- Details
- Category: คลัง
- Published: Friday, 22 December 2017 15:59
- Hits: 2196
รมว.คลัง เตรียมชงแผนลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวปี 61 เข้าครม.เร็วๆนี้ เตรียมถกธปท.หามาตรการจูงใจแบงก์ไทยควบรวมกิจการ สู้แบงก์ตปท.
รมว.คลังเตรียมชงแผนลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวสำหรับปี 61 เข้าครม.เร็วๆนี้ ชี้เที่ยวเมืองรองตลอดทั้งปีลดหย่อนภาษีได้ 15,000 บาท ส่วนมาตรการช่วยคนจนเฟส 2 คาดได้ข้อสรุปใน 1-2 สัปดาห์นี้ พร้อมเตือนลงทุนเงินบิทคอยน์ยังมีความเสี่ยงสูง ชี้ธปท.อยู่ในช่วงศึกษาผลกระทบต่อศก.ในประเทศ เตรียมถกธปท.หามาตรการจูงใจแบงก์พาณิชย์ไทยควบรวมกิจการ สู้แบงก์ตปท.ขนาดใหญ่
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในเร็วๆนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี หรือ ครม. พิจารณามาตรการหักลดหย่อนภาษีเพื่อการท่องเที่ยวหัวเมืองรอง โดยจะให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. เป็นผู้กำหนดว่าจะเป็นจังหวัดใดบ้าง โดยจะให้สิทธิการหักลดหย่อนภาษีได้ 15,000 บาทตลอดปี
“ภาษีท่องเที่ยวเราจะให้ทั้งปีเลยมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาท โดยททท.จะเป็นผู้ประกาศว่าจะเป็นพื้นที่ใดบ้าง โดยไม่จำเป็นต้องมีใบกำกับภาษี เพียงเป็นแค่ใบเสร็จการชำระเงินมาเป็นหลักฐานเพียงอย่างเดียว”นายอภิศักดิ์ กล่าว
ส่วนมาตรการช่วยผู้มีรายได้น้อยระยะที่ 2 นั้น ซึ่งหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เสนอมาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมองว่า ยังมีเรื่องข้อปฏิบัติที่ต้องทำให้ได้ โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน เป็นต้น เพื่อหาข้อชัดเจนในทางปฏิบัติร่วมกัน ซึ่งคาดว่าภายใน 1-2 สัปดาห์นี้จะได้ข้อสรุป โดยเฉพาะการเก็บสถิติข้อมูลว่าจะสามารถนำมาปฏิบัติได้อย่างไรบ้าง
นายอภิศักดิ์ กล่าวถึงกรณีบิตคอยน์ที่ขณะนี้เป็นกระแสที่พูดถึงกันทั่วโลก ว่า อยากเตือนนักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับในเรื่องนี้ และมองว่า การลงทุนในบิทคอยน์ยังมีความเสี่ยงในเรื่องความผันผวน เนื่องจาก พบว่า บางช่วงเวลาเงินบิตคอยน์ผันผวนถึง 10% ซึ่งหากนักลงทุน หรือประชาชนที่ยังไม่มีความรู้อาจได้รับผลกระทบได้ ซึ่งขณะนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยว่าจะมีอย่างไร
“แบงก์ชาติยังไม่ได้รับรองความปลอยภัย แต่ก็กำลังศึกษาว่าเงินบิทคอยน์จะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจโดยรวมอย่างไร ซึ่งผลศึกษายังไม่ออก และระบบแบงก์ไทยในปัจจุบันก็ยังไม่มีแบงก์ไหนเปิดการลงทุนในสกุลเงินดังกล่าว แต่ก็มีนักลงทุนบางกลุ่มไปลงทุนในสกุลเงินดังกล่าวในต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มเฉพาะ”นายอภิศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายอภิศักดิ์ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ปัจจุบันพบว่า มีหลายบริษัทที่กิจการเติบโตเร็วมาก ในขณะที่สถาบันการเงินเติบโตช้า ดังนั้นจึงมีแนวคิดอยากให้สถาบันการเงินหากมีโอกาส อาจควบรวมกันเป็นธนาคารขนาดใหญ่ได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าว ได้หารือกับธปท.แล้ว ซึ่งไม่ได้ขัดข้อง และในเบื้องต้นอาจให้สิทธิประโยชน์ในการจูงใจ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้ประกอบการ รวมถึงการแข่งขันกับสถาบันการเงินในต่างประเทศ
“ตอนนี้ยังไม่เห็นว่าจะมีแบงก์ไหน ที่มีแนวโน้มว่าจะควบรวมกิจการ แต่ก็ถ้าทำได้ก็ดี เพราะจะได้มีแบงก์ใหญ่ขึ้น แต่นโยบายเราก็ไม่ได้บังคับ ใครคิดจะทำก็ทำได้ ซึ่งตอนนี้แบงก์ชาติเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร แต่ฐานของแบงก์เองก็มีเงื่อนไข เรื่องของการดำรงกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงด้วย ก็ให้ลองไปคิดดู”นายอภิศักดิ์ กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย