- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 02 September 2014 16:35
- Hits: 2356
บล.กรุงศรี : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
แนวโน้มและปัจจัยการลงทุนวันนี้
ขายรับรู้กำไร/รอดู
เริ่มเดือนก.ย. SET ได้ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 14 เดือนที่ 1571.20 ในช่วงเช้าและปรับตัวลดลงหลังตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดและลดลงจากวิกฤตยูเครนเพิ่มความร้อนแรงเมื่อ อียูและออสเตเลียเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่อรัสเซีย ส่งผลให้ SET ปิดที่ 1565.35 จุด (+3.72 จุด, +0.24%) มีเพียง 5 กลุ่มปรับตัวลดลงสวนตลาดได้แก่ สื่อสาร พลังงาน วัสดุฯ มีเดียส์ การเงินและเหมืองแร่ มูลค่าซื้อขายทรงตัวที่ระดับ 45,186 ล้านบาท ค่าเงินบาทยังทรงตัวที่ 31.95 บาท/US$ ต่างชาติสลับซื้อสุทธิ 1,505 และกองทุนในประเทศซื้อสุทธิ 833 ล้านบาท
ปัจจัยการลงทุนวันนี้
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของอังกฤษเดือนส.ค.ลดลงเหลือ 52.5 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 14 เดือนส่วนการจ้างงานในภาคการผลิตเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
จับสถานการณ์อียูกับรัสเซียต่อยูเครนตึงเครียดเพิ่มขึ้น เมื่ออียูประกาศยื่นคำขาดให้รัสเซียยุติการแทรกแซง ยื่นคำขาดให้รัสเซียถอนตัวจากยูเครนภายใน 1 สัปดาห์และจะใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม ขณะที่ยูเครนเตือนว่ากำลังจะเข้าสู่ภาวะสงครามเต็มรูปแบบกับรัสเซีย
การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะมีขึ้นในวันที่ 4 ก.ย.นี้ สาระสำคัญคือเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้หลุดจากภาวะเงินฝืด โดยจะใช้มาตรการการเงินแบบผ่อนคลาย QE หรือ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้ติดลบเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อค่าเงินยูโรและกระแสทุนเคลื่อนย้าย
ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย (CPI) เดือน ส.ค.57 ที่ +2.09%YoY (-0.08%MoM) CPI เฉลี่ย 8 เดือน +2.21%YoY, ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน(Core CPI) เดือนส.ค.+1.83%YoY และ +0.09%MoM และ Core CPI เฉลี่ย 8 เดือน 1.54% เดือน ส.ค.56 และลดลง 0.09% จาก ก.ค.57 เงินเฟ้อเดือนส.ค.สูงขึ้นจากหมวดอาหารและเครื่องดื่ม (+3.93%) สินค้าราคาแพงขึ้นเช่น อาหารปรุงสำเร็จ เนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำ ส่วนหมวดไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม +1.12% ก.พาณิชย์ได้ปรับเป้าหมายเงินเฟ้อทั้งปีจากเดิมคาดว่าจะ +2.35% เหลือ +2.21% จากมาตรการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน และการตรึงค่าไฟฟ้า (เอฟที) อีก 0.69 สตางค์/หน่วย
การที่ SET ปรับตัวขึ้นและไม่สามารถยืนเหนือระดับ 1,570 จุดเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการสะท้อนแสดงการอ่อนกำลังของราคาแม้ว่าทั้งกองทุนในประเทศและต่าง ชาติเข้าซื้อสุทธิ เราประเมินความเสี่ยงทางลงนั้นมีมากกว่าทางขึ้นสำหรับในระยะสั้น เราแนะนำขายหุ้นเพื่อรับรู้ผลกำไร และที่ราคาสูงเช่น BMCL, BGH, TTA, EGCO, AP และหรือรอดูทิศทางตลาด
แนวโน้มการลงทุนสำหรับระยะกลาง
ลดพอร์ตหุ้น 10% เหลือถือครอง 60%
วันนี้ KSS ปรับลดน้ำหนักพอร์ตลงทุนระยะกลาง 10% จาก 70% เหลือ 60% ดังนั้นสถานะเงินสดจะเพิ่มจาก 30% เป็น 40% โดยการรับรู้กำไร (กำไรเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก +0.7%)จากการลดน้ำหนักลงทุนใน DTAC จาก 10% เหลือ 5% และตัดขาดทุน TOP ถือครองอยู่ 5% เป็น 0% (เกิดผลขาดทุนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก -0.7%) สรุปเหลือหุ้นถือครอง 10 บริษัท ประกอบด้วย PTTEP, PTTGC, HMPRO, CPALL, DTAC, ADVANC, TUF, BECL, KBANK, และ PS
Accumulate: -- รอจังหวะสะสมหุ้น
Trading: เลือกซื้อหุ้นเก็งกำไรเหนือ 1565 จุด ต่ำกว่า รอจังหวะอ่อนตัว
สถานะพอร์ตจำลอง (เริ่ม 25 พ.ย. 56)
พอร์ตหุ้น 70% ถือเงินสด 30%
ผลตอบแทนพอร์ตจำลอง (70%) = +13.4%
ผลตอบแทนถือเงินสด (30%) = +0.6%
ผลตอบแทนรวม (100%) = +14.0%
ผลตอบแทนตลาด SET = +15.7%
ผลรวมพอร์ตจำลองสุทธิ < SET
สถานะหลังลดพอร์ตจำลอง เหลือหุ้น 60%
พอร์ตหุ้น 60% ถือเงินสด 40%
Analysts :
Kasamapon Hamnilrat Registration No. 17622
Apisak Limthumrongkul Registration No. 13130