- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 22 January 2018 15:50
- Hits: 15720
บล.ทรีนีตี้ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
Today Selections >> D, LH, MONO
Stock S R Comment
D 8.80 9.55 BIDC หนุนรายได้รวมโต New High
LH 11.30 12.00 Backlog คอนโด 1.0 หมื่นล้านบาทหนุนยอดโอนแกร่ง
MONO 4.34 4.64 แนวโน้มเติบโตสูง ตั้งเป้าเป็นที่ 2 พร้อมขยับค่าโฆษณาขึ้นเป็น 4 หมื่นบาท/นาที (จาก2.8หมื่นบาท/นาที)
Stick with small caps with positive earning revision and low beta
Election : มองปัจจัยความเป็นไปได้ที่การเลือกตั้งจะถูกเลื่อนออกไปจากช่วงปลายปีนี้อาจส่งผลกระทบต่อดัชนีอยู่บ้าง โดยเฉพาะกับแรงขายที่อาจเกิดขึ้นจากฝั่งนักลงทุนสถาบันที่ค่อนข้าง Sensitive กับปัจจัยนี้ในช่วงหลัง เนื่องจากต้องอย่าลืมว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ SET Index ปรับตัวขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ช่วงกลางปีก่อนก็คือความชัดเจนในการเลือกตั้งนั่นเอง หากการเลือกตั้งถูกเลื่อนออกไป คงจะทำให้ระดับ Risk premium ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นโดยปริยาย ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อระดับดัชนีได้ในสภาวะที่ EPS ของตลาดยังคงไม่ถูกปรับขึ้นแม้แต่น้อย
IE : สำหรับในแง่ของ Sector นั้นมองกลุ่มที่มีโอกาสปรับตัว Underperform ได้แก่กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (AMATA, WHA, ROJNA, TICON) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศโดยตรง และเป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นมาแรงนับตั้งแต่ช่วงกลางปีก่อน (เราเคยกล่าวไว้ว่ากลุ่มนิคมฯเป็นกลุ่มที่มักจะปรับตัวได้ดีที่สุดในช่วง 1 ปีก่อนการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลทหาร)
Debt ceiling : สหรัฐฯเผชิญกับการปิดหน่วยงานราชการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2013 ภายหลังจากที่วุฒิสภาไม่สามารถลงมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณฉุกเฉินได้ โดยคาดว่าวุฒิสภาดังกล่าวจะมีการเจรจาต่อรองอีกครั้งในช่วงเช้าตรู่วันจันทร์นี้ตามเวลาสหรัฐฯ (บ่ายวันนี้ตามเวลาประเทศไทย) เพื่อลงมติร่างกฎหมายที่จะทำให้มีเงินงบประมาณเบิกจ่ายได้จนถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้
มุมมองของเรา : มองปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตลาดทุนสหรัฐฯโดยตรง โดยเฉพาะตลาดพันธบัตร ที่ล่าสุด Bond yield ยังคงปรับตัวทำระดับ New high อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกดดันต่อระดับ Earning yield gap ของเราได้บ้าง แต่คงจะไม่ส่งผลกระทบต่อดัชนีมากสักเท่าไหร่ โดยหากย้อนดูเหตุการณ์ Government shutdown ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2013 (30 ก.ย. - 17 ต.ค.) จะพบว่าหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นถึง 6 % ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วยซ้ำ ส่วนสินทรัพย์ Safe haven อย่างเช่นทองคำกลับทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง มองภาพคราวนี้จะมีความคล้ายกัน กล่าวคือการเจรจาจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ในที่สุด
Size matters : เราประเมินต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วว่า ด้วยระดับ Bond yield สหรัฐฯที่ขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดจนทำจุดสูงสุดใหม่ มีโอกาสที่จะส่งผลกดดันต่อ Performance ของหุ้นขนาดใหญ่ให้ปรับตัว Underperform ในระยะสั้นได้ หลังจากที่กลุ่มนี้ปรับตัว Outperform มาตลอดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มองว่าในระยะสั้นหุ้นขนาดเล็กจะเริ่มกลับมาเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น จาก Relative valuation ที่ดูดีขึ้น (Forward PE ของ SET Index หารด้วย Forward PE ของ SET50 Index อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2016)
Small cap : สำหรับหุ้นขนาดเล็กที่น่าสนใจในมุมมองของเราได้แก่ 1) หุ้นที่มีขนาด Market cap ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท 2) เป็นหุ้นที่นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาได้รับการปรับประมาณการขึ้นใน % ที่มากกว่าการปรับตัวขึ้นของราคา และ 3) เป็นหุ้นที่มี Beta ต่ำกว่า 1 ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้ ซึ่งหากอ้างอิงจาก Bloomberg consensus ล่าสุดจะพบว่าได้แก่ (เรียงตามประมาณการกำไรที่ปรับขึ้น) JMT, BRR, HARN, STANLY, EKH, AH, BIG, SAMTEL มองเป็นหลุมหลบภัยที่น่าสนใจสำหรับลงทุนในช่วงนี้ ทั้งนี้ ในกลุ่มนี้มี JMT ที่อยู่ใน Coverage ของเรา ซึ่งเรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 39 บาท
แนวรับ 1,809 แนวต้าน 1,833
Today's Event :
CHG ลูกหุ้นเข้า 135,697 หุ้น
TFG ลูกหุ้นเข้า 3,509,100 หุ้น
TFD-W5 เข้าซื้อขายเป็นวันแรก (241mn sh 1:1 @ Bt.3.50)
นักวิเคราะห์ : ณัฐชาต เมฆมาสิน, CFA, FRM (ID: 31379)
E-mail: [email protected]
OO4731