- Details
- Category: คลัง
- Published: Monday, 18 August 2014 21:32
- Hits: 2930
คลังจ่อทบทวนเกณฑ์เงินฝากหวังผ่อนปรนลดแรงตลาดตื่นตระหนก-ไม่เอื้อคนรวย
บ้านเมือง : คลังเล็งทบทวนเกณฑ์ 3 ขั้นบันได ลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากใหม่ก่อนใช้จริง ส.ค.58 หวังผ่อนปรนลดแรงตลาดตื่นตระหนก พร้อมย้ำต้องไม่เอื้อเฉพาะคนรวย ด้าน ปธ.สมาคมไทยเตือนเดินมาตรการดังกล่าวเสี่ยงฉุดสภาพคล่องหด
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า กรณีที่ในปีหน้าจะสิ้นสุดการขยายเวลาการคุ้มครองเงินฝากบัญชีละ 50 ล้านบาท ตาม พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.2551 ออกไปอีก 3 ปี ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สมัยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำให้ผู้มีเงินฝากน้อยจะได้ประโยชน์ จากเดิมที่จะต้องสิ้นสุดในวันที่ 10 ส.ค.55 และเริ่มคุ้มครองบัญชีละ 1 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.55 เป็นต้นไป ดังนั้น สศค.จะต้องศึกษาทบทวนการปรับลดวงเงินบัญชีเงินฝากเป็นขั้นบันไดใหม่อีกครั้ง
ทั้งนี้ อาจจะผ่อนปรนให้มากกว่านี้ เพื่อไม่ให้กระทบกับสภาพคล่องในตลาดปัจจุบันหรือไม่ให้ตลาดตื่นตระหนกอย่างไรก็ตาม จากก่อนหน้านี้สถาบันคุ้มครองเงินฝาก กำหนดไว้หลังครบ 3 ปี หรือเริ่ม วันที่ 11 ส.ค.58 จะคุ้มครองที่ ไม่เกิน 25 ล้านบาทต่อบัญชี และเริ่มวันที่11 ส.ค.59 เป็นต้นไป
นายกฤษฎา กล่าวว่า สศค.จะต้องพิจารณาว่ามาตรการนี้ช่วยเหลือจริงหรือไม่ เนื่องจากไม่อยากให้มาตรการนี้ถูกมองว่าช่วยเหลือคนรวย เพราะคนรวยที่มีบัญชีเกิน 50 ล้านบาท มีสัดส่วนแค่ 1% เมื่อเทียบกับคนที่มีบัญชีต่ำกว่า 50 ล้านบาท ที่มีสัดส่วนถึง 98-99% และคนเหล่านี้มีความสามารถบริหารจัดการเงินของตัวเองได้อยู่แล้วไม่มีทางที่สถาบันการเงินจะเสียหายแน่นอน
"สศค.มองว่า คนที่มีเงินฝาก 13 ล้านบาท หรือฝากแบงก์ละ 1 ล้านบาท คนกลุ่มนี้ยังถือว่าอยู่น้อยมากๆ"นายกฤษฎา กล่าว
ด้าน นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวด้วยว่า ทิศทางครึ่งปีหลังและปีหน้าประเมินว่า ข่าวร้ายคือ สภาพคล่องที่มีอยู่ในระบบจะค่อยๆ หดลงไป ดอกเบี้ยจะแพงขึ้น ประกอบกับเรื่องของทางสหรัฐเริ่มลดคิวอี ปีนี้คิวอีก็คงหมดแล้ว ปีหน้าเขาต้องเริ่มดึงดอกเบี้ยขึ้น 0.50-0.75% ปีต่อไปก็จะขึ้นดอกเบี้ยอีก และปีหน้าระบบประกันเงินฝากลดจาก 50 ล้านบาท เหลือ 25 ล้านบาท จะมีผลกระทบต่อเรื่องสภาพคล่องอยู่
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังยังได้รับการร้องเรียนจากธนาคารพาณิชย์ว่ายังมีความลักลั่นกันอยู่กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีรัฐถือหุ้นอยู่ 100% ซึ่งทางพฤตินัยเป็นการคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน ทำให้การแข่งขันไม่เป็นธรรม ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจยุโรปยังมีความอ่อนไหว จึงจำเป็นต้องให้ผู้ฝากเงินเกิดความมั่นใจต่อระบบสถาบันการเงินและลดการเคลื่อนย้ายเงินฝากระหว่างสถาบันการเงิน เงิน
สำหรับปัจจุบันมีบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองไม่เกิน 50 ล้านบาทอยู่ประมาณ 60.21 ล้านราย คิดเป็น 99.98% ของฐานเงินฝากทั้งหมด และครอบคลุมฐานเงินฝากจำนวน 5.21 ล้านล้านบาท หรือ 68.86% ของฐานเงินฝากทั้งหมด แต่ถ้าลดเหลือการคุ้มครอง 1 ล้านบาทต่อบัญชี จะครอบคลุมผู้ฝากลดลงเป็น 59.53 ล้านราย หรือ 98.42% ของผู้ฝากทั้งหมด แต่ครอบคลุมฐานเงินฝาก 1.8 ล้านล้านบาท หรือ 23.57% ของทั้งหมด
นายคมศร ประกอบผล นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส ทิสโก้ เวลธ์ (Mr.Komsorn Prakobphol, Senior Strategist, TISCO Wealth) เปิดเผยว่า ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมัน แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 2 ของปี 2557 ของเยอรมันเบื้องต้น จะหดตัวประมาณ 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน รวมไปถึงปัญหาความขัดแย้งในยูเครน ที่ได้สร้างความกังวลต่อตลาดหุ้นในแถบยุโรปโดยรวม และส่งผลให้ตลาดหุ้นมีการปรับฐานลงมาค่อนข้างแรงนั้น ถือเป็นจังหวะในการ'ซื้อสะสม' หุ้นเยอรมัน เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจของเยอรมันมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยดอยซ์แบงก์คาดว่าเศรษฐกิจของเยอรมันในไตรมาส 3 และ 4 จะขยายตัวที่ 0.4% และ 0.3% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นเยอรมันยังจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก การผ่อนคลายนโยบายการเงินของ ECB เช่นการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกับภาคธนาคาร (Target LTRO) ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินยูโรที่อ่อนค่า และเป็นปัจจัยบวกต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในเยอรมัน ซึ่งมีรายได้จำนวนมากจากต่างประเทศ ทั้งนี้ดอยซ์แบงก์ยังคงมองว่าธนาคารกลางยุโรปจะออกมาตรการเพิ่มเติม เช่น การเข้าซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อธนาคารพาณิชย์หนุนหลัง (ABS) ในต้นปี 2558
"เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นเยอรมันในช่วงครึ่งหลังของปี และมองผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในเยอรมันจะขยายตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีด้วย และจังหวะที่ตลาดหุ้นเยอรมันมีการปรับฐานลงมาแรงนั้น เรามองว่าเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน เพราะหากเมื่อเทียบกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเยอรมันที่จะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง เมื่อหุ้นดีดกลับก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับที่ดีเช่นกัน" นายคมศร กล่าว