- Details
- Category: คลัง
- Published: Monday, 06 November 2017 17:15
- Hits: 2413
รมว.คลัง ลั่นมีแน่ช้อปช่วยชาติ รอลุ้น ครม.ไฟเขียวพรุ่งนี้ หวังกระตุ้นการใช้จ่ายกลับมาคึกคัก
รมว.คลัง ลุ้นครม.ไฟเขียวมาตรการช้อปช่วยชาติพรุ่งนี้ หวังกระตุ้นการจับจ่ายคึกคัก หลังผ่านช่วงไว้ทุกข์ 1 ปี ด้าน 'สมคิด' ฝากคลังเดินหน้าสร้างอาชีพผู้มีรายได้น้อย สร้างบ้านเพื่อคนจน หวังคนไทยหลุดพ้นความยากจนในอนาคตต่อไป
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังจาก นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้กับกระทรวงการคลัง ในวันนี้ว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันพรุ่งนี้ รายละเอียดและวามชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการช้อปช่วยชาติ ซึ่งในมุมมองส่วนตัวเห็นว่า แม้ในปีนี้จะคาดการณ์เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/60 ขยายตัวได้ 4% และไตรมาส 4/60จะเติบโตได้มากกว่า 4% แต่ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนอยู่ในช่วงหดหู่ โดยเฉพาะในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ที่ประชาชนคนไทยรู้สึกสูญเสีย ดังนั้นหากมีมาตรการที่จะทำให้เกิดความคึกคักในการจับจ่ายใช้สอยเกิดขึ้น ก็มองว่าเป็นประโยชน์และคงทำได้
“ตอนนี้คงตอบไม่ได้ยาวหรือไม่ แต่ยังยืนยันว่า ทำคงเป็นช่วงสั้นๆ เท่านั้น และให้ติดตามดูในวันพรุ่งนี้ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ทุกอย่างที่จะทำ มองแล้วว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแน่นอน ขณะที่ข้อเสนอในเรื่องการท่องเที่ยวท้องถิ่นก็คงต้องติดตามในวันพรุ่งนี้เช่นเดียวกัน ขณะที่เรื่องการให้ tax refund เป็นมุมที่เราเห็นว่าน่าสนใจก็จะต้องพิจารณา เพราะการทำ tax refund ได้ทันทีนั้น จะสามารถทำให้ผู้ซื้อไปจับจ่ายสินค้าได้เพิ่มเติมได้”นายอภิศักดิ์ กล่าว
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ในวันพรุ่งนี้ กระทรวงการคลัง จะเสนอให้ ครม.พิจารณา เรื่องการให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้สูง และเต็มใจสละสิทธิ์ไม่รับเงินผู้สูงอายุได้ด้วย เพื่อนำเงินดังกล่าวมาเฉลี่ยให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ซึ่งคาดว่าจะให้มีผลในวันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในการมอบนโยบายครั้งนี้ นายสมคิด ได้ระบุว่า ขณะนี้เศรษฐกิจเริ่มขยับตัว และมีการคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งปีจะขยายตัวได้ 3.8-3.9% ตามที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังมีสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อในระยะต่อไป คือ จะทำอย่างไรให้ผู้มีรายได้น้อย หลุดพ้นกับดักความยากจน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรือหายจน โดยได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังหาแนวทางในการสร้างอาชีพ โดยจะร่วมกับธนาคารออมสิน กับกระทรวงแรงงาน เพื่อหางานให้ ขณะที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)จะมีโครงการต่างๆ เพื่อหารายได้ให้กับเกษตรกร มีการฝึกอาชีพซึ่งจะร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อยกระดับอาชีพ และรายได้ให้กับกลุ่มดังกล่าว
“เบื้องต้น จะให้ธนาคารออมสิน และธ.ก.ส. ร่วมกันทำโครงการพิเศษ โดยร่วมมือหน่วยงานอื่นๆ ให้คนที่มาลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย เข้าร่วมโรงการ และมีอาชีพพิเศษ สอนอาชีพ หลังจากนั้น จะให้กลุ่มดังกล่าวที่มีเงินเหลือ หากต้องฝากไว้เป็นเงินสะสม จะให้กลุ่มดังกล่าวได้รับดอกเบี้ยอัตราพิเศษ และหากต้องการกู้เพื่อลงทุน ยังสามารถกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำด้วย ขณะเดียวกัน ยังเตรียมออกมาตรการที่เกี่ยวกับภาษี เพื่อจูงใจภาคเอกชนจ้างงานผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยด้วย โดยเฉพาะกลุ่มหลังเกษียณอายุ เพื่อให้คนในประเทศมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”นายอภิศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายสมคิด ยังได้ฝากให้กรมธนารักษ์ เดินหน้าส่งเสริมการทำบ้านประชาชนรัฐ ให้กับผู้มีรายได้น้อยด้วย โดยจะต้องมีสภาพแวดล้อมที่ดี และในพื้นที่จะต้องสร้างตลาดชุมชนแต่ละชุมชนด้วย เพื่อให้มาค้าขายและรายได้จากการเก็บค่าเข่านั้นมาเป็นค่าส่วนกลางของชุมชนด้วย สำหรับมาตรการสำหรับผู้มีรายได้น้อยเฟส 2 นั้น คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในช่วงธันวาคมนี้
สมคิด` เผยมาตรการช้อปช่วยชาติรอลุ้น ครม.พรุ่งนี้ ขอแบงก์เอกชนทำกำไรน้อยลง หันช่วยอุ้มธุรกิจ SME
รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เผย แย้มมาตรการช้อปช่วยชาติ รอติดตามผลจากประชุม ครม.วันพรุ่งนี้ พร้อมยืนยันรัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งได้มีมาตรการสินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อช่วยเหลือมาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และได้มอบหมายให้ธนาคารของรัฐ ปรับครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ขณะที่ธนาคารพาณิชย์เอกชน หวังให้ทำกำไรลดลง แต่หันมาให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมากขึ้น ด้านสมาคมธนาคารไทย มองมาตรการช้อปช่วยชาติช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น และพร้อมร่วมมือช่วยเหลือเอสเอ็มอี แนะผู้ประกอบการหันบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน พร้อมจัดโครงการอบรวมทั่วประเทศ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในงาน 'โครงการบริหารความเสี่ยง FX ของ SMEs'ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปีนี้ เช่น มาตรการช้อปช่วยชาติ ขอให้ติดตามในวันพรุ่งนี้ (7 พ.ย.) ซึ่งจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี
ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลัง มีแนวคิดจะออกร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการเงินฝากที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของสถาบันการเงิน เพื่อยึดเงินฝากที่ไม่มีการเคลื่อนไหวตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปเข้ากรมบัญชีกลางว่า ยังต้องรอรายละเอียดที่ชัดเจน แต่หากกระทรวงการคลังออกมาเป็นกฎหมายสถาบันการเงินก็ต้องปฏิบัติตาม อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นคาดว่าไม่มีผลกระทบต่อสถาบันการเงิน เนื่องจากบัญชีดังกล่าวมีสัดส่วนเล็กน้อย โดยวงเงินรวมทั้งระบบมีเพียง 10,000 ล้านบาท จากเงินฝากทั้งระบบที่มีอยู่ 10 ล้านล้านบาท
"หากผู้ฝากเงินที่มีบัญชีต้องการถอนเงินคืนก็สามารถทำได้ โดยติดต่อกับธนาคารที่มีเงินฝาก หากเงินยังไม่ถูกโอนไปที่บัญชีของกรมบัญชีกลาง ซึ่งธนาคารจะเน้นการดูแลลูกค้าให้ได้รับความสะดวกตามปกติ แต่หักเงินในบัญชีดังกล่าวถูกโอนไปแล้วก็ให้ติดต่อกับกระทรวงการคลัง"นายปรีดี กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า ในช่วงเวลาที่เหลืออีก 1 ปีของรัฐบาลชุดนี้จะเน้นให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME โดยจะ SME จะเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หรือ SMEs Focus Economy เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของไทยเป็น SMEs กว่า 40% ของจีดีพี
โดย 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุมัติสินเชื่อเพื่อช่วย SMEs กว่า 2 แสนล้านบาท และ ค้ำประกันสินเชื่อ SMEs อีก 2 แสนล้านบาท และสั่งการให้ธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) บูรณาการการทำงานร่วมกัน โดยให้มีการปรับโครงสร้างเอสเอ็มอีแบงก์ครั้งใหญ่ เพิ่มบุคคลากร เทคโนโลยีเพื่อวิเคราะห์ และ ประเมินผล ตลอดจนอนุมัติสินเชื่อได้ทันทีในพื้นที่ โดยไม่ต้องส่งเรื่องขออนุมัติที่สำนักงานใหญ่ เพื่อให้ดำเนินการได้เร็วขึ้น ให้ผู้ประกอบการ SME ได้มีเงินทุนอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันเอสเอ็มอีแบงก์มีเพียง 90 สาขาทั่วประเทศ ยังไม่เพียงพอต่อการให้บริการ ดังนั้นจึงให้ธนาคารขยายสาขามากขึ้น และ ให้ธนาคารออมสินจัดตั้งศูนย์เอสเอ็มอีที่สาขาทั่วประเทศเพื่อให้สินเชื่อ และ ให้คำแนะนำในการทำธุรกิจ ขณะที่ Exim Bank ต้องสนับสนุนให้ SMEs ที่ต้องการนำเข้าและ ส่งออก สามารถทำธุรกิจในต่างประเทศได้
ส่วนธนาคารพาณิชย์ อยากให้ช่วยลดการหากำไรลง และให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการ SMEs มากขึ้น โดยขอให้ธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) และ ธนาคารพาณิชย์ เข้ามาร่วมในการสร้างความเข้มแข็ง จัดแพ็คเกจสินเชื่อ และ ฝึกอบรมให้ความรู้เรื่องการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน การบริหารความเสี่ยงด้านการค้าระหว่างประเทศ หลักบัญชีและ ภาษีเบื้องต้น เป็นต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการรู้จักการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง โดยจะช่วยให้ SMEs ปรับตัวให้ทันกับเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว และ ให้ทันกับเทคโนโลยีดิจิทัลที่กำลังเปลี่ยนแปลง
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และ กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK เปิดเผยว่า หากรัฐมนตรีออกมาตรการช้อปช่วยชาติ จะช่วยทำให้เศรษฐกิจเดินเครื่องได้เร็วขึ้น จากปัจจุบันที่ตัวเลขเศรษฐกิจด้านต่างๆ ดีขึ้น โดยปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3.7% จากเดิมคาดขยายตัว 3.4% และ มาตรการช้อปช่วยชาติก็มีประโยชน์สำหรับประชาชนที่สามารถนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้
ส่วนแนวทางการช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ในส่วนธนาคารพาณิชย์พร้อมให้การสนับสนุนตามแนวทางรัฐบาล โดยจะจัดการอบรมให้ SME ที่เข้าร่วมอีก 30 ครั้งทั่วประเทศภายในปีนี้ และ SME ที่เข้าร่วมโครงการบริหารความเสี่ยง FX จะได้สิทธิ์ทดลองใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงประเภท FX Options คือ การซื้อสิทธิ์เพื่อล็อคอัตราแลกเปลี่ยนไว้ล่วงหน้า ซึ่งผู้ซื้อสิทธิ์สามารถเลือกที่จะใช้สิทธิ์ หรือไม่ใช้สิทธิ์ก็ได้ คาดว่าจะช่วยเหลือ SME จำนวน 17,000 ราย วงเงินอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 56,000 ล้านบาท
สำหรับ โครงการบริหารความเสี่ยงFX ของ SME เป็นความร่วมมือระหว่าง ธปท. กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ สสว. สมาคมธนาคารไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ Exim bank และธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง คือ ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงไทย ธ.กรุงศรีอยุธยา ธ.กสิกรไทย ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย ธ.ทหารไทย ธ.ไทยพาณิชย์ และ ธ.ยูโอบี จะให้ความรู้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้นำเข้า-ส่งออกที่มีรายได้ไม่เกิน 400 ล้านบาท ที่เป็นสมาชิกของสสว. โดยจะพิจารณา SMEs ที่มีรายได้ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อปี เป็นลำดับแรก
นายปรีดี ยังกล่าวถึงสินเชื่อของธนาคารในปี 61 เบื้องต้นตั้งเป้าเติบโตได้ 5-7% จากปีนี้คาดเติบโต 4-6% แต่หากเศรษฐกิจไทยปี 61 ขยายตัวได้ถึง 4% มีโอกาสที่สินเชื่อจะโตได้มากกว่าเป้าที่วางไว้
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย