขณะเดียวกันบริษัทได้เปิดศูนย์เด็กหลอดแก้วที่ร่วมทุนพันธมิตรจีน คาดว่าจะมีลูกค้าราว 10 ราย/เดือน ซึ่งจะทำให้ในปีแรกทำรายได้ราว 30-40 ล้านบาท และจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 2 ปีข้างหน้า โดยวานนี้บริษัทฯ ได้จัดงาน "EKI-IVF Grand Opening Ceremony" เพื่อเปิดตัวศูนย์ให้คำแนะนำปรึกษาผู้มีบุตรยาก ซึ่งดำเนินงานโดย บริษัท เอกชัย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทย่อยที่ EKH ถือหุ้นในสัดส่วน 57% และพันธมิตรจากจีนถือหุ้น 25% และที่เหลือถือหุ้นโดยผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านดังกล่าว
ความเห็น: เรามองประเด็นข่าวดังกล่าวเป็นบวกกับ EKH เนื่องจากเราคาดว่าศูนย์ผู้มีบุตรยากจะสร้างรายได้ให้กับโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลจีนสนับสนุนการมีมีบุตรคนที่ 2 ซึ่งชาวจีนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจะมีมากกว่า 100 ล้านคู่ รวมถึงผู้ที่มีอายุมากที่มีความเสี่ยงในการมีบุตรยาก ปัจจุบันเราแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท ซึ่งอาจจะมีการปรับราคาเป้าหมายขึ้นหากมีความชัดเจนในเรื่องของจำนวนคนไข้ IVF
(+) ROJNA: (Bloomberg Consensus 7.60 บาท)
ROJNA มีมติขายหุ้น TICON ที่ถืออยู่ทั้งหมด 478.7 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 26.10% ให้กับ “กลุ่มเฟรเซอร์ส” ของ “เสี่ยเจริญ” ในราคาขายหุ้นละ 17.90 บาท จากต้นทุนถือหุ้นละ 14.27 บาท (ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์)
ความเห็น: เรามองว่าข่าวข้างต้นนี้จะส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานของ ROJNA ปี 2018 โดยบริษัทได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นแบบมีเงื่อนไข ในวันนี้ (09.02.2018) เราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิหลังภาษีเพิ่มขึ้นประมาณ 1.39 พันล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.69 บาท
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (08 ก.พ.) – ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,786.66 จุด เพิ่มขึ้น 1.22 จุด หรือ +0.07% มูลค่าการซื้อขาย 55,935.52 ล้านบาท ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวในกรอบแคบ หลังนักลงทุนบางส่วนมีการชะลอการลงทุนเนื่องจากภาวะต่างประเทศที่ยังไม่แน่นอน
ปัจจัยต่างประเทศ
(-) ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 1,032.89 จุด – ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,860.46 จุด ร่วงลง 1,032.89 จุด หรือ -4.15% จากความกังวลเรื่องการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้นใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ที่ระดับ 2.87%
(+) ตัวเลขการว่างงานต่ำสุดในรอบ 45 ปี - จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 221,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 45 ปี สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 232,000 ราย
(-) ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลง - สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 64 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 61.15 ดอลลาร์/บาร์เรล ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่อง หลัง EIA เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบและการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 2 ก.พ.
(+/-) วุฒิฯสหรัฐฯโหวตร่างงบประมาณในวันนี้ - วุฒิสภาสหรัฐเตรียมลงมติต่อร่างกฎหมายงบประมาณในวันนี้ ก่อนที่งบประมาณชั่วคราวฉบับปัจจุบันจะสิ้นสุดลงในวันนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐบาล (ชัตดาวน์) ที่อาจเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
ปัจจัยในประเทศ
(+) ททท. คาดยอดท่องเที่ยวช่วงตรุษจีนคึกคัก – ททท. คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยระหว่างวันที่ 15-21 ก.พ. 18 ประมาณ 870,000 คน เพิ่มขึ้น 5.45% สร้างรายได้ประมาณ 20,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงตรุษจีนในปีที่ผ่านมา ( 27 ม.ค.- 2 ก.พ. 17)
(0) ดึงเอกชนลงทุน PPP – รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือ พ.ร.บ.ร่วมทุน (พ.ร.บ.PPP) ในเร็วๆ นี้ เพื่อเปิดทางให้เอกชนทั้งในและต่างชาติเข้ามายื่นเสนอก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่อีกหลายโครงการ (โพสต์ทูเดย์, 09/02/2018
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
License No: 081447
+662 648 1127
[email protected]
OO5415
ROJNA มีมติขายหุ้น TICON ที่ถืออยู่ทั้งหมด 478.7 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 26.10% ให้กับ “กลุ่มเฟรเซอร์ส” ของ “เสี่ยเจริญ” ในราคาขายหุ้นละ 17.90 บาท จากต้นทุนถือหุ้นละ 14.27 บาท (ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์)
ความเห็น: เรามองว่าข่าวข้างต้นนี้จะส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานของ ROJNA ปี 2018 โดยบริษัทได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นแบบมีเงื่อนไข ในวันนี้ (09.02.2018) เราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิหลังภาษีเพิ่มขึ้นประมาณ 1.39 พันล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.69 บาท
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (08 ก.พ.) – ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,786.66 จุด เพิ่มขึ้น 1.22 จุด หรือ +0.07% มูลค่าการซื้อขาย 55,935.52 ล้านบาท ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวในกรอบแคบ หลังนักลงทุนบางส่วนมีการชะลอการลงทุนเนื่องจากภาวะต่างประเทศที่ยังไม่แน่นอน
ปัจจัยต่างประเทศ
(-) ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 1,032.89 จุด – ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,860.46 จุด ร่วงลง 1,032.89 จุด หรือ -4.15% จากความกังวลเรื่องการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้นใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ที่ระดับ 2.87%
(+) ตัวเลขการว่างงานต่ำสุดในรอบ 45 ปี - จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 221,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 45 ปี สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 232,000 ราย
(-) ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลง - สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 64 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 61.15 ดอลลาร์/บาร์เรล ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่อง หลัง EIA เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบและการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 2 ก.พ.
(+/-) วุฒิฯสหรัฐฯโหวตร่างงบประมาณในวันนี้ - วุฒิสภาสหรัฐเตรียมลงมติต่อร่างกฎหมายงบประมาณในวันนี้ ก่อนที่งบประมาณชั่วคราวฉบับปัจจุบันจะสิ้นสุดลงในวันนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐบาล (ชัตดาวน์) ที่อาจเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
ปัจจัยในประเทศ
(+) ททท. คาดยอดท่องเที่ยวช่วงตรุษจีนคึกคัก – ททท. คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยระหว่างวันที่ 15-21 ก.พ. 18 ประมาณ 870,000 คน เพิ่มขึ้น 5.45% สร้างรายได้ประมาณ 20,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงตรุษจีนในปีที่ผ่านมา ( 27 ม.ค.- 2 ก.พ. 17)
(0) ดึงเอกชนลงทุน PPP – รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือ พ.ร.บ.ร่วมทุน (พ.ร.บ.PPP) ในเร็วๆ นี้ เพื่อเปิดทางให้เอกชนทั้งในและต่างชาติเข้ามายื่นเสนอก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่อีกหลายโครงการ (โพสต์ทูเดย์, 09/02/2018
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
License No: 081447
+662 648 1127
[email protected]
OO5415