- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 16 January 2018 16:57
- Hits: 1363
บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้
เก็งกำไรงบการเงิน // น้ำมัน
Smart Pick
1.สะสม PTTGC : ราคาปิด 93.00 บาท ราคาเหมาะสม 103.00 บาท
a)คาดกำไรปกติ 4Q60 ที่ 9.5 พันล้านบาท ทรงตัวในระดับสูง YoY และ QoQ จากแรงหนุนของธุรกิจโอเลฟินส์ที่แข็งแกร่งตามการใช้กำลังการผลิตและ Margin ที่เพิ่มขึ้นจากการไต่ระดับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ
b)ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง คาดปันผลงวด 2H60 หุ้นละ 2.70 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 2.9%
c)ทิศทางผลประกอบการปี 2561 สดใส เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่เหมือนในปี 2560 ที่ผ่านมา และได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันดิบที่ไต่ระดับขึ้นเนื่องจากเป็นผู้ผลิตแบบ Gas Base ทำให้ต้นทุนปรับตัวขึ้นช้าผู้ผลิตที่เป็น Naphtha Base ดังนั้น เราคาดว่ากำไรปกติปี 2561 ทำระดับสูงสุดใหม่ +9% YoY เป็น 40,792 ล้านบาท
2.เก็งกำไร KTC : ราคาปิด 199.00 บาท ราคาเหมาะสม 210 บาท
a)คาดกำไรสุทธิ 4Q60 ที่ 801 ล้านบาท เติบโตเด่น 25% YoY จากรายได้ค่าธรรมเนียมและหนี้สูญรับคืนที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี และเชื่อว่ามีโอกาสออกมาดีกว่าคาดของตลาด จากผลกระทบจากเกณฑ์ใหม่ ธปท. ต่อรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) อาจน้อยกว่าที่เราคาด
b)คาดกำไรสุทธิปี 2561 เติบโต 15% YoY หนุนจาก 1) คาดสินเชื่อปี 2561 ขยายตัว 10% ดีกว่าปี 2560 ที่ 8.9% ตามการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวตามภาพรวมเศรษฐกิจ 2) credit cost ลดลงจาก 950 bps ในปี 2560 เป็น 870 bps ในปี 2561 ตามคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีต่อเนื่อง
c)จุดเด่นของ KTC เป็นหุ้นที่มี ROE สูงเป็นอันดับที่ 3 ของกลุ่ม Finance ที่ราว 27% อีกทั้งราคาหุ้น ณ ปัจจุบันซื้อขายที่ PBV 2561 เพียง 3.1x ต่ำกว่า SAWAD และ MTLS ที่ 6x และ 7x ตามลำดับ
เก็งกำไรงบการเงิน // น้ำมัน
Smart Pick
1.สะสม PTTGC : ราคาปิด 93.00 บาท ราคาเหมาะสม 103.00 บาท
a)คาดกำไรปกติ 4Q60 ที่ 9.5 พันล้านบาท ทรงตัวในระดับสูง YoY และ QoQ จากแรงหนุนของธุรกิจโอเลฟินส์ที่แข็งแกร่งตามการใช้กำลังการผลิตและ Margin ที่เพิ่มขึ้นจากการไต่ระดับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ
b)ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง คาดปันผลงวด 2H60 หุ้นละ 2.70 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 2.9%
c)ทิศทางผลประกอบการปี 2561 สดใส เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่เหมือนในปี 2560 ที่ผ่านมา และได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันดิบที่ไต่ระดับขึ้นเนื่องจากเป็นผู้ผลิตแบบ Gas Base ทำให้ต้นทุนปรับตัวขึ้นช้าผู้ผลิตที่เป็น Naphtha Base ดังนั้น เราคาดว่ากำไรปกติปี 2561 ทำระดับสูงสุดใหม่ +9% YoY เป็น 40,792 ล้านบาท
2.เก็งกำไร KTC : ราคาปิด 199.00 บาท ราคาเหมาะสม 210 บาท
a)คาดกำไรสุทธิ 4Q60 ที่ 801 ล้านบาท เติบโตเด่น 25% YoY จากรายได้ค่าธรรมเนียมและหนี้สูญรับคืนที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี และเชื่อว่ามีโอกาสออกมาดีกว่าคาดของตลาด จากผลกระทบจากเกณฑ์ใหม่ ธปท. ต่อรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) อาจน้อยกว่าที่เราคาด
b)คาดกำไรสุทธิปี 2561 เติบโต 15% YoY หนุนจาก 1) คาดสินเชื่อปี 2561 ขยายตัว 10% ดีกว่าปี 2560 ที่ 8.9% ตามการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวตามภาพรวมเศรษฐกิจ 2) credit cost ลดลงจาก 950 bps ในปี 2560 เป็น 870 bps ในปี 2561 ตามคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีต่อเนื่อง
c)จุดเด่นของ KTC เป็นหุ้นที่มี ROE สูงเป็นอันดับที่ 3 ของกลุ่ม Finance ที่ราว 27% อีกทั้งราคาหุ้น ณ ปัจจุบันซื้อขายที่ PBV 2561 เพียง 3.1x ต่ำกว่า SAWAD และ MTLS ที่ 6x และ 7x ตามลำดับ
ตลาดหุ้นไทยวานนี้
วานนี้ SET INDEX ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.47 จุด(+0.69%) ปิดที่ 1822.66 จุด มูลค่าการซื้อขายราว 9.4 หมื่นล้านบาท ได้รับแรงหนุนจากหุ้นใน SET50 (+1.07%) เป็นหลัก ด้านกระแสเงินทุน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิราว 1.5 พันล้านบาท สวนทางกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิหนาแน่นเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันอีกราว 3.8 พันล้านบาท รวมราว 6.4 พันล้านบาท ด้านตลาดฟิวเจอร์ส นักลงทุนต่างชาติ และ สถาบันในประเทศ+บัญชี บล. มีสถานะ Long สุทธิหนาแน่นทั้ง 2 กลุ่ม ราว 9.5 พันสัญญา และ 7.3 พันสัญญา ตามลำดับ ส่งผลให้ QTD นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Short สุทธิราว 4.1 พันสัญญา สถาบันในประเทศและบัญชี บล.มีสถานะ Long สุทธิ 1.7 หมื่นสัญญา ด้านตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิราว 2.4 พันล้านบาท
กลยุทธ์วันนี้
SET INDEX ที่ขยับขึ้น 3.93% YTD ส่วน SET50 Index บวก 2.78% สะท้อนภาพหุ้น Big Cap ขยับขึ้นได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่องจากเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา สิ่งที่เรากังวลคือ Upside ของราคาหุ้นขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ใกล้กับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2561 ทำให้ Upside จำกัดมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากราคาหุ้นขนาดใหญ่เริ่มผันผวนระหว่างชั่วโมงการซื้อขายมากขึ้น อย่าง GULF วานนี้ หรือ BAY ในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งภาพเช่นนี้จะเกิดมากขึ้นในช่วงนี้ เชิงกลยุทธ์หลักเราแนะนำให้นักลงทุนเริ่ม “ทยอยขายหุ้นขนาดใหญ่ที่มี upside gain จำกัด และหันเข้าหุ้นที่ laggard ของกลุ่มแทน” หรือ “เก็งกำไรต่อกลุ่มน้ำมัน” ล้อไปตามราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง โดยเราให้น้ำหนักกับหุ้น PTT / PTTEP / PTTGC / IVL เป็นสำคัญในประเด็นนี้
ประเด็นสำคัญในสัปดาห์นี้ เราให้น้ำหนักกับการพิจารณาการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในวันพรุ่งนี้ ระหว่าง 5-12 บาท ซึ่งจะมีผลกระทบต่อกลุ่มที่ใช้แรงงานจำนวนมากอย่าง กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง /กลุ่มส่งออกอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มส่งออกอาหารที่ได้รับผลกระทบเชิงลบอีกด้านคือ การแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เชิงกลยุทธ์เราจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเก็งกำไรใน 2 กลุ่มดังกล่าว ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญในสัปดาห์นี้ คือการพิจารณาเพดานก่อหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 19 ม.ค.นี้ เราเชื่อว่าสภาคองเกรสจะผ่านการเสนอแผนขยายเพดานฯ หากเป็นไปตามคาด ย่อมทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทรงตัวดีขึ้น
วันนี้เราได้ปรับน้ำหนัก “ความเสี่ยงของตลาดขึ้นสู่ระดับสูง” เพราะ ณ ปัจจุบัน SET INDEX เทียบกับเป้าหมายของเราในปีนี้ที่ 1,870 จุดเริ่มมี upside ที่จำกัด และ Valuation ที่ตึงตัวในช่วงสั้น นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังต่อการลงทุนมากขึ้น โดยเน้นการเก็งกำไรรอบสั้นเท่านั้นต่อผลการดำเนินงานใน 4Q60
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์นี้
รมว.อุตสาหกรรม คาด พ.ร.บ. EEC จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.พ. 2561 และเปิดประมูล TOR อีก 5 โครงการ ในปีนี้
คณะกรรมการกำกับดูแลธนาคารจีน เตรียมออกกฎระเบียบเพิ่มเติมเพื่อควบคุมภาคธนาคารมากขึ้น โดยเน้นที่ Shadow Banking เป็นอย่างแรก
Merrill Lynch ปรับประมาณการราคาน้ำมันดิบ Brent ปีนี้ขึ้นเป็น $64/บาร์เรล จากเดิมที่ $56/บาร์เรล
ติดตามการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ในวันที่ 17 ม.ค. กรอบการพิจารณา 5 – 12 บาท
ติดตามการรายงาน Beige Book และ GDP 4Q60 จีน วันที่ 18 ม.ค.
ติดตามการครบกำหนดระยะเวลาการขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ 19 ม.ค.
ติดตามการรายงานนำเข้าส่งออกไทยระหว่างวันที่ 19-23 ม.ค.
วานนี้ SET INDEX ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.47 จุด(+0.69%) ปิดที่ 1822.66 จุด มูลค่าการซื้อขายราว 9.4 หมื่นล้านบาท ได้รับแรงหนุนจากหุ้นใน SET50 (+1.07%) เป็นหลัก ด้านกระแสเงินทุน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิราว 1.5 พันล้านบาท สวนทางกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิหนาแน่นเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันอีกราว 3.8 พันล้านบาท รวมราว 6.4 พันล้านบาท ด้านตลาดฟิวเจอร์ส นักลงทุนต่างชาติ และ สถาบันในประเทศ+บัญชี บล. มีสถานะ Long สุทธิหนาแน่นทั้ง 2 กลุ่ม ราว 9.5 พันสัญญา และ 7.3 พันสัญญา ตามลำดับ ส่งผลให้ QTD นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Short สุทธิราว 4.1 พันสัญญา สถาบันในประเทศและบัญชี บล.มีสถานะ Long สุทธิ 1.7 หมื่นสัญญา ด้านตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิราว 2.4 พันล้านบาท
กลยุทธ์วันนี้
SET INDEX ที่ขยับขึ้น 3.93% YTD ส่วน SET50 Index บวก 2.78% สะท้อนภาพหุ้น Big Cap ขยับขึ้นได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่องจากเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา สิ่งที่เรากังวลคือ Upside ของราคาหุ้นขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ใกล้กับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2561 ทำให้ Upside จำกัดมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากราคาหุ้นขนาดใหญ่เริ่มผันผวนระหว่างชั่วโมงการซื้อขายมากขึ้น อย่าง GULF วานนี้ หรือ BAY ในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งภาพเช่นนี้จะเกิดมากขึ้นในช่วงนี้ เชิงกลยุทธ์หลักเราแนะนำให้นักลงทุนเริ่ม “ทยอยขายหุ้นขนาดใหญ่ที่มี upside gain จำกัด และหันเข้าหุ้นที่ laggard ของกลุ่มแทน” หรือ “เก็งกำไรต่อกลุ่มน้ำมัน” ล้อไปตามราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง โดยเราให้น้ำหนักกับหุ้น PTT / PTTEP / PTTGC / IVL เป็นสำคัญในประเด็นนี้
ประเด็นสำคัญในสัปดาห์นี้ เราให้น้ำหนักกับการพิจารณาการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในวันพรุ่งนี้ ระหว่าง 5-12 บาท ซึ่งจะมีผลกระทบต่อกลุ่มที่ใช้แรงงานจำนวนมากอย่าง กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง /กลุ่มส่งออกอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มส่งออกอาหารที่ได้รับผลกระทบเชิงลบอีกด้านคือ การแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เชิงกลยุทธ์เราจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเก็งกำไรใน 2 กลุ่มดังกล่าว ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญในสัปดาห์นี้ คือการพิจารณาเพดานก่อหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 19 ม.ค.นี้ เราเชื่อว่าสภาคองเกรสจะผ่านการเสนอแผนขยายเพดานฯ หากเป็นไปตามคาด ย่อมทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทรงตัวดีขึ้น
วันนี้เราได้ปรับน้ำหนัก “ความเสี่ยงของตลาดขึ้นสู่ระดับสูง” เพราะ ณ ปัจจุบัน SET INDEX เทียบกับเป้าหมายของเราในปีนี้ที่ 1,870 จุดเริ่มมี upside ที่จำกัด และ Valuation ที่ตึงตัวในช่วงสั้น นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังต่อการลงทุนมากขึ้น โดยเน้นการเก็งกำไรรอบสั้นเท่านั้นต่อผลการดำเนินงานใน 4Q60
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์นี้
รมว.อุตสาหกรรม คาด พ.ร.บ. EEC จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.พ. 2561 และเปิดประมูล TOR อีก 5 โครงการ ในปีนี้
คณะกรรมการกำกับดูแลธนาคารจีน เตรียมออกกฎระเบียบเพิ่มเติมเพื่อควบคุมภาคธนาคารมากขึ้น โดยเน้นที่ Shadow Banking เป็นอย่างแรก
Merrill Lynch ปรับประมาณการราคาน้ำมันดิบ Brent ปีนี้ขึ้นเป็น $64/บาร์เรล จากเดิมที่ $56/บาร์เรล
ติดตามการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ในวันที่ 17 ม.ค. กรอบการพิจารณา 5 – 12 บาท
ติดตามการรายงาน Beige Book และ GDP 4Q60 จีน วันที่ 18 ม.ค.
ติดตามการครบกำหนดระยะเวลาการขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ 19 ม.ค.
ติดตามการรายงานนำเข้าส่งออกไทยระหว่างวันที่ 19-23 ม.ค.
Strategist Team
Mayuree Chowvikran Head of Research ,662-009-8050
Padon Vannarat Strategist ,662-009-8060
Piyapat Patarapuvadol Strategist ,662-009-8062
Nutt Treepoonsuk Strategist ,662-009-8059
OO4523
Mayuree Chowvikran Head of Research ,662-009-8050
Padon Vannarat Strategist ,662-009-8060
Piyapat Patarapuvadol Strategist ,662-009-8062
Nutt Treepoonsuk Strategist ,662-009-8059
OO4523