- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 30 January 2018 19:17
- Hits: 1282
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
Market summary
เมื่อวานนี้ ตลาดปรับตัวขึ้นแกร่ง ด้วยแรงขับเคลื่อนจากกลุ่มพลังงาน& ปิโตรเคมี (PTT, PTTEP, PTTGC, GPSC, BANPU), ธนาคารพาณิชย์ (KBANK) รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาล (BDMS) ขณะที่ยังคงมีแรงขายเล็กน้อยในกลุ่มค้าปลีก โดย ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ระดับ 1,837.49 จุด (+8.6 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.4 หมื่นล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับวันก่อนที่ 7.8 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายราว 358 ล้านบาท และเปิดสถานะ Short SET50 index future 1,564 สัญญา
Investment theme
เน้นหุ้นที่คาดกำไรเด่น ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ: ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังคงแกว่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ด้วยแรงหนุนจากกลุ่มหุ้น Big Caps ทั้ง พลังงาน และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งถือเป็น Sector ที่มี Market Capitalization สูงสุด 2 อันดับแรก ที่ราว 22% และ 14% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ตามลำดับ โดยปัจจัยบวกจากกลุ่มดังกล่าว คาดยังคงเป็นแรงส่ง ขับเคลื่อน SET มีลุ้นขึ้นทดสอบต้านถัดไปที่บริเวณ 1850/1870 จุด แต่อย่างไรก็ดี ยังคงแนะให้นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจในช่วงนี้ เรายังชอบหุ้นที่คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 4Q60 ขยายตัวเด่น คาดจะมีแรงเก็งกำไรผลักดันราคาหุ้นแกว่งขึ้นก่อนการรายงานผลการดำเนินงานได้ โดยสำหรับหุ้นกลุ่ม Big Caps แนะเก็งกำไร กลุ่มพลังงาน (IRPC คาดกำไรสุทธิ 4Q60 ที่ 4,010 ล้านบาท +137% YoY, +23.5% QoQ), กลุ่มปิโตรเคมี (IVL คาดกำไรสุทธิ 4Q60 ที่ 7,352 ล้านบาท +148% YoY, +109% QoQ), กลุ่มค้าปลีก (CPALL และ HMPRO ทั้งสองตัวนี้คาดกำไรสุทธิจะทำจุดสูงสุดใหม่) ส่วนนักลงทุนที่ชอบหุ้นขนาดกลาง-เล็ก อาจเลือกเก็งกำไร หุ้นที่คาดกำไร 4Q60 จะทำจุดสูงสุดใหม่ เช่น SF, ATP30, SPCG, TPIPP เป็นต้น
Investment theme: SET สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 5 และ 10 วันได้ ที่ 1830, 1824 จุด ตามลำดับ สะท้อนภาพของ SET ยังคงมี momentum เชิงบวก แต่ยังแนะระมัดระวัง โดยใช้ระดับเส้น 10 วัน เป็นจุด Trailing stop loss กลยุทธ์แนะหุ้นคาดกำไร 4Q60 เด่น หรือหุ้นที่มีปันผลสูง
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – US Core PCE ธค. ที่ 1.5%YoY ตามคาด / อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี สหรัฐฯ พุ่งสู่ระดับ 2.7% / สศค. ปรับ คาด GDP ปี 61 ขึ้นสู่ 4.2% จากคาดเดิมที่ 4.0% / สื่อรายงาน Apple เตรียมปรับลดยอดขาย iPhone X กดดันหุ้น AAPL วานนี้ร่วง -2.1%
บทวิเคราะห์วันนี้ : SF (ซื้อ, TP 9.5) คาดกำไร 4Q60 สูงสุดและยังเติบโตต่อ / HMPRO (ซื้อ, TP 15.4) คาดกำไร 4Q60 New High / STANLY (ซื้อ, TP 270) คาดกำไรยังเด่น / SIRI (ขาย, TP 1.96)
เมื่อวานนี้ ตลาดปรับตัวขึ้นแกร่ง ด้วยแรงขับเคลื่อนจากกลุ่มพลังงาน& ปิโตรเคมี (PTT, PTTEP, PTTGC, GPSC, BANPU), ธนาคารพาณิชย์ (KBANK) รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาล (BDMS) ขณะที่ยังคงมีแรงขายเล็กน้อยในกลุ่มค้าปลีก โดย ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ระดับ 1,837.49 จุด (+8.6 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.4 หมื่นล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับวันก่อนที่ 7.8 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายราว 358 ล้านบาท และเปิดสถานะ Short SET50 index future 1,564 สัญญา
Investment theme
เน้นหุ้นที่คาดกำไรเด่น ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ: ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังคงแกว่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ด้วยแรงหนุนจากกลุ่มหุ้น Big Caps ทั้ง พลังงาน และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งถือเป็น Sector ที่มี Market Capitalization สูงสุด 2 อันดับแรก ที่ราว 22% และ 14% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ตามลำดับ โดยปัจจัยบวกจากกลุ่มดังกล่าว คาดยังคงเป็นแรงส่ง ขับเคลื่อน SET มีลุ้นขึ้นทดสอบต้านถัดไปที่บริเวณ 1850/1870 จุด แต่อย่างไรก็ดี ยังคงแนะให้นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจในช่วงนี้ เรายังชอบหุ้นที่คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 4Q60 ขยายตัวเด่น คาดจะมีแรงเก็งกำไรผลักดันราคาหุ้นแกว่งขึ้นก่อนการรายงานผลการดำเนินงานได้ โดยสำหรับหุ้นกลุ่ม Big Caps แนะเก็งกำไร กลุ่มพลังงาน (IRPC คาดกำไรสุทธิ 4Q60 ที่ 4,010 ล้านบาท +137% YoY, +23.5% QoQ), กลุ่มปิโตรเคมี (IVL คาดกำไรสุทธิ 4Q60 ที่ 7,352 ล้านบาท +148% YoY, +109% QoQ), กลุ่มค้าปลีก (CPALL และ HMPRO ทั้งสองตัวนี้คาดกำไรสุทธิจะทำจุดสูงสุดใหม่) ส่วนนักลงทุนที่ชอบหุ้นขนาดกลาง-เล็ก อาจเลือกเก็งกำไร หุ้นที่คาดกำไร 4Q60 จะทำจุดสูงสุดใหม่ เช่น SF, ATP30, SPCG, TPIPP เป็นต้น
Investment theme: SET สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 5 และ 10 วันได้ ที่ 1830, 1824 จุด ตามลำดับ สะท้อนภาพของ SET ยังคงมี momentum เชิงบวก แต่ยังแนะระมัดระวัง โดยใช้ระดับเส้น 10 วัน เป็นจุด Trailing stop loss กลยุทธ์แนะหุ้นคาดกำไร 4Q60 เด่น หรือหุ้นที่มีปันผลสูง
Big issue
เมื่อคืนที่ผ่านมา – US Core PCE ธค. ที่ 1.5%YoY ตามคาด / อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี สหรัฐฯ พุ่งสู่ระดับ 2.7% / สศค. ปรับ คาด GDP ปี 61 ขึ้นสู่ 4.2% จากคาดเดิมที่ 4.0% / สื่อรายงาน Apple เตรียมปรับลดยอดขาย iPhone X กดดันหุ้น AAPL วานนี้ร่วง -2.1%
บทวิเคราะห์วันนี้ : SF (ซื้อ, TP 9.5) คาดกำไร 4Q60 สูงสุดและยังเติบโตต่อ / HMPRO (ซื้อ, TP 15.4) คาดกำไร 4Q60 New High / STANLY (ซื้อ, TP 270) คาดกำไรยังเด่น / SIRI (ขาย, TP 1.96)
SF : ปรับเพิ่มมูลค่าเหมาะสมขึ้นเป็น 9.5 บาทต่อหุ้น
คาดกำไรสุทธิ 4Q60 ที่ระดับ 503 ล้านบาท (+55% QoQ, 162% YoY)จากการบันทึกกำไรการปรับมูลค่ายุติธรรมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนของโครงการนางลี้นจี่และเมกาบางนา เฟส 2 รวมประมาณ 300 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าว คาดกำไรปกติก็เดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% QoQ และ 33% YoY
กำไรของ SF จะขยายตัวได้ต่อเนื่องในปี 2561 จากการรับรู้รายได้และส่วนกำไรเต็มปีจากโครงการที่ขยายในปีก่อน และมีการเพิ่มพื้นที่ให้เช่า
เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2560-2562 ขึ้น 5-8% สะท้อนถึงการขยายโครงการเดิมและเปิดโครงการใหม่ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไปทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มจาก 8.70 เป็น 9.50 บาท
Trading idea – – เก็งหุ้นที่คาดกำไร 4Q60 จะทำ All Time High (SF, ATP30, SPCG, TPIPP) / หุ้นที่คาดปันผลสูง (TISCO, SF, PTTGC, LH)
Technical View
คาดกำไรสุทธิ 4Q60 ที่ระดับ 503 ล้านบาท (+55% QoQ, 162% YoY)จากการบันทึกกำไรการปรับมูลค่ายุติธรรมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนของโครงการนางลี้นจี่และเมกาบางนา เฟส 2 รวมประมาณ 300 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าว คาดกำไรปกติก็เดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% QoQ และ 33% YoY
กำไรของ SF จะขยายตัวได้ต่อเนื่องในปี 2561 จากการรับรู้รายได้และส่วนกำไรเต็มปีจากโครงการที่ขยายในปีก่อน และมีการเพิ่มพื้นที่ให้เช่า
เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2560-2562 ขึ้น 5-8% สะท้อนถึงการขยายโครงการเดิมและเปิดโครงการใหม่ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไปทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มจาก 8.70 เป็น 9.50 บาท
Trading idea – – เก็งหุ้นที่คาดกำไร 4Q60 จะทำ All Time High (SF, ATP30, SPCG, TPIPP) / หุ้นที่คาดปันผลสูง (TISCO, SF, PTTGC, LH)
Technical View
ดีดตัวขึ้นคอนเฟิร์มสัญญาณ Hammer : ดัชนีเปิดโดดจากแรงซื้อหลักของหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคาร จากนั้นแกว่งตัวในกรอบแคบตลอดทั้งวัน ซึ่งถือเป็นการคอนเฟิร์มการกลับตัวแบบ Hammer ในแท่งเทียนก่อนหน้า ระยะสั้นคาดแกว่งตัวขึ้นปะทะแนวต้าน All Time High ที่ 1848 หากผ่านได้ Upside ด้านบนจะเปิดมากขึ้น มองแนวต้านที่ 1860 และ 1865 ตามลำดับ จังหวะอ่อนตัวระหว่างวัน ยังมองเป็นโอกาสสะสมหุ้นตามแนวรับ กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น: ลงทุนระยะสั้น Trading ในกรอบ 1830-1848 , ลงทุนระยะกลาง หากไม่หลุด 1830 ถือหุ้นต่อ 2) ไม่มีหุ้น: ทยอยสะสมหุ้นที่แนวรับ
แนวรับ : 1833, 1830 แนวต้าน : 1844, 1848
Eyes on
ปัจจัยต่างประเทศ : เช้าวันที่ 31 มค. Donald Trump แถลงนโยบายประจำปีต่อสภาครองเกรส (State of the Union) / วันที่ 31 มค. ประชุม FOMC คาดคงดอกเบี้ยที่ 1.5%
ปัจจัยในประเทศ : 31 มค. ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมไทย ธค. คาด +3.5%YoY
หุ้นเทคนิค:
BDMS (B 21.00-21.20, Tp 21.80//22.50, Cut 20.70)
KBANK (B 230.00, Tp 237.00, Cut 226.00)
BDMS (B 21.00-21.20, Tp 21.80//22.50, Cut 20.70)
KBANK (B 230.00, Tp 237.00, Cut 226.00)
นักวิเคราะห์ : สรพล วีระเมธีกุล / วิจิตร อารยะพิศิษฐ / จรูญพันธ์ วัฒนวงศ์
Research Department Tel. 02-658-5000
OO5020
Research Department Tel. 02-658-5000
OO5020
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 30-01-18
กลยุทธ์วันนี้ >> Mid-Small Cap//Earnings Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องตามคาดจากบรรยากาศการลงทุนที่สดใส โดยหุ้นในกลุ่มพลังงานและหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างแข็งแกร่งและทำให้ดัชนีปิดบวกได้ 8.61 จุด ณ สิ้นวัน สถาบันในประเทศยังคงเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ 2,385 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายสุทธิ 359 ลบ. (และเริ่มพลิกมา Net Short ใน Index Futures 1,564 สัญญาเช่นกัน)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET จะอ่อนตัวลงในวันนี้เกิดความกังเวลเรื่องเงินเฟ้อของสหรัฐฯและทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันดิบพลิกมาปรับตัวลงเช่นกันซึ่งทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานน่าจะมีแรงขายทำกำไรออกมากดดัน ประเด็นที่ต้องจับตาคือการประชุม FOMC ว่าจะมีการส่งสัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงินหรือไม่ รวมถึงผลประกอบการฝั่ง Real Sector ที่จะทยอยออกมาหนาแน่นขึ้น เรามองว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่คาดมีกำไร 4Q17 แข็งแกร่งน่าจะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาดในระยะนี้ ส่วนหุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่เรามองว่าในช่วงตลาดพักฐานเป็นจังหวะในการเข้าสะสมอีกครั้งหลังให้ทยอยขายทำกำไรบางส่วนไปแล้วในช่วงก่อนหน้า
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่คาดมีกำไร 4Q17 แข็งแกร่ง//สมสมหุ้นขนาดใหญ่ในช่วงตลาดพักตัว
หุ้นเด่นเดือน ม.ค. : BBL, CPN, ORI, RSP, TKN
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$242ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$220ล้าน ขณะที่ไหลออกจากอินโดนีเซีย US$31ล้าน และไทย US$12ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าแต่อาจชะลอลงหลังมีความปั่นป่วนในตลาดพันธบัตรสหรัฐเมื่อคืนนี้ที่ 10Y US Bond Yield ปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุดตั้งแต่เม.ย. 2014 ก่อนการประชุมนโยบาย FOMC ที่จะมีขึ้นในวันนี้ (ตลาดคาดจะคงอัตราดอกเบี้ย)
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> ARROW <<
ก่อนหน้านี้ ARROW แทบจะหายไปจากตลาดเพราะราคาต้นทุนเหล็กแพงต่อเนื่อง แต่ล่าสุดราคาเหล็กแผ่นรีดเย็นลงมาแล้ว 5% YTD และ ARROW เพิ่งปรับราคาขายสินค้าขึ้น 10% อีกทั้ง ยังได้ประโยชน์จากบาทแข็ง เพราะนำเข้าเหล็กเกือบทั้งหมด โดยทุก 1% ที่แข็ง จะเป็นบวกกับกำไรสุทธิ 2% ทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะกลับเข้าสู่ระดับปกติที่ 32-35% ตั้งแต่ 1Q18
คาดกำไรสุทธิ 4Q17 ที่ 59 ลบ. +23% Q-Q สะท้อนกำไรสุทธิผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 1Q17 เราคาดปี 2018 กลับมาโต 25% Y-Y อยู่ที่ 259 ลบ.
ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PE2018 เพียง 13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดที่ 16 เท่า และค่าเฉลี่ยกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ 18 เท่า แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 16.40 บาท
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯขึ้นแรง ตั้งแต่ต้นปีตัวอายุ 10 ปีขึ้นมาแล้ว 24 bps. อยู่ที่ 2.70% สูงสุดตั้งแต่ปี 2014 ทำให้ตลาดเงินเริ่มน่าสนใจกว่าตลาดทุน และอาจเป็นเหตุผลให้สินทรัพย์เสี่ยงพักตัวระยะสั้น กระแสเงินก็เช่นกัน มีแนวโน้มไหลออกจากบ้านเราทั้งตลาดตราสารหนี้และหุ้นต่อเนื่อง
(+) GLOBAL มองผ่านกำไรต่ำสุดแล้วในปี 2017 โดยคาดกำไรสุทธิ 4Q17 จะไม่ตื่นเต้นนัก +5.2% ทั้ง Q-Q และ Y-Y เพราะปกติ 2H เป็นช่วง Low Season ของธุรกิจ แต่เราเริ่มเห็นการฟื้นตัวจาก SSSG ที่คาดพลิกเป็นบวกครั้งแรกใน 5 ไตรมาส ตามการฟื้นตัวของกำลังซื้อ ซึ่งคาดกำไรสุทธิจะกลับมาเติบโตดีอีกครั้งตั้งแต่ 1Q18 นอกจากนี้สาขาใหม่ที่เปิดปีก่อนทั้ง 9 แห่ง จะรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้ รวมถึงยังมีแผนเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง 7-8 แห่ง และคาดเห็นสาขาแรกที่กัมพูชาอย่างเร็วใน 2Q18 คาดกำไรสุทธิปี 2017 -3.2% Y-Y และปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 2018 เป็น +27.2% Y-Y เพื่อสะท้อนสาขาใหม่ที่เปิดในปี 2017 มากกว่าคาด ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเล็กน้อยเป็น 19 บาท และปรับคำแนะนำขึ้นเป็นทยอยซื้อ จากเดิมถือ
(0) SAWAD เราคาดการณ์กำไร 4Q17 ที่ราว 529 ลบ. -15% Q-Q และ -13% Y-Y โดยคาดว่า SAWAD น่าจะมีการตั้งสำรองฯสูงขึ้น และคาดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะชะลอตัวเนื่องจากผลของการปรับโครงสร้างสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น เราปรับประมาณการกำไรปี 2017 ขึ้น 7% มาอยู่ที่ 2.47 พันลบ. +23% Y-Y แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2018 เราคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจอีกครั้ง การเติบโตของสินเชื่อจะมีโฟกัสหลักที่ BFIT และ SAWAD น่าจะเป็นขยับถือหุ้นมากขึ้น และขึ้นมาเป็นกลุ่มการเงินภายใต้การกำกับดูแลของธปท. แต่เราเชื่อว่าการเติบโตทั้งกลุ่มยังอยู่ในระดับดีที่ราว 30% เราคงประมาณการกำไรปี 2018 ที่ 3 พันลบ. +22.65%Y-Y และคงราคาเหมาะสมที่ 68 บาท แนะนำถือ
(-) MCOT คาด 4Q17 ขาดทุนสุทธิ 1.6 พันลบ. รวมการตั้งด้อยค่าทีวีดิจิตอลประมาณ 1.4 พันลบ. ส่วนผลการดำเนินงานปกติ คาดยังขาดทุน 170 ลบ. แย่ลง Q-Q จากผลกระทบงานพระราชพิธี 1 เดือน แต่ดีขึ้น Y-Y จากผลกระทบที่สั้นกว่าและการควบคุมค่าใช้จ่าย เรายังคงคำแนะนำขาย MCOT ส่วนหุ้นในกลุ่มทีวีดิจิทัลอื่น เราคาด BEC ต้องตั้งด้อยค่าสูงเช่นกัน ขณะที่ RS WORK MONO คาดไม่ต้องตั้งเพราะเรทติ้งสูง แนะนำซื้อ WORK (TP 98 บาท) ส่วน RS (TP 28 บาท) และ MONO (IAA Concensus 5.05 บาท) แนะนำซื้อเก็งกำไร เพราะ Upside จำกัด
(0) ILINK/ITEL ผู้บริหารกำลังแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของ ILNK ทั้งการกระตุ้นยอดขายสายสัญญาณที่ชะลอ และเร่งปิดงานสาธารณูปโภคสนามบินสุวรรณภูมิให้เสร็จทันเวลา ซึ่งคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 175 ลบ. ลงในงบ 4Q17 ทำให้กำไรทั้งปี 2017 จะลดลงเหลือเพียง 50 ลบ. จากที่เราคาดว่าจะทำได้ 249 ล้านบาท ถ้าเป็นไปตามนี้ งบเดี่ยวปี 2017 ของ ILINK จะขาดทุน ทำให้ไม่มีการจ่ายปันผล ส่วน ITEL มีปัจจัยบวกจากเน็ตชายขอบเฟส 2 ที่ใกล้เปิดประมูล แต่มีปัจจัยลบจากค่าใช้จ่ายในการนำสาย fiber optic ลงใต้ดินสำหรับพื้นที่ กทม. เรากำลังทบทวนประมาณการทั้ง ILINK และ ITEL แต่ด้วยที่ราคา ILINK ที่ลงมามาก เราจึงไม่แนะนำขายแล้ว ส่วน ITEL ยังแนะนำซื้อลงทุนเช่นเดิม
(-) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯขึ้นแรง ตั้งแต่ต้นปีตัวอายุ 10 ปีขึ้นมาแล้ว 24 bps. อยู่ที่ 2.70% สูงสุดตั้งแต่ปี 2014 ทำให้ตลาดเงินเริ่มน่าสนใจกว่าตลาดทุน และอาจเป็นเหตุผลให้สินทรัพย์เสี่ยงพักตัวระยะสั้น กระแสเงินก็เช่นกัน มีแนวโน้มไหลออกจากบ้านเราทั้งตลาดตราสารหนี้และหุ้นต่อเนื่อง
(+) GLOBAL มองผ่านกำไรต่ำสุดแล้วในปี 2017 โดยคาดกำไรสุทธิ 4Q17 จะไม่ตื่นเต้นนัก +5.2% ทั้ง Q-Q และ Y-Y เพราะปกติ 2H เป็นช่วง Low Season ของธุรกิจ แต่เราเริ่มเห็นการฟื้นตัวจาก SSSG ที่คาดพลิกเป็นบวกครั้งแรกใน 5 ไตรมาส ตามการฟื้นตัวของกำลังซื้อ ซึ่งคาดกำไรสุทธิจะกลับมาเติบโตดีอีกครั้งตั้งแต่ 1Q18 นอกจากนี้สาขาใหม่ที่เปิดปีก่อนทั้ง 9 แห่ง จะรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้ รวมถึงยังมีแผนเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง 7-8 แห่ง และคาดเห็นสาขาแรกที่กัมพูชาอย่างเร็วใน 2Q18 คาดกำไรสุทธิปี 2017 -3.2% Y-Y และปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 2018 เป็น +27.2% Y-Y เพื่อสะท้อนสาขาใหม่ที่เปิดในปี 2017 มากกว่าคาด ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเล็กน้อยเป็น 19 บาท และปรับคำแนะนำขึ้นเป็นทยอยซื้อ จากเดิมถือ
(0) SAWAD เราคาดการณ์กำไร 4Q17 ที่ราว 529 ลบ. -15% Q-Q และ -13% Y-Y โดยคาดว่า SAWAD น่าจะมีการตั้งสำรองฯสูงขึ้น และคาดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะชะลอตัวเนื่องจากผลของการปรับโครงสร้างสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น เราปรับประมาณการกำไรปี 2017 ขึ้น 7% มาอยู่ที่ 2.47 พันลบ. +23% Y-Y แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2018 เราคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจอีกครั้ง การเติบโตของสินเชื่อจะมีโฟกัสหลักที่ BFIT และ SAWAD น่าจะเป็นขยับถือหุ้นมากขึ้น และขึ้นมาเป็นกลุ่มการเงินภายใต้การกำกับดูแลของธปท. แต่เราเชื่อว่าการเติบโตทั้งกลุ่มยังอยู่ในระดับดีที่ราว 30% เราคงประมาณการกำไรปี 2018 ที่ 3 พันลบ. +22.65%Y-Y และคงราคาเหมาะสมที่ 68 บาท แนะนำถือ
(-) MCOT คาด 4Q17 ขาดทุนสุทธิ 1.6 พันลบ. รวมการตั้งด้อยค่าทีวีดิจิตอลประมาณ 1.4 พันลบ. ส่วนผลการดำเนินงานปกติ คาดยังขาดทุน 170 ลบ. แย่ลง Q-Q จากผลกระทบงานพระราชพิธี 1 เดือน แต่ดีขึ้น Y-Y จากผลกระทบที่สั้นกว่าและการควบคุมค่าใช้จ่าย เรายังคงคำแนะนำขาย MCOT ส่วนหุ้นในกลุ่มทีวีดิจิทัลอื่น เราคาด BEC ต้องตั้งด้อยค่าสูงเช่นกัน ขณะที่ RS WORK MONO คาดไม่ต้องตั้งเพราะเรทติ้งสูง แนะนำซื้อ WORK (TP 98 บาท) ส่วน RS (TP 28 บาท) และ MONO (IAA Concensus 5.05 บาท) แนะนำซื้อเก็งกำไร เพราะ Upside จำกัด
(0) ILINK/ITEL ผู้บริหารกำลังแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของ ILNK ทั้งการกระตุ้นยอดขายสายสัญญาณที่ชะลอ และเร่งปิดงานสาธารณูปโภคสนามบินสุวรรณภูมิให้เสร็จทันเวลา ซึ่งคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 175 ลบ. ลงในงบ 4Q17 ทำให้กำไรทั้งปี 2017 จะลดลงเหลือเพียง 50 ลบ. จากที่เราคาดว่าจะทำได้ 249 ล้านบาท ถ้าเป็นไปตามนี้ งบเดี่ยวปี 2017 ของ ILINK จะขาดทุน ทำให้ไม่มีการจ่ายปันผล ส่วน ITEL มีปัจจัยบวกจากเน็ตชายขอบเฟส 2 ที่ใกล้เปิดประมูล แต่มีปัจจัยลบจากค่าใช้จ่ายในการนำสาย fiber optic ลงใต้ดินสำหรับพื้นที่ กทม. เรากำลังทบทวนประมาณการทั้ง ILINK และ ITEL แต่ด้วยที่ราคา ILINK ที่ลงมามาก เราจึงไม่แนะนำขายแล้ว ส่วน ITEL ยังแนะนำซื้อลงทุนเช่นเดิม
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
30 ม.ค.- ยูโรโซน: 4Q17 GDP ตลาดคาด 2.8% เพิ่มขึ้นจาก 2.6%
- สหรัฐฯ: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ม.ค. 18)
31 ม.ค.- ไทย: ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (ธ.ค. 17)
- ยูโรโซน: อัตราเงินเฟ้อ (ม.ค. 18) อัตราการว่างงาน (ธ.ค. 17)
1 ก.พ.- ไทย: อัตราเงินเฟ้อ (ม.ค. 18)
- จีน: Caixin PMI ภาคการผลิต (ม.ค. 18)
2 ก.พ.- ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ม.ค. 18)
- สหรัฐฯ: ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (ม.ค. 18)
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดลบหลัง Bond Yield สหรัฐฯปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปีจากความกังวลเรื่องทิศทางเงินเฟ้อ
(-) ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดค่อนมาในแดนลบเช่นกันโดยจับตาดูตัวเลขเศรษฐกิจและตอบรับกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
(-) ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดในแดนลบตามตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ร่วงแรง
(-) ค่าเงินบาทเริ่มพลิกมาอ่อนค่าหลัง Dollar Index ปรับตัวขึ้น ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 31.40-31.50 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน มี.ค. ปรับลง 0.58 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 65.56 ดอลลาร์/บาร์เรล จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า รวมถึงความกังวลด้านการผลิตของสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้น
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ร่วงแรง 11.80 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,340.30 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ซึ่งทำให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวขึ้นอย่างมาก
30 ม.ค.- ยูโรโซน: 4Q17 GDP ตลาดคาด 2.8% เพิ่มขึ้นจาก 2.6%
- สหรัฐฯ: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ม.ค. 18)
31 ม.ค.- ไทย: ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (ธ.ค. 17)
- ยูโรโซน: อัตราเงินเฟ้อ (ม.ค. 18) อัตราการว่างงาน (ธ.ค. 17)
1 ก.พ.- ไทย: อัตราเงินเฟ้อ (ม.ค. 18)
- จีน: Caixin PMI ภาคการผลิต (ม.ค. 18)
2 ก.พ.- ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ม.ค. 18)
- สหรัฐฯ: ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (ม.ค. 18)
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดลบหลัง Bond Yield สหรัฐฯปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปีจากความกังวลเรื่องทิศทางเงินเฟ้อ
(-) ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดค่อนมาในแดนลบเช่นกันโดยจับตาดูตัวเลขเศรษฐกิจและตอบรับกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
(-) ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดในแดนลบตามตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ร่วงแรง
(-) ค่าเงินบาทเริ่มพลิกมาอ่อนค่าหลัง Dollar Index ปรับตัวขึ้น ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 31.40-31.50 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน มี.ค. ปรับลง 0.58 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 65.56 ดอลลาร์/บาร์เรล จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า รวมถึงความกังวลด้านการผลิตของสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้น
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ร่วงแรง 11.80 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,340.30 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ซึ่งทำให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวขึ้นอย่างมาก
Contact person : Jitra Amornthum
Register : 014530 Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research
OO5021
Register : 014530 Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research
OO5021