- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 07 February 2018 16:24
- Hits: 1170
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“รีบาวด์หลังร่วงแรง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : KCE, TTCL (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัยต่างประเทศ & ภายใน : วันนี้ Sentiment ตลาดดีขึ้น หลังเมื่อคืนนี้ดัชนีดาวโจนส์รีบาวด์ (ปิด +567.02 จุด) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีลงมาเป็น 2.798% เช้าวันนี้ (จากสูงสุด 2.862% เมื่อวันที่ 5 ก.พ.) แต่ก็เพิ่มจากระดับต่ำสุด 2.707% ในช่วง 1-2 วันก่อน ส่วน VIX เช้านี้อ่อนลงมาที่ 30.88 จากสูงสุด 49.21 เมื่อวันที่ 6 ก.พ.61 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ส.ค.58 และสภาผู้แทนฯสหรัฐมีมติผ่านร่างกม.งบประมาณชั่วคราว แล้วจะส่งให้วุฒิสมาชิกลงมติต่อไป ทำให้จะมีงบประมาณใช้ได้ถึง 23 มี.ค.61 เราคาดว่า SET มีโอกาสเด้งตามตลาดหุ้นสหรัฐและภูมิภาค หลังจากร่วงไปต่ำสุดที่ 1758.31 จุด (-89.76 จุดจากระดับสูงสุดของดัชนีที่ 1848.07 จุด) เมื่อวานนี้
แนวโน้มระยะต่อไป ยังมีความผันผวน โดยทาง Retail Research มองว่าถ้า SET ไม่สามารถกลับไปยืนเหนือ 1850 จุดได้อย่างมั่นคง ก็จะเป็นการรีบาวด์เพื่อลงต่อ หรือรีบาวด์แล้วไซด์เวย์ออกด้านข้างเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งหุ้นกลุ่มที่เรายังคงให้น้ำหนักลงทุน Overweight เป็นธนาคาร (หุ้นเด่น BBL, TMB, KKP, KBANK), พาณิชย์ (หุ้นเด่น COM7, HMPRO), ท่องเที่ยว (หุ้นเด่น AOT, ERW), นิคมอุตสาหกรรม (หุ้นเด่น AMATA, WHA) สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมีมีโอกาสเด้งตามตลาด แต่ถ้าราคาน้ำมันดิบ BRENT ยังไม่ฟื้นตัวกลับไปยืนเหนือ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล ก็อาจจะพักฐานอีกระยะหนึ่ง ยกเว้นหุ้นที่มีปัจจัยกระตุ้นในตัวเองอย่าง IVL ที่มีแรงหนุนจากการซื้อกิจการ, การได้ลดภาษีรายได้ฯในสหรัฐ, การที่จีน ban การใช้พลาสติกรีไซเคิล และการเพิ่ม HVA ที่มีมาร์จิ้นสูง เป็นต้น
ส่วนหุ้นที่ควรระวัง คือ PACE, SIRI, SCB เนื่องจากดีลการซื้อโครงการนิมิต หลังสวน และคอนโดมหานคร 53 ห้องถูกยกเลิก เนื่องจากการทำ Duediligence ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนดไว้คือ 5 ก.พ.61 โดยทาง PACE จะคืนเงินมัดจำให้ SIRI 322.8 ล้านบาท การยกเลิกดีลทำให้ PACE จะไม่มีเงินเข้ามาช่วยหนุนสภาพคล่องทางการเงิน ทาง SCB ก็อาจจะต้องช่วยพยุงสถานะบริษัทต่อ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ธนาคารก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ด้าน SIRI ก็เสียโอกาสที่จะได้ทำกำไรในโครงการดังกล่าว แต่ก็กระทบไม่มากเพราะสามารถใช้เงินลงทุนในโครงการอื่นได้ต่อไป
กลยุทธ์ทางพื้นฐาน : แนะเลือกซื้อเป็นรายบริษัท โดยธีมเด่นหุ้นดีจาก DBS ในขณะนี้เราเลือกเป็น 1. Investment recovery play (หุ้นเด่น AMATA ราคาพื้นฐาน 30 บาท), 2. Dividend play (หุ้นเด่น KKP ราคาพื้นฐาน 88 บาท), 3. Growth play (หุ้นเด่น IVL ราคาพื้นฐาน 65 บาท) และ 4.Tourism play (หุ้นเด่น ERW ราคาพื้นฐาน 10.50 บาท)
กลยุทธ์ทางเทคนิค : ภาพตลาดเป็นลบ แต่มีโอกาสรีบาวด์หลังร่วงแรง แนวต้าน 1800, 1810 จุด ต่ำกว่า 1780 ลดพอร์ตตาม แนวรับ 1760-1750, 1740 จุด สำหรับหุ้นที่มีโอกาสทำ New high ได้แก่ KTB, PTT, AMATA, AOT, TWPC, MACO ส่วนหุ้นที่หาจังหวะ Take profit เป็น RS, SGP หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ ERW, ASK, BLA, HTC หุ้นหลุด List คือ PLANB, IRPC, SENA, ICHI, TTCL, SF, SYNEX
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : รมว.คลังสหรัฐกล่าวว่าพื้นฐานตลาดหุ้นสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง
# นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อวานนี้ (6 ก.พ.) ว่าการซื้อขายหุ้นที่มีการตั้งโปรแกรมคอมพิวตอร์ล่วงหน้า โดยกำหนดเงื่อนไขให้มีการใช้คำสั่งซื้อขายอัตโนมัติได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น โดยฉุดให้ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 1,175 จุด ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงหนักเป็นประวัติการณ์ แต่เชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง
• สหรัฐ : สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐผ่านร่างกม.งบประมาณชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงชัตดาวน์
# สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติด้วยคะแนนเสียง 245 ต่อ 182 เมื่อวานนี้ ให้ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ก่อนที่จะส่งต่อให้วุฒิสภาสหรัฐลงมติเป็นลำดับต่อไป โดยการผ่านร่างงบประมาณจะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐมีงบประมาณในการดำเนินงานต่อไปได้อีก 6 สัปดาห์ หรือจนถึงวันที่ 23 มี.ค.61 ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงภาวะชัตดาวน์ หรือการปิดหน่วยงานของรัฐ
+/- ภาวะตลาดหุ้น : ดัชนีดาวโจนส์พุ่ง 567.02 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป & อังกฤษยังลดลง
# ดัชนี DJIA ปิดที่ 24,912.77 จุด +567.02 จุด หรือ +2.33% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด 2,695.14 จุด +46.20 จุด หรือ +1.74% และดัชนี Nasdaq ปิด 7,115.88 จุด +148.36 จุด หรือ +2.13% นักวิเคราะห์หลายสำนักมองกว่าการร่วงแรงใน 2 วันก่อนเป็นจังหวะซื้อเก็งกำไร (วันศุกร์ DJIA -667.75 จุด -2.54%, วันจันทร์ -1175.21 จุด -4.6% เพราะวิตกว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด)
# ดัชนีตลาดหุ้นลอนดอนปิด 7,141.40 จุด -193.58 จุด หรือ -2.64% ส่วนตลาดหุ้นยุโรปก็ปิดลดลงเช่นกัน โดยดัชนี Stoxx Europe 600 -2.4% ปิดที่ 372.79 จุด และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,392.66 จุด -294.83 จุด หรือ -2.32% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิด 5,161.81 จุด -124.02 จุด หรือ -2.35%
- ตลาดน้ำมันดิบ : ราคาอ่อนลงต่อ...ลุ้นว่า BRENT จะหลุด 65 ดอลลาร์หรือไม่
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 76 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 63.39 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 76 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 66.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
# ทั้งนี้การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ และการคาดการณ์ว่าสหรัฐจะผลิตน้ำมันดิบเพิ่มเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน โดย EIA คาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยในสหรัฐปี 61 จะอยู่ที่ 10.59 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 3% จากตัวเลขคาดการณ์ครั้งก่อน ส่วนการผลิตน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยในปี 62 จะอยู่ที่ 11.18 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 3% จากตัวเลขคาดการณ์ครั้งก่อนเช่นกัน
- ภาวะตลาดทองคำ : ราคา COMEX ปิดอ่อนลง 0.5%
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. -7 ดอลลาร์ หรือ -0.5% ปิดที่ 1,329.50 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ AMATA (ราคาปิด 25 บาท) : แนวโน้มธุรกิจดี ราคาหุ้นต่ำกว่า NAV กว่า 30%
# Theme การลงทุน - ได้รับประโยชน์จากโครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 1.5 ล้านล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า (ปี 2561-2565) โดยคาดว่าจะเริ่มลงทุนตั้งแต่กลางปี 2561 เป็นต้นไป, มีที่ดินพร้อมขายในจ.ชลบุรี และจ.ระยอง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ EEC ราว 1 หมื่นไร่, ราคาที่ดินปรับขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มูลค่า NAV เพิ่มจาก 30 บาท/หุ้น เป็น 37 บาท/หุ้น, รายได้ที่แน่นอนจากสาธารณูปโภค ค่าเช่า โรงไฟฟ้า จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทำให้กำไรมีเสถียรภาพมากขึ้น, ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่า NAV ที่ 37 บาท/หุ้นอยู่ 32%
# แนวโน้มผลประกอบการปี 2561 - คาดว่ายอดขายที่ดินนิคมฯจะเพิ่มขึ้นหลังการลงทุนในสาธารณูปโภคโครงการ EEC เริ่มอย่างเป็นรูปธรรมในปี 61, อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจากราคาที่ดินปรับขึ้น, โรงไฟฟ้า SPP 3 โรงที่ AMATA ร่วมลงทุน ทยอยเปิดดำเนินการในปี 2560-2561 รวมทั้งหมด 270 MW, คาดการณ์กำไรปี 61 โต 22% หนุนโดยรายได้ที่ดีขึ้นในทุกภาคส่วน รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นด้วย, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.6 เท่าในสิ้นปี 2561 และมีสภาพคล่องในการดำเนินงานดี
# โอกาสและความเสี่ยง - โอกาส คือ โครงการ EEC ช่วยเพิ่มยอดขายที่ดินในนิคมฯ ให้ฟื้นตัวดีขึ้น และราคาที่ดินสูงขึ้นทำให้ความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นธุรกิจนิคมฯในเวียดนามก็ช่วยเสริมผลประกอบการบริษัทด้วยส่วนความเสี่ยง ได้แก่ โครงการลงทุน EEC ล่าช้า อุตสาหกรรมต่างๆ มีการย้ายฐานการผลิตออกไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านและความไม่แน่นอนทางการเมือง (การเลือกตั้งล่าช้า, มีเหตุการณ์ความไม่สงบ ฯลฯ)
# คำแนะนำการลงทุน - Valuation ของหุ้นจูงใจ โดยการเติบโตของกำไรในปี 2561 ที่ 22% สูงกว่า P/E ที่ซื้อขายที่ 15 เท่า และคาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทนจากปันผลอยู่ที่ 2.6% ในปี 2561, แนะนำซื้อลงทุน โดยให้ราคาพื้นฐาน 30 บาท (ให้ส่วนลด 20% จาก NAV ที่ประเมินไว้เท่ากับ 37 บาท/หุ้น)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO5333