- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 16 January 2018 16:59
- Hits: 1426
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ทำจุดสูงสุดใหม่ 1830 จุด ด้วยแรงหนุนหุ้นปิโตรเลี่ยม (น้ำมัน/ถ่านหิน) และตลาดน่าจะเป็นอย่างนี้อีก เพราะปัจจัยรอบด้านหนุนน้ำมันดิบโลกแตะ 70 เหรียญฯ ขณะที่การรายงานงบ ธ.พ. งวด 4Q60 อาจเห็นแรงขายรับงบ กลยุทธ์ฯ ยังให้เลือกขายรายหุ้นที่เกินมูลค่าพื้นฐานปี 2561 (AOT, BJC, TOP, BBL, KBANK, IRPC, PTTGC, JAS, EA) แต่ให้สะสมหุ้น Laggards/ปันผลสูง/โภคภัณฑ์ (STEC, CK, UNIQ, INTUCH, BANPU, PTTEP, SCC, CPF, TMT, TCAP) Top picks ยังชอบ PTTEP(FV@B118) และเพิ่ม SIRI([email protected]) เป็นหุ้นปันผลเด่น
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย … SET Index ทำ All-time-high ใหม่ในรอบนี้ที่ 1830 จุด
วานนี้ SET Index ขึ้นทำ All-time-high ใหม่ที่ระดับ 1830.68 จุด ก่อนจะสร้างราคาปิดสูงสุดใหม่อีกเช่นกันที่ 1822.66 จุด เพิ่มขึ้น 12.47 จุด หรือ 0.69% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 9.43 หมื่นล้านบาท กลุ่มพลังงานยังคงนำตลาดเช่นเคย โดยเฉพาะ PTT ขึ้นทำ All time high อีกครั้งปิดที่ราคา 484 บาท เพิ่มขึ้น 2.98% ดันดัชนีขึ้นไปถึง 3.98 จุด ตามด้วย PTTEP ปรับขึ้นต่อเนื่องอีก 1.80% ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน EA เพิ่มขึ้นอีก 5.77% ราคาที่ปรับขึ้นมาสามวันทำการเกือบ 30% จนเกินมูลค่าพื้นฐานปี 2561 ไปมากแล้วจึงแนะนำให้ switch ไปยังหุ้นที่มี upside อย่าง GUNKUL ส่วนหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ปรับขึ้นคือ GPSC, CKP เพิ่มขึ้น 1.00% และ 1.31% ขณะที่หุ้นถ่านหิน BANPU เพิ่มขึ้นอีก 2.30% ตามราคาถ่านหินที่ยังทรงตัวเหนือ 100 เหรียญ
ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังปรับตัวขึ้น นำโดย SCB ปรับขึ้นต่อเนื่องอีก 2.21%, KTB เพิ่มขึ้น 1.00%, BBL เพิ่มขึ้น 1.44%, TMB และ BAY เพิ่มขึ้น 0.7% และ 1.10% ตามลำดับ อย่างไรก็ตามหุ้นกลุ่ม ธ.พ. เริ่มทยอยประกาศผลประกอบการในงวด 4Q60 บ้างแล้ว ในระยะสั้นจึงมีโอกาสถูก sell on fact ดังนั้นจึงแนะนำหุ้นรายตัวที่พื้นฐานแข็งแกร่ง และมีปันผลเด่นอย่าง TCAP, TISCO ปันผลสูงกว่า 3.9% และ 4.51% ตามลำดับ อีกกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกันกับทิศทางตลาด คือ กลุ่ม ICT นำโดย ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือทั้ง 3 ค่าย TRUE DTAC ADVANC เพิ่มขึ้น 0.8%, 2.55% และ 1.30% ขณะที่ INTUCH เพิ่มขึ้น 0.43% ยังมี upside อีก 35.6% พร้อมกับปันผลสูง 4.5% ต่อปี
สำหรับแนวโน้มตลาดฯ วันนี้ คาดดัชนีมีโอกาสขยับขึ้นไปได้ต่อ แต่อย่างไรก็ตาม สัญญาณทางเทคนิคที่บ่งบอกถึง Overbought สะท้อนถึงการปรับขึ้นมาแรงมากเกินไป ในระยะสั้นจึงอาจเห็นแรงขายทำกำไรได้ตลอดเวลา ประเมินแนวรับที่ 1807 จุด แนวต้าน 1830 จุด
ดอลลาร์อ่อนค่าหนัก หลัง ECB พร้อมขึ้นดอกเบี้ย หนุนสินค้าโภคภัณฑ์
ค่าเงินโลกผันผวนหนัก โดยดอลลาร์อ่อนค่าราว 1.25%ytd ล่าสุด อยู่ที่ 90.13 จุด แม้ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง (ทั้งตลาดแรงงาน คืออัตราการว่างงาน เดือน ธ.ค. ลดลงอยู่ที่ 4.1% ต่ำสุดในรอบ 17 ปี) และเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.1%yoy ใกล้เคียงกับเป้าหมาย ซึ่งหนุนให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยฯ 3 ครั้งในปีนี้ แต่เชื่อว่าตลาดน่าจะรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปแล้ว
ตรงกันข้ามกับสกุลหลักอื่น ๆ ของโลก แข็งค่าอย่างมาก เมื่อเทียบเงินดอลลาร์ นำโดยยูโร แข็งค่าราว 2.17%ytd ซึ่งเป็นผลจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินเข้มงวดขึ้นในปี 2561 (ดอกเบี้ยฯที่ 0% ตั้งแต่ มี.ค. 2559) หลัง QE ครบกำหนด ก.ย. นี้ (ใช้ QE จาก มี.ค. 2558 -ก.ย. 2561 ล่าสุดอัดฉีดเงินเดือนละ 3 หมื่นล้านยูโร) ขณะที่เงินเฟ้อยุโรปราว 1.4%yoy แต่คาดว่า ECB น่าจะขึ้นดอกเบี้ยค่อยเป็นค่อยไป เพราะปัญหาการเมืองในยุโรป ยังมีอยู่ โดยเฉพาะ สเปน และ อิตาลี ที่ต้องการแยกตัวออกจากยุโรป เช่นเดียวกับอังกฤษ
ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าราว 1.74%ytd หลังการเจรจา Brexit เดินหน้าต่อ ล่าสุดอังกฤษเดินหน้าเจรจาการค้ากับเนเธอร์แลนด์ และสเปน (Bilateral Trade) บวกกับดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทั้งอัตราการว่างงาน ต่ำสุดในรอบ 10 ปี และเงินเฟ้อที่สูงถึง 3% เทียบกับดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ทำให้ BOE จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยฯ สอดคล้อง Blomberg คาดจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งๆ ละ 0.25% ในปีนี้
ขณะที่ค่าเงินในประเทศฝั่งเอเชีย เกือบทุกประเทศยังแข็งค่าต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยกดดันต่อภาคส่งออกในปีนี้ แต่คาดว่าเศรษฐกิจเอเชียน่าจะเติบโตดีขึ้นในปี 2561 โดยการส่งออกจะลดน้ำหนักลง แต่ให้น้ำหนักกับการลงทุนในประเทศแทน
ตรงข้ามกับ Dollar Index มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อ และปัจจัยหนุนรอบด้านน่าจะหนุนราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น และมีโอกาส แตะ 70 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าสมมติฐานที่นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานของ ASPS ประเมินไว้ที่ 60 เหรียญฯ ในปี 2561 (เทียบกับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปี 2560 ที่ 53 เหรียญฯ) และให้ราคาน้ำมันดิบคงที่ที่ 65 เหรียญฯ ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่สูงกว่าสมมติฐานทุก 5 เหรียญฯ คือ 65 เหรียญฯ และ 70 เหรียญฯ คาดว่าจะช่วยเพิ่ม Fair Value หุ้น PTTEP ปี 2561 จากปัจจุบันที่ 118 บาท เป็น 126.81 บาท และ 135.45 บาท หรือเพิ่มขึ้นจากกรณีฐาน 7.47% และ 14.8% ตามลำดับ ณ ราคาตลาดถือว่าหุ้น PTTEP ยังมี upside 4.2%
ขณะที่หุ้นถ่านหินยังแนะนำ BANPU ถือว่ายัง laggard และน่าจะได้ประโยชน์จากราคาถ่านหินที่ยังคงยืนเหนือ 100 เหรียญฯ มาที่ 104 เหรียญฯ แม้ราคาหุ้น BANPU(FV@B26) ขยับขึ้นมาบ้าง แต่ยังมี upside 17.1% และเชื่อว่าราคานี้ได้สะท้อนความกังวลในกรณีที่ BANPU มีคดีความหงสา ที่ปัจจุบันอยู่ในชั้นศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสุดท้าย
คาดเห็นแรงขายรับงบกลุ่ม ธ.พ. นับจากนี้ ให้สะสมหุ้นปันผลเด่น
หลังจากที่ TISCO เป็น ธ.พ. แห่งแรกที่รายงานงบฯ ไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา วานนี้มีการรายงานงบของกลุ่มฯ เพิ่มเติม คือ LHBANK ทำกำไรสุทธิ 4Q60 ได้สูงกว่าคาดที่ 730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% qoq และ 16.9% yoy ปัจจัยหนุนมาจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่เติบโต เช่นเดียวกับรายได้ค่าธรรมเนียมฯ และรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ ลดลงตามสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมสิ้น ณ 4Q60 ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินเชื่อรายใหญ่ที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้ากลุ่มไต้หวัน กดดัน NIM ในงวดนี้ โดยรวมกำไรสุทธิปี 2560 อยู่ที่ 2,629 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 2.5% ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดประมาณการฯ ปี 2561-62 ลง 15.7% และ 17.6% จากเดิม เพื่อสะท้อนการปรับลดสมมติฐาน NIM และรายได้ค่าธรรมเนียมฯ ลง ภายหลังลดประมาณการฯ ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิ ปี 2561-62 เติบโตชะลอตัวลงเหลือ 6.3%yoy และ 9.1%yoy และ Fair Value ลดลงเหลือ 2.05 บาท (จากเดิม 2.33 บาท) อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นยังค่อนข้าง laggard กลุ่มฯ อีกทั้งยังคาดหวัง เชิงบวกต่อ synergy จากพันธมิตร CTBC คาดจะช่วยหนุนให้ราคาหุ้น outperform มากขึ้นหลังจากนี้
ขณะที่ ธ.พ. แห่งอื่นๆ คาดจะทยอยรายงานงบฯ ช่วงวันที่ 17-19 ม.ค. นี้ จึงอาจต้องระมัดระวังการเกิด sell on fact ในหุ้นกลุ่ม ธ.พ. โดยเฉพาะ ธ.พ. ที่ราคาหุ้นเกิน Fair Value ไปแล้ว หรือมี upside จำกัด เช่น BBL, BAY, KTB, KBANK, TMB จึงแนะนำให้รอราคาปรับฐานหลังการรายงานงบฯ เสร็จสิ้น
นอกจากนี้ การที่ SET Index ปรับขึ้นแรงและเร็วเกินไป อาจทำให้เห็นการขายทำกำไรออกมาได้ทุกเมื่อ นักลงทุนจึงควรทยอยขายทำกำไร หรือหลีกเลี่ยงหุ้นที่ราคาเกิน Fair Value ไปแล้ว เช่น KCE, SAPPE, JAS, TVO, PCSGH, IHL, TRUE, LANNA, ICHI, TU, GPSC, EA, GCAP และ ควรพักเงินในหุ้นปันผลดังจะกล่าวในย่อหน้าถัดไป
กลยุทธ์การลงทุน
SET ทำจุดสูงสุดใหม่ 1830 จุด ด้วยแรงหนุนหุ้นปิโตรเลี่ยม (น้ำมัน/ถ่านหิน) และตลาดน่าจะเป็นอย่างนี้อีก เพราะปัจจัยรอบด้านหนุนน้ำมันดิบโลกแตะ 70 เหรียญฯ ขณะที่การรายงานงบ ธ.พ. งวด 4Q60 อาจเห็นแรงขายรับงบ กลยุทธ์ฯ ยังให้เลือกขายรายหุ้นที่เกินมูลค่าพื้นฐานปี 2561 (AOT, BJC, TOP, BBL, KBANK, IRPC, PTTGC, JAS, EA) แต่ให้สะสมหุ้น Laggards/ปันผลสูง/โภคภัณฑ์ (STEC, CK, UNIQ, INTUCH, BANPU, PTTEP, SCC, CPF, TMT, TCAP) Top picks ยังชอบ PTTEP(FV@B118) และเพิ่ม SIRI([email protected]) เป็นหุ้นปันผลเด่น
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย … SET Index ทำ All-time-high ใหม่ในรอบนี้ที่ 1830 จุด
วานนี้ SET Index ขึ้นทำ All-time-high ใหม่ที่ระดับ 1830.68 จุด ก่อนจะสร้างราคาปิดสูงสุดใหม่อีกเช่นกันที่ 1822.66 จุด เพิ่มขึ้น 12.47 จุด หรือ 0.69% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 9.43 หมื่นล้านบาท กลุ่มพลังงานยังคงนำตลาดเช่นเคย โดยเฉพาะ PTT ขึ้นทำ All time high อีกครั้งปิดที่ราคา 484 บาท เพิ่มขึ้น 2.98% ดันดัชนีขึ้นไปถึง 3.98 จุด ตามด้วย PTTEP ปรับขึ้นต่อเนื่องอีก 1.80% ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน EA เพิ่มขึ้นอีก 5.77% ราคาที่ปรับขึ้นมาสามวันทำการเกือบ 30% จนเกินมูลค่าพื้นฐานปี 2561 ไปมากแล้วจึงแนะนำให้ switch ไปยังหุ้นที่มี upside อย่าง GUNKUL ส่วนหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ปรับขึ้นคือ GPSC, CKP เพิ่มขึ้น 1.00% และ 1.31% ขณะที่หุ้นถ่านหิน BANPU เพิ่มขึ้นอีก 2.30% ตามราคาถ่านหินที่ยังทรงตัวเหนือ 100 เหรียญ
ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังปรับตัวขึ้น นำโดย SCB ปรับขึ้นต่อเนื่องอีก 2.21%, KTB เพิ่มขึ้น 1.00%, BBL เพิ่มขึ้น 1.44%, TMB และ BAY เพิ่มขึ้น 0.7% และ 1.10% ตามลำดับ อย่างไรก็ตามหุ้นกลุ่ม ธ.พ. เริ่มทยอยประกาศผลประกอบการในงวด 4Q60 บ้างแล้ว ในระยะสั้นจึงมีโอกาสถูก sell on fact ดังนั้นจึงแนะนำหุ้นรายตัวที่พื้นฐานแข็งแกร่ง และมีปันผลเด่นอย่าง TCAP, TISCO ปันผลสูงกว่า 3.9% และ 4.51% ตามลำดับ อีกกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกันกับทิศทางตลาด คือ กลุ่ม ICT นำโดย ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือทั้ง 3 ค่าย TRUE DTAC ADVANC เพิ่มขึ้น 0.8%, 2.55% และ 1.30% ขณะที่ INTUCH เพิ่มขึ้น 0.43% ยังมี upside อีก 35.6% พร้อมกับปันผลสูง 4.5% ต่อปี
สำหรับแนวโน้มตลาดฯ วันนี้ คาดดัชนีมีโอกาสขยับขึ้นไปได้ต่อ แต่อย่างไรก็ตาม สัญญาณทางเทคนิคที่บ่งบอกถึง Overbought สะท้อนถึงการปรับขึ้นมาแรงมากเกินไป ในระยะสั้นจึงอาจเห็นแรงขายทำกำไรได้ตลอดเวลา ประเมินแนวรับที่ 1807 จุด แนวต้าน 1830 จุด
ดอลลาร์อ่อนค่าหนัก หลัง ECB พร้อมขึ้นดอกเบี้ย หนุนสินค้าโภคภัณฑ์
ค่าเงินโลกผันผวนหนัก โดยดอลลาร์อ่อนค่าราว 1.25%ytd ล่าสุด อยู่ที่ 90.13 จุด แม้ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง (ทั้งตลาดแรงงาน คืออัตราการว่างงาน เดือน ธ.ค. ลดลงอยู่ที่ 4.1% ต่ำสุดในรอบ 17 ปี) และเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.1%yoy ใกล้เคียงกับเป้าหมาย ซึ่งหนุนให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยฯ 3 ครั้งในปีนี้ แต่เชื่อว่าตลาดน่าจะรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปแล้ว
ตรงกันข้ามกับสกุลหลักอื่น ๆ ของโลก แข็งค่าอย่างมาก เมื่อเทียบเงินดอลลาร์ นำโดยยูโร แข็งค่าราว 2.17%ytd ซึ่งเป็นผลจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินเข้มงวดขึ้นในปี 2561 (ดอกเบี้ยฯที่ 0% ตั้งแต่ มี.ค. 2559) หลัง QE ครบกำหนด ก.ย. นี้ (ใช้ QE จาก มี.ค. 2558 -ก.ย. 2561 ล่าสุดอัดฉีดเงินเดือนละ 3 หมื่นล้านยูโร) ขณะที่เงินเฟ้อยุโรปราว 1.4%yoy แต่คาดว่า ECB น่าจะขึ้นดอกเบี้ยค่อยเป็นค่อยไป เพราะปัญหาการเมืองในยุโรป ยังมีอยู่ โดยเฉพาะ สเปน และ อิตาลี ที่ต้องการแยกตัวออกจากยุโรป เช่นเดียวกับอังกฤษ
ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าราว 1.74%ytd หลังการเจรจา Brexit เดินหน้าต่อ ล่าสุดอังกฤษเดินหน้าเจรจาการค้ากับเนเธอร์แลนด์ และสเปน (Bilateral Trade) บวกกับดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทั้งอัตราการว่างงาน ต่ำสุดในรอบ 10 ปี และเงินเฟ้อที่สูงถึง 3% เทียบกับดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ทำให้ BOE จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยฯ สอดคล้อง Blomberg คาดจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งๆ ละ 0.25% ในปีนี้
ขณะที่ค่าเงินในประเทศฝั่งเอเชีย เกือบทุกประเทศยังแข็งค่าต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยกดดันต่อภาคส่งออกในปีนี้ แต่คาดว่าเศรษฐกิจเอเชียน่าจะเติบโตดีขึ้นในปี 2561 โดยการส่งออกจะลดน้ำหนักลง แต่ให้น้ำหนักกับการลงทุนในประเทศแทน
ตรงข้ามกับ Dollar Index มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อ และปัจจัยหนุนรอบด้านน่าจะหนุนราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น และมีโอกาส แตะ 70 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าสมมติฐานที่นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานของ ASPS ประเมินไว้ที่ 60 เหรียญฯ ในปี 2561 (เทียบกับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปี 2560 ที่ 53 เหรียญฯ) และให้ราคาน้ำมันดิบคงที่ที่ 65 เหรียญฯ ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่สูงกว่าสมมติฐานทุก 5 เหรียญฯ คือ 65 เหรียญฯ และ 70 เหรียญฯ คาดว่าจะช่วยเพิ่ม Fair Value หุ้น PTTEP ปี 2561 จากปัจจุบันที่ 118 บาท เป็น 126.81 บาท และ 135.45 บาท หรือเพิ่มขึ้นจากกรณีฐาน 7.47% และ 14.8% ตามลำดับ ณ ราคาตลาดถือว่าหุ้น PTTEP ยังมี upside 4.2%
ขณะที่หุ้นถ่านหินยังแนะนำ BANPU ถือว่ายัง laggard และน่าจะได้ประโยชน์จากราคาถ่านหินที่ยังคงยืนเหนือ 100 เหรียญฯ มาที่ 104 เหรียญฯ แม้ราคาหุ้น BANPU(FV@B26) ขยับขึ้นมาบ้าง แต่ยังมี upside 17.1% และเชื่อว่าราคานี้ได้สะท้อนความกังวลในกรณีที่ BANPU มีคดีความหงสา ที่ปัจจุบันอยู่ในชั้นศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสุดท้าย
คาดเห็นแรงขายรับงบกลุ่ม ธ.พ. นับจากนี้ ให้สะสมหุ้นปันผลเด่น
หลังจากที่ TISCO เป็น ธ.พ. แห่งแรกที่รายงานงบฯ ไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา วานนี้มีการรายงานงบของกลุ่มฯ เพิ่มเติม คือ LHBANK ทำกำไรสุทธิ 4Q60 ได้สูงกว่าคาดที่ 730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% qoq และ 16.9% yoy ปัจจัยหนุนมาจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่เติบโต เช่นเดียวกับรายได้ค่าธรรมเนียมฯ และรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ ลดลงตามสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมสิ้น ณ 4Q60 ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินเชื่อรายใหญ่ที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้ากลุ่มไต้หวัน กดดัน NIM ในงวดนี้ โดยรวมกำไรสุทธิปี 2560 อยู่ที่ 2,629 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 2.5% ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดประมาณการฯ ปี 2561-62 ลง 15.7% และ 17.6% จากเดิม เพื่อสะท้อนการปรับลดสมมติฐาน NIM และรายได้ค่าธรรมเนียมฯ ลง ภายหลังลดประมาณการฯ ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิ ปี 2561-62 เติบโตชะลอตัวลงเหลือ 6.3%yoy และ 9.1%yoy และ Fair Value ลดลงเหลือ 2.05 บาท (จากเดิม 2.33 บาท) อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นยังค่อนข้าง laggard กลุ่มฯ อีกทั้งยังคาดหวัง เชิงบวกต่อ synergy จากพันธมิตร CTBC คาดจะช่วยหนุนให้ราคาหุ้น outperform มากขึ้นหลังจากนี้
ขณะที่ ธ.พ. แห่งอื่นๆ คาดจะทยอยรายงานงบฯ ช่วงวันที่ 17-19 ม.ค. นี้ จึงอาจต้องระมัดระวังการเกิด sell on fact ในหุ้นกลุ่ม ธ.พ. โดยเฉพาะ ธ.พ. ที่ราคาหุ้นเกิน Fair Value ไปแล้ว หรือมี upside จำกัด เช่น BBL, BAY, KTB, KBANK, TMB จึงแนะนำให้รอราคาปรับฐานหลังการรายงานงบฯ เสร็จสิ้น
นอกจากนี้ การที่ SET Index ปรับขึ้นแรงและเร็วเกินไป อาจทำให้เห็นการขายทำกำไรออกมาได้ทุกเมื่อ นักลงทุนจึงควรทยอยขายทำกำไร หรือหลีกเลี่ยงหุ้นที่ราคาเกิน Fair Value ไปแล้ว เช่น KCE, SAPPE, JAS, TVO, PCSGH, IHL, TRUE, LANNA, ICHI, TU, GPSC, EA, GCAP และ ควรพักเงินในหุ้นปันผลดังจะกล่าวในย่อหน้าถัดไป
กลยุทธ์ Dividend Play : SIRI, TASCO, TMT
นับจากต้นปี 2560 ถึงปัจจุบัน SET ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรง และเกินดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2561 ที่ ASPS ประมาณการไว้ คือ 1815 จุด ซึ่งทำให้มีโอกาสเผชิญกับแรงขายทำกำไร รวมถึงอาจเห็นแรงขายรับงบ 4Q60 กลุ่ม ธ.พ. และแรงขาย LTF ที่ครบ 5 ปีปฏิทิน ดังนั้นหุ้นปันผลถือเป็นหลุมหลบภัยที่ดีในสภาวะตลาดเช่นนี้ โดยเฉพาะภายหลังการประกาศงบการเงินงวดปี 2560 เสร็จสิ้นลง จะเริ่มเข้าสู่ช่วงของการประกาศจ่ายเงินปันผล สำหรับปีดำเนินงานที่ผ่านมา หรือ 2H60 และจากการศึกษาข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี พบว่าในเดือน ก.พ. และ มี.ค. ดัชนี SETHD TRI (ดัชนีหุ้นปันผลสูงที่มีการบวกเงินปันผลจ่ายกลับเข้ามา) มักจะผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 2.88% และ 2.94% ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่า SET TRI ให้ผลตอบแทนเพียง 0.80% และ 1.18% เท่านั้น
และหากต้องการคัดกรองหุ้นที่จ่ายเงินปันผลเด่น โดยการศึกษาเชิงปริมาณ พบว่า หุ้นที่มีประวัติการจ่ายปันผลเด่น 5 ปีย้อนหลัง พบว่าหุ้นที่ให้ผลตอบบวก ในช่วงก่อนการประกาศจ่ายปันผลสม่ำเสมอ จะเป็นช่วงก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD ราว 2 เดือน ซึ่งจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 7.6% ด้วยโอกาสที่จะเกิดขึ้นกว่า 77.3% แต่พบว่ายิ่งซื้อหุ้นปันผล ใกล้วันขึ้น XD มากเท่าใด ก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนลดน้อยลงเป็นลำดับ
และหากคัดกรองรายหุ้น ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง และมีการจ่ายสม่ำเสมอทุกปี พร้อมมีคำแนะนำ “ซื้อ” ควรจะซื้อก่อนขึ้นเคื่องหมาย XD ราว 2 เดือน และขายทำกำไรในวันขึ้น XD เรียงลำดับหุ้นที่ผลตอบแทนสูงเกินค่าเฉลี่ย (capital gain) คือ SIRI ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 21.6% ตามมาด้วย IFS 17.3%, TMT 15.6%, IRPC 16.0%, TASCO 15.5%, MAJOR 12.4%, SENA 12.3%, ASK 11.8%, AIT 10.3%, TK 9.5%, MCS 9.4%, BCP 8.8%, PSH 8.6%, PTTGC 8.5%, INTUCH 7.9% และ ADVANC 7.7%
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำสะสมหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง พร้อมทั้งรับเงินปันผลสูง และ ราคามักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD เสมอ เลือก SIRI, TMT, INTUCH, TASCO และ MAJOR เป็น Top picks รายละเอียดอ่าน Quantitative Analysis ฉบับเต็มได้ในวันนี้
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO4525
นับจากต้นปี 2560 ถึงปัจจุบัน SET ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรง และเกินดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2561 ที่ ASPS ประมาณการไว้ คือ 1815 จุด ซึ่งทำให้มีโอกาสเผชิญกับแรงขายทำกำไร รวมถึงอาจเห็นแรงขายรับงบ 4Q60 กลุ่ม ธ.พ. และแรงขาย LTF ที่ครบ 5 ปีปฏิทิน ดังนั้นหุ้นปันผลถือเป็นหลุมหลบภัยที่ดีในสภาวะตลาดเช่นนี้ โดยเฉพาะภายหลังการประกาศงบการเงินงวดปี 2560 เสร็จสิ้นลง จะเริ่มเข้าสู่ช่วงของการประกาศจ่ายเงินปันผล สำหรับปีดำเนินงานที่ผ่านมา หรือ 2H60 และจากการศึกษาข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี พบว่าในเดือน ก.พ. และ มี.ค. ดัชนี SETHD TRI (ดัชนีหุ้นปันผลสูงที่มีการบวกเงินปันผลจ่ายกลับเข้ามา) มักจะผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 2.88% และ 2.94% ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่า SET TRI ให้ผลตอบแทนเพียง 0.80% และ 1.18% เท่านั้น
และหากต้องการคัดกรองหุ้นที่จ่ายเงินปันผลเด่น โดยการศึกษาเชิงปริมาณ พบว่า หุ้นที่มีประวัติการจ่ายปันผลเด่น 5 ปีย้อนหลัง พบว่าหุ้นที่ให้ผลตอบบวก ในช่วงก่อนการประกาศจ่ายปันผลสม่ำเสมอ จะเป็นช่วงก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD ราว 2 เดือน ซึ่งจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 7.6% ด้วยโอกาสที่จะเกิดขึ้นกว่า 77.3% แต่พบว่ายิ่งซื้อหุ้นปันผล ใกล้วันขึ้น XD มากเท่าใด ก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนลดน้อยลงเป็นลำดับ
และหากคัดกรองรายหุ้น ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง และมีการจ่ายสม่ำเสมอทุกปี พร้อมมีคำแนะนำ “ซื้อ” ควรจะซื้อก่อนขึ้นเคื่องหมาย XD ราว 2 เดือน และขายทำกำไรในวันขึ้น XD เรียงลำดับหุ้นที่ผลตอบแทนสูงเกินค่าเฉลี่ย (capital gain) คือ SIRI ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 21.6% ตามมาด้วย IFS 17.3%, TMT 15.6%, IRPC 16.0%, TASCO 15.5%, MAJOR 12.4%, SENA 12.3%, ASK 11.8%, AIT 10.3%, TK 9.5%, MCS 9.4%, BCP 8.8%, PSH 8.6%, PTTGC 8.5%, INTUCH 7.9% และ ADVANC 7.7%
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำสะสมหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง พร้อมทั้งรับเงินปันผลสูง และ ราคามักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD เสมอ เลือก SIRI, TMT, INTUCH, TASCO และ MAJOR เป็น Top picks รายละเอียดอ่าน Quantitative Analysis ฉบับเต็มได้ในวันนี้
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO4525