- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 06 February 2018 16:06
- Hits: 544
บล.ซีไอเอ็มบี : Thailand Trading Picks(PM)
SET Index: แนวรับ 1760 แนวต้าน 1775 และ 1800
SET Index: 1767.56 ปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงไปทดสอบแนวรับสำคัญของกรอบแนวโน้มขาขึ้นที่ 1760 จุด พร้อมด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเราคาดว่า การปรับฐานของ SET Index น่าจะมีแนวรับที่บริเวณ 1795 จุด และความเสี่ยงที่ลึกที่สุดบริเวณ 1760 จุด ดังนั้น เราจึงแนะนำให้เข้าซื้อหุ้นที่บริเวณ 1760 จุด เพื่อคาดหวังการดีดกลับในระยะสั้น โดยมีแนวต้านที่ 1175 จุด ถ้าทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 1800 จุด
แนวต้าน : 1775** และ 1780
แนวรับ : 1765 และ 1760
PTT = 484/488, AOT = 68.00/68.50, IVL = 51.00/52.00, BANPU = 21.00/21.40, PTTEP = 115/118
Kasikornbank (KBANK TB; THB 226.00) – ซื้อ
แนวต้าน : 232 และ 234
แนวรับ : 225 และ 224
ราคาหุ้นปรับตัวลดลงเข้าใกล้แนวรับของกรอบแนวโน้มขาขึ้น หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านของกรอบแนวโน้มขาขึ้นแล้วถูกขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
MACD เคลื่อนไหวออกด้านข้างที่ระดับ 0 เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มลงปรับตัวเพิ่มขึ้นแนวโน้มขึ้น RSI ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 50
แนะนำซื้อ KBANK โดยมีแนวรับที่ 225 และ 224 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 232 และ 234 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่า 222 ลงไป
Bumrungrad Hospital (BH TB; THB 194.50) – ซื้อ
แนวต้าน : 200 และ 204 / แนวต้านสำคัญ 207
แนวรับ : 194.50 และ 194
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับของเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันขึ้นมาได้ ทำให้แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวลดลงทดสอบระดับ 50
แนะนำซื้อ BH โดยมีแนวรับที่ 194.50 และ 194 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 200 และ 204 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 192 ลงไป
SET Index: แนวรับ 1760 แนวต้าน 1775 และ 1800
SET Index: 1767.56 ปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงไปทดสอบแนวรับสำคัญของกรอบแนวโน้มขาขึ้นที่ 1760 จุด พร้อมด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเราคาดว่า การปรับฐานของ SET Index น่าจะมีแนวรับที่บริเวณ 1795 จุด และความเสี่ยงที่ลึกที่สุดบริเวณ 1760 จุด ดังนั้น เราจึงแนะนำให้เข้าซื้อหุ้นที่บริเวณ 1760 จุด เพื่อคาดหวังการดีดกลับในระยะสั้น โดยมีแนวต้านที่ 1175 จุด ถ้าทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 1800 จุด
แนวต้าน : 1775** และ 1780
แนวรับ : 1765 และ 1760
PTT = 484/488, AOT = 68.00/68.50, IVL = 51.00/52.00, BANPU = 21.00/21.40, PTTEP = 115/118
Kasikornbank (KBANK TB; THB 226.00) – ซื้อ
แนวต้าน : 232 และ 234
แนวรับ : 225 และ 224
ราคาหุ้นปรับตัวลดลงเข้าใกล้แนวรับของกรอบแนวโน้มขาขึ้น หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านของกรอบแนวโน้มขาขึ้นแล้วถูกขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
MACD เคลื่อนไหวออกด้านข้างที่ระดับ 0 เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มลงปรับตัวเพิ่มขึ้นแนวโน้มขึ้น RSI ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 50
แนะนำซื้อ KBANK โดยมีแนวรับที่ 225 และ 224 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 232 และ 234 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่า 222 ลงไป
Bumrungrad Hospital (BH TB; THB 194.50) – ซื้อ
แนวต้าน : 200 และ 204 / แนวต้านสำคัญ 207
แนวรับ : 194.50 และ 194
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับของเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันขึ้นมาได้ ทำให้แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวลดลงทดสอบระดับ 50
แนะนำซื้อ BH โดยมีแนวรับที่ 194.50 และ 194 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 200 และ 204 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 192 ลงไป
บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)
SET…ยังไม่นิ่ง
ภาพตลาดหุ้นโลกตอนนี้ยังคงต้องติดตามดูทิศทางดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐเป็นหลัก หากในช่วง 1-2 วันนี้ดีดตัวขึ้นกลับได้ก็ถือว่าการลงในรอบนี้น่าจะสิ้นสุดในช่วงสั้น โดยเรามองในรอบนี้ดัชนีดาวโจนส์น่าจะลงไปที่ประมาณ 6-7% (เทียบลงไปปิด -8.5%) และลงไปต่ำสุดที่ประมาณ -10%จากจุดสูงสุด ดังนั้นในช่วงนี้ แนวโน้มที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับตัวลงต่อยังมีอยู่ อย่างไรก็ตามหากไม่มีการรีบาวน์ในตลาดหุ้นสหรัฐ คือยังลงต่อเป้าการลงน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% โดยประเด็นที่ต้องติดตาม ยังคงเป็นมุมมองของนักวิเคราะห์ ถึงแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ย การตกลงเรื่องเพดานหนี้และอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐ โดยรอบนี้ขึ้นสูงสุดที่ 2.885% แต่สุดท้ายมาปิดที่ 2.829% คาดกันว่าหลังดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงแรง น่าจะมีการรีบาวน์ขึ้นมาได้บ้างในคืนนี้ แต่คงไม่มาก
รูปด้านซ้ายเราแสดงช่วงเวลาที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ S&P 500 เกิดการปรับฐานในระดับ 10% จะพบว่าเกิดครั้งสุดท้ายในช่วงปี 2015 ดังนั้นในรอบนี้หากความผันผวนเกิดขึ้นอีกดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ (ดาวโจนส์) น่าจะปรับฐานในระดับ 10% กว่าๆ คือลงไปที่เดิม หากเกิดขึ้นอีกในรอบนี้ ก็น่าจะจบแล้ววิ่งออกข้าง แต่อย่างไรก็ตามหากลงไปมากกว่า 10% ถือว่าอันตราย โดยกลุ่มที่มองว่าดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐยังไม่น่าจะปรับตัวลงแรงมาจาก มองแนวโน้มอัตราการทำกำไรใน Q1/18 จะโตถึง 17.7% ขณะที่คาดกันว่าการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดในเดือน มี.ค.
เมื่อตลาดหุ้นสหรัฐผันผวน ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะผันผวนตาม จนกว่าการลงจะเริ่มคลายตัว หรือมีปัจจัยใหม่ๆ ที่หนุนตลาดเราเอง จากอดีตที่ผ่านมาในช่วงแรกๆ ของความผันผวนที่มาจากภายนอก มักจะกระทบกับตลาดหุ้นไทยแรง แต่หลังจากนั้นน่าจะแยกตัวออกได้ เนื่อง ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยหนุนภายในทั้งอัตราการทำกำไรของตลาด (EPS growth) ที่ดีขึ้นตามลำดับ ค่า Earning momentum บวกแรงขึ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัว หากมาดูค่าสหสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงรายวันของดัชนี SET เทียบกับ S&P 500 พบว่าอยู่ใกล้จุดสูงสูดที่เกือบ 0.6 (หรือหุ้นสหรัฐขึ้น-หุ้นไทยขึ้น) ดังนั้นการที่ค่าสหสัมพันธ์ยังอยู่ในที่สูง หากเกิดความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐแรงขึ้นมาอีก ตลาดหุ้นไทยจะลงได้แรงตามตลาดหุ้นสหรัฐ ดูรูปด้านขวา
แนวโน้มดัชนี SET ในสัปดาห์นี้ หากตลาดหุ้นสหรัฐยังรีบาวน์ไม่ได้ เรามองจะลงไปที่กรอบ 1770-1780 จุด แต่หากรีบาวน์กลับได้ อาจจะยังยื้อกันที่กรอบ 1800-1820 จุด นอกจากดูทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐแล้ว ยังต้องติดตามดูราคาน้ำมันด้วย ว่าจะยืนในระดับนี้ได้หรือไม่ หากปรับตัวลงต่อการดีดตัวกลับของดัชนี SET ก็จะน้อยหรือแกว่งออกข้าง กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ หากลงไปในกรอบ 1770-1780 จุดให้ทยอยซื้อธนาคารใหญ่ พลังงาน ปิโตรเคมี ค้าปลีก อสังหาสร้างบ้าน
ทิศทางดัชนี SET วันนี้คาดจะมีแรงขายต่อแม้จะมีการรีบาวน์ขึ้นมาบ้าง แต่จะเผชิญกับแรงขายหุ้นใหญ่ หลังดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนอย่างรุนแรงขณะที่ ราคาน้ำมันปรับตัวลงต่อ วันนี้มองแนวรับที่ 1795-1790 จุดและแนวต้านที่ 1810-1815 จุด ผลการดิ่งลงของตลาดหุ้นสหรัฐคาดจะส่งให้ตลาดหุ้นเอเชียยังผันผวนในวันนี้ แม้ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าจะรีบาวน์ขึ้นมาบ้างแต่ไม่มากเมื่อเทียบกับที่ลงไป สะท้อนยังกลัวๆ แนะนำ ซื้อเก็งกำไร QH MALEE
SET…ยังไม่นิ่ง
ภาพตลาดหุ้นโลกตอนนี้ยังคงต้องติดตามดูทิศทางดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐเป็นหลัก หากในช่วง 1-2 วันนี้ดีดตัวขึ้นกลับได้ก็ถือว่าการลงในรอบนี้น่าจะสิ้นสุดในช่วงสั้น โดยเรามองในรอบนี้ดัชนีดาวโจนส์น่าจะลงไปที่ประมาณ 6-7% (เทียบลงไปปิด -8.5%) และลงไปต่ำสุดที่ประมาณ -10%จากจุดสูงสุด ดังนั้นในช่วงนี้ แนวโน้มที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับตัวลงต่อยังมีอยู่ อย่างไรก็ตามหากไม่มีการรีบาวน์ในตลาดหุ้นสหรัฐ คือยังลงต่อเป้าการลงน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% โดยประเด็นที่ต้องติดตาม ยังคงเป็นมุมมองของนักวิเคราะห์ ถึงแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ย การตกลงเรื่องเพดานหนี้และอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐ โดยรอบนี้ขึ้นสูงสุดที่ 2.885% แต่สุดท้ายมาปิดที่ 2.829% คาดกันว่าหลังดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงแรง น่าจะมีการรีบาวน์ขึ้นมาได้บ้างในคืนนี้ แต่คงไม่มาก
รูปด้านซ้ายเราแสดงช่วงเวลาที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ S&P 500 เกิดการปรับฐานในระดับ 10% จะพบว่าเกิดครั้งสุดท้ายในช่วงปี 2015 ดังนั้นในรอบนี้หากความผันผวนเกิดขึ้นอีกดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ (ดาวโจนส์) น่าจะปรับฐานในระดับ 10% กว่าๆ คือลงไปที่เดิม หากเกิดขึ้นอีกในรอบนี้ ก็น่าจะจบแล้ววิ่งออกข้าง แต่อย่างไรก็ตามหากลงไปมากกว่า 10% ถือว่าอันตราย โดยกลุ่มที่มองว่าดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐยังไม่น่าจะปรับตัวลงแรงมาจาก มองแนวโน้มอัตราการทำกำไรใน Q1/18 จะโตถึง 17.7% ขณะที่คาดกันว่าการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดในเดือน มี.ค.
เมื่อตลาดหุ้นสหรัฐผันผวน ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะผันผวนตาม จนกว่าการลงจะเริ่มคลายตัว หรือมีปัจจัยใหม่ๆ ที่หนุนตลาดเราเอง จากอดีตที่ผ่านมาในช่วงแรกๆ ของความผันผวนที่มาจากภายนอก มักจะกระทบกับตลาดหุ้นไทยแรง แต่หลังจากนั้นน่าจะแยกตัวออกได้ เนื่อง ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยหนุนภายในทั้งอัตราการทำกำไรของตลาด (EPS growth) ที่ดีขึ้นตามลำดับ ค่า Earning momentum บวกแรงขึ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัว หากมาดูค่าสหสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงรายวันของดัชนี SET เทียบกับ S&P 500 พบว่าอยู่ใกล้จุดสูงสูดที่เกือบ 0.6 (หรือหุ้นสหรัฐขึ้น-หุ้นไทยขึ้น) ดังนั้นการที่ค่าสหสัมพันธ์ยังอยู่ในที่สูง หากเกิดความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐแรงขึ้นมาอีก ตลาดหุ้นไทยจะลงได้แรงตามตลาดหุ้นสหรัฐ ดูรูปด้านขวา
แนวโน้มดัชนี SET ในสัปดาห์นี้ หากตลาดหุ้นสหรัฐยังรีบาวน์ไม่ได้ เรามองจะลงไปที่กรอบ 1770-1780 จุด แต่หากรีบาวน์กลับได้ อาจจะยังยื้อกันที่กรอบ 1800-1820 จุด นอกจากดูทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐแล้ว ยังต้องติดตามดูราคาน้ำมันด้วย ว่าจะยืนในระดับนี้ได้หรือไม่ หากปรับตัวลงต่อการดีดตัวกลับของดัชนี SET ก็จะน้อยหรือแกว่งออกข้าง กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ หากลงไปในกรอบ 1770-1780 จุดให้ทยอยซื้อธนาคารใหญ่ พลังงาน ปิโตรเคมี ค้าปลีก อสังหาสร้างบ้าน
ทิศทางดัชนี SET วันนี้คาดจะมีแรงขายต่อแม้จะมีการรีบาวน์ขึ้นมาบ้าง แต่จะเผชิญกับแรงขายหุ้นใหญ่ หลังดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนอย่างรุนแรงขณะที่ ราคาน้ำมันปรับตัวลงต่อ วันนี้มองแนวรับที่ 1795-1790 จุดและแนวต้านที่ 1810-1815 จุด ผลการดิ่งลงของตลาดหุ้นสหรัฐคาดจะส่งให้ตลาดหุ้นเอเชียยังผันผวนในวันนี้ แม้ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าจะรีบาวน์ขึ้นมาบ้างแต่ไม่มากเมื่อเทียบกับที่ลงไป สะท้อนยังกลัวๆ แนะนำ ซื้อเก็งกำไร QH MALEE
Analysts :
Kiatkong Decho +662 761-9236 [email protected]
Line ID : @CIMBS Youtube : CIMBS
บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(PM)
Kiatkong Decho +662 761-9236 [email protected]
Line ID : @CIMBS Youtube : CIMBS
บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(PM)
Morning Market Summary…
SET ช่วงเช้าปิดที่ระดับ 1,767.56 จุด ลดลง 42.76 จุด (-2.36%) มูลค่าการซื้อขาย71,565.17 ล้านบาท หุ้นไทยเช้านี้ดิ่งลงต่อเนื่องตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลงแรง เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มที่เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะเดียวกันราคาน้ำมันปรับลงกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงาน
Afternoon Perspective…
แนวโน้มตลาดบ่าย รีบาวน์กลับ ช่วงเช้าตลาดปรับตัวลดลงแรงตามทิศทางตลาดต่างประเทศที่ปรับตัวลงแรงในทุกตลาด จากความกังวลต่อแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่เร็วกว่าคาด อย่างไรก็ตาม เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา หลังตลาดคลายความกังวลต่อแนวโน้วทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ โดยตลาด Dow Jones future เริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาจากจุดต่ำที่ติดลบกว่า 850 จุด หรือลดลงกว่า 3.5% ทำให้คาดว่าในช่วงบ่ายแรงขายน่าจะชะลอตัวลง และน่าจะเริ่มเห็นแรงซื้อจากสถาบันในประเทศตามเม็ดเงินLTF/RMF ที่น่าจะเริ่มมีแรงซื้อเข้ามา ทางเทคนิค หาก SET Index ปิดเกินระดับ 1770จุด น่าจะทำให้มีแรงซื้อเพื่อเก็งกำไรการรีบาวน์กลับในวันพรุ่งนี้เข้ามา และมีโอกาสรีบาวน์ต่อไปที่ระดับ 1785 จุด ส่วนแนวรับหลักจะอยู่ที่ระดับ 1760 จุด ภาพระยะกลางเราคาดว่าตลาดยังมีแนวโน้มดี จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ เราแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นใหญ่ แนะนำ PTT KBANK PTTGC JAS IRPC BANPU
Technical Pick (PM) ...
Kasikornbank (KBANK TB; THB 226.00) – ซื้อ
Bumrungrad Hospital (BH TB; THB 194.50) – ซื้อ
SET ช่วงเช้าปิดที่ระดับ 1,767.56 จุด ลดลง 42.76 จุด (-2.36%) มูลค่าการซื้อขาย71,565.17 ล้านบาท หุ้นไทยเช้านี้ดิ่งลงต่อเนื่องตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลงแรง เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มที่เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะเดียวกันราคาน้ำมันปรับลงกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงาน
Afternoon Perspective…
แนวโน้มตลาดบ่าย รีบาวน์กลับ ช่วงเช้าตลาดปรับตัวลดลงแรงตามทิศทางตลาดต่างประเทศที่ปรับตัวลงแรงในทุกตลาด จากความกังวลต่อแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่เร็วกว่าคาด อย่างไรก็ตาม เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา หลังตลาดคลายความกังวลต่อแนวโน้วทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ โดยตลาด Dow Jones future เริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาจากจุดต่ำที่ติดลบกว่า 850 จุด หรือลดลงกว่า 3.5% ทำให้คาดว่าในช่วงบ่ายแรงขายน่าจะชะลอตัวลง และน่าจะเริ่มเห็นแรงซื้อจากสถาบันในประเทศตามเม็ดเงินLTF/RMF ที่น่าจะเริ่มมีแรงซื้อเข้ามา ทางเทคนิค หาก SET Index ปิดเกินระดับ 1770จุด น่าจะทำให้มีแรงซื้อเพื่อเก็งกำไรการรีบาวน์กลับในวันพรุ่งนี้เข้ามา และมีโอกาสรีบาวน์ต่อไปที่ระดับ 1785 จุด ส่วนแนวรับหลักจะอยู่ที่ระดับ 1760 จุด ภาพระยะกลางเราคาดว่าตลาดยังมีแนวโน้มดี จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ เราแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นใหญ่ แนะนำ PTT KBANK PTTGC JAS IRPC BANPU
Technical Pick (PM) ...
Kasikornbank (KBANK TB; THB 226.00) – ซื้อ
Bumrungrad Hospital (BH TB; THB 194.50) – ซื้อ
Analysts :
Kitichan Sirisukarcha +66(2) 761 9232 – [email protected]
Teerawut Kanniphakul +66(2) 761 9233 – [email protected]
Line ID : @CIMBS Youtube : CIMBS
OO5277
Kitichan Sirisukarcha +66(2) 761 9232 – [email protected]
Teerawut Kanniphakul +66(2) 761 9233 – [email protected]
Line ID : @CIMBS Youtube : CIMBS
OO5277
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily 06-02-18
SET INDEX
1810.32 -17.03(-0.93) // Vol. 76,657
มีโอกาสลงต่อตาม Sentiment ตลาดปท. คาดหวังยืน 1786 จุด
กรอบการเคลื่อนไหว 1786-1814
ดัชนีวานนี้มีลักษณะ Panic Sell เปิดกระโดดลงสร้าง Gap ที่มีความกว้าง 8.78 (1813.94-1822.72) ขยับทำ Low ที่ 1796 จุด พร้อมกับมีแรงซื้อกลับขึ้นมายืน 1800 จุด และทำปิดที่ 1810 จุด ถึงแม้ดัชนีจะกลับมายืน 1800 จุด แต่ยังคงมี Sentiment ในเชิงลบจากตลาดเพื่อนบ้านรบกวน ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเหวี่ยงลงแรงได้อีก โดยมีแนวรับที่สำคัญ 1786 จุด ซึ่งคาดหวังการดีดกลับในแนวดังกล่าว หากรับไม่อยู่มีโอกาสลงไปปิด Gap บริเวณ 1753-1758
แนวรับ 1780-1790
แนวต้าน 1814-1817
Technical Analyst : พรรณนภา เขมะสุรัตน์ // เลขทะเบียน 060110 // Tel. : 02-648-1124 // phannapa.k@ktbst .co.th
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
“ ปรับฐานตามดัชนี Dow Jones”
ทิศทางตลาดหุ้นไทย:
เรามองว่าตลาดในวันนี้มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงในลักษณะเดียวกับดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวลงถึง -4.6% เมื่อคืนนี้ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยมีแรงขายออกมาค่อนข้างมากก่อนหน้านี้ กอปรกับปัจจัยในประเทศที่ยังดีอยู่จึงมองว่าการปรับตัวลงของดัชนีฯในวันนี้ จะน้อยกว่า % การลงของดัชนี Dow Jones (เราคาดลดลง 2-3%) .... ปัจจัยต่างประเทศ ตัวเลข ISM ภาคบริการของสหรัฐฯออกมาดี, ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงจากการลดการถือสินทรัพย์เสี่ยง .... ปัจจัยในประเทศ กำไร 4Q/17 ของ ADVANC (7.7 พันลบ. ; +19% YoY, +3% QoQ) สูงกว่าตลาดคาดที่ 5% YoY .... วันนี้ติดตามการประชุม ครม. คาดจะมีการเสนอมาตรการลงทุนเพิ่มเติมในเขตพื้นที่ EEC
กลยุทธ์การลงทุน:
เรายังให้คำแนะนำลดความเสี่ยงโดยการปรับลดพอร์ต์การลงทุน หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ หุ้น P/E สูง ซึ่งอาจมีแรงขายเข้ามา .... การเข้าเก็งกำไรระหว่างวันเน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว, หุ้นที่ได้รับผลบวกจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก, หรือหุ้นที่คาดว่าจะประกาศผลการดำเนินงานช่วง 4Q17 ออกมาดี โดยหุ้นที่ติด most active และคาดว่าตลาดจะให้ความสนใจได้แก่ ADVANC* , WHA หรือหุ้น defensive ที่มี dividend Yield สูง (4%) อย่าง TTW*
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์: TK, TPIPP*
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) ADVANC*:
ADVANC ประกาศผลการดำเนินงานช่วง 4Q17 ที่ 7,713 ล้านบาท (+19% YoY, +3% QoQ) สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้านี้ประมาณ 5% ในวันพรุ่งนี้ กสทช. จะมีการนำเสนอร่างหลักเกณฑ์การประมูลคลื่นความถี่ในย่าน 900 MHz และ 1800 MHz ใหม่ พร้อมกำหนดการวันประมูล ซึ่งก่อนหน้านี้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งคลื่น 1800 MHz ที่จะเข้าประมูล 45 MHz จากเดิม 3 ใบอนุญาต ออกไปเป็น 9 ใบอนุญาต
(+) WHA:
WHA เป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์เรื่อง domestic play จากมาตรการ EEC ซึ่งในวันนี้คาดว่าที่ประชุม ครม. จะมีการนำเสนอมาตรการลงทุนเพิ่มเติมในเขตพื้นที่ EEC โดย KTBST คาดว่า WHA จะเติบโตในระดับ 20% และ 16% ในปี 2018-2019 .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 5.00 บาท
(+) TK:
เรามองว่า TK เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกจากปัจจัยในประเทศ ทั้งจากมาตรการการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภูมิภาค นอกจากนี้ เรายังมองว่ากำไรสุทธิ 4Q17 ยังสามารถเติบโตได้ดี คาดการณ์ที่ 160 ล้านบาท (+20%QoQ และ 57%YoY) .... ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 20.00 บาท
หุ้นมีประเด็น
(-) CENTEL, MINT (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 57 บาท, 47 บาท)
นายอับดุลลาห์ ยามีน ประธานาธิบดีมัลดีฟส์ ประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อวานจันทร์ (5 ก.พ.) ท่ามกลางวิกฤตทางการเมืองของประเทศ โดยประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 15 วัน เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ โดยครั้งนี้จะให้อำนาจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐจับกุมและควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย เนื่องจากประธานาธิบดียามีน ปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของศาลฎีกา ที่ให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด แม้จะถูกกดดันจากนานาชาติ (กรุงเทพธุรกิจออนไลน์)
เรามีมมุมมองเชิงลบต่อประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะในกลุ่มท่องเที่ยวที่มีโรงแรมอยู่ที่ประเทศมัลดีฟส์อย่าง CENTEL (2 แห่ง) และ MINT (1 แห่งที่เป็นของตัวเอง) แต่อย่างไรก็ดี การประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 2 ที่ประธานาธิบดียามีนประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อเดือน พ.ย.2558 หลังมีความพยายามที่จะลอบสังหารเขา ซึ่งเรามองว่า ผลกระทบจะเกิดขึ้นแค่ในระยะสั้นและค่อนข้างจำกัด เพราะไม่ได้มีการห้ามนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยใกลุ่มท่องเที่ยวเรายังคงชอบ CENTEL แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 57 บาท
(+) กลุ่ม COMMERCE (Overweight)
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยแถลงว่า การสำรวจความคิดเห็นความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยเดือน ม.ค. 2561 พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกรายการ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือน ม.ค. เท่ากับ 80.0 เพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค. 2560 อยู่ที่ 79.2 ปรับตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับสูงสุดรอบ 36 เดือน ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปัจจุบัน 54.7 จาก 53.6 และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคต 90.8 จาก 90.2
เรามีมุมมองเป็นบวก และคาดว่า ยอดขายของสาขาเดิมกลุ่มค้าปลีก (same store sales growth-sssg) มีโอกาสปรับตัวขึ้น 2-3% ใน 1Q18 ภาวะการบริโภคยังคงดีต่อเนื่องจาก 4Q17 โดยเข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีน วาเลนไทน์ รวมถึงพนักงานบริษัทได้รับการขึ้นเงินเดือนและโบนัส หุ้นที่จะได้รับผลดี คือ กลุ่มค้าปลีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้างสรรพสินค้าและเครื่องสำอางค์ เราแนะนำ ซื้อ ROBINS ราคาเป้าหมาย 79 บาท BJC 63 บาท BEAUTY 25 บาท และ DDD 125 บาท
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (05 ก.พ.) – ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,810.32 จุด ลดลง 17.03 จุด หรือ -0.93% มูลค่าการซื้อขาย 76,657.42 ล้านบาท ตลาดปรับตัวลงในลักษณะเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศโดยนักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นขายสุทธิสูงถึง 5,126 ล้านบาท มองตลาดมีความกังวลเรื่องทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยและ bond yield สหรัฐฯที่ปรับตัวสูงขึ้น
ปัจจัยต่างประเทศ
(-) ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 1,175.21 จุด – ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,345.75 จุด ร่วงลง 1,175.21 จุด หรือ -4.60% นักลงทุนทำการขายหุ้นต่อเนื่องจากความกังวลว่าธนาคารสหรัฐฯจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด อีกทั้งหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง -9.2% หลังจากเฟดได้ออกคำสั่งห้ามไม่ให้ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ทำการขยายธุรกิจต่างๆ
(-) ตัวเลข ISM ภาคบริการของสหรัฐฯ สูงเกินคาด - ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 59.9 ในเดือนม.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 56.5 หลังจากร่วงลงสู่ระดับ 55.9 ใน
เดือนธ.ค.
(-) ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง จากการลดความเสี่ยง - สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 1.30 ดอลลาร์ หรือ -2% ปิดที่ 64.15 ดอลลาร์/บาร์เรล จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า นักลงทุนลดการถือสินทรัพย์เสี่ยง และตัวเลขแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 6 แท่น สู่ระดับ 765 แท่นในสัปดาห์นี้
ปัจจัยในประเทศ
(+) กำลังซื้อฟื้นตัว – นางมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท สยามพิวรรธน์ ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ เปิดเผยว่า ภาพรวมกำลังซื้อของผู้บริโภคในปีนี้เริ่มปรับตัวดีขึ้น จากยอดการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเดือน ม.ค. ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (โพสต์ทูเดย์, 06/02/2018)
(+) ADVANC ประกาศผลการดำเนินงานดีกว่าตลาดคาด – ADVANC ประกาศผลการดำเนินงานช่วง 4Q17 ที่ 7,713 ล้านบาท (+19% YoY, +3% QoQ) สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้านี้ประมาณ 5%
Analyst
Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]