WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

Gอภศกด ตนตวรวงศรมว.คลัง เร่งเอกชนช่วยฟื้นศก. เตรียมแผนลดภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับร้านค้าอีเพย์เม้นท์ - ออกแผนช่วยผู้มีรายได้น้อยต้นปีหน้า

    รมว.คลัง ชี้ปัญหาการเมืองในปท.ฉุดการลงทุน หวังเอกชนเป็นผู้พลิกฟื้นศก. พร้อมเร่งหารือสรรพากร หาแนวทางลดภาษีหัก ณ ที่จ่ายเหลือ 2% จาก 3-5% สำหรับร้านที่ร่วมอีเพย์เม้นท์ แย้มจะเริ่มออกมาตรการช่วยผู้มีรายได้น้อยต้นปี 60 เชื่อจะหนุนให้ปชช.มาลงทะเบียนรับสวัสดิการมากขึ้น หลังล่าสุดล่าสุดมีปชช.ลงทะเบียนทั่วประเทศเพียง 1.6 ล้านราย ระบุไม่กังวลเงินนอกทะลักเข้าระบบในช่วงนี้ ชี้เงินไหลออกน่ากังวลกว่า มั่นใจธปท.ดูแลได้

     นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในงานบางกอกโพสต์ : อีเพย์เม้นท์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย  ว่า หากมองโครงสร้างประเทศไทยที่มีปัญหาเรื่องการเมือง ที่มีความขัดแย้ง ทำให้ไทยไม่ได้มีการลงทุนมานาน ทำให้ประสิทธิภาพของประเทศลดลง ซึ่งส่งต่อการส่งออกของไทยชะลอตัวลงตามไปด้วย ดังนั้นในช่วงเวลานี้รัฐบาลจึงพยายามผลักดันการเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศ โดยตัวหลักคือเอกชนที่จะต้องเป็นผู้นำ ซึ่งหากทำได้จะทำให้ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันในทุกๆ ด้าน ทั้งการลงทุน และการส่งออกได้เป็นอย่างดี แต่ในมุมของภาคการเงิน เนชั่นแนล อีเพย์เม้นท์ จะเป็นตัวเพิ่มประสิทธิภาพทางการเงินให้ดีขึ้น ซึ่งเนชั่นแนล อีเพย์เม้นท์ เป็นระบบที่ทำให้เกิดการพัฒนาทางการเงินในประเทศ ซึ่ง

    ทั้งนี้ ถ้าทำได้ จะเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มี เนชั่นแนล อีเพย์เม้นท์ ได้ และหากเป็นผู้นำในด้านนี้ก็จะทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพและยกระดับเป็นประเทศที่มีรายได้สูงขึ้นได้ สำหรับในส่วนของประชาชนหากมีอีเพย์เม้นท์ จะทำให้เกิดความสะดวกในการใช้บริการทางการเงินอย่างทั่วถึง ขณะที่ร้านค้าจะได้ประโยชน์จากการทำงานระบบบัญชีในการซื้อขายให้สะดวก ส่วนการยื่นแบบภาษีจะทำผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สะดวกมากขึ้น และกรมสรรพากรยังสามารถตรวจสอบด้านภาษีได้ดีขึ้น และลดการรั่วไหลของเงินภาษีด้วยเช่นเดียวกัน

    นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ได้หารือกับกรมสรรพากร เพื่อจูงใจให้ร้านค้าเข้าสู่ระบบดังกล่าว โดยอาจลดการหักภาษี ณ ที่จ่ายลงเหลือ 2% จากปัจจุบันที่ 3-5% ซึ่งมั่นใจจะเป็นประโยชน์อย่างสูง อย่างไรก็ตาม ขณะที่ภาคธนาคารจะมีต้นทุนในการบริหารจัดการต่ำลง จากปัจจุบันที่มีต้นทุนด้านเงินสุดสูงมาก ซึ่งถ้าต้นทุนต่ำ ธนาคารจะเกิดการแข่งขันได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ประชาชนผู้ใช้บริการก็จะได้ประโยชน์ตามไปด้วยเช่นกัน

  อย่างไรก็ตามเรื่องพร้อมเพย์ เป็นเพียง 10% ของเนชั่นแนล อีเพย์เม้นท์ทั้งระบบเท่านั้น ฉะนั้นส่วนนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาระบบการเงินของไทย แต่ยืนยันจะต้องพัฒนาเนชั่นแนล อีเพย์เม้นท์ให้แล้วเสร็จให้ได้ภายในรัฐบาลนี้ ซึ่งมีวาระทำงานอีกกว่า 1 ปีเท่านั้น

 โดยหลังจากนี้คือจะผลักดันให้มีการขยายเครื่องรับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือ เครื่อง EDC ให้ได้ตามเป้าหมาย โดยเฉพาะร้านโชว์ห่วย เพื่อรองรับการใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ของประชาชนทั่วไปให้ได้มากที่สุด และหลังจากนั้น จะนำไปสู่การได้รับสวัสดิการต่างๆ จากรัฐของผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งปัจจุบันมีผู้มาลงทะเบียนแล้ว 1.6 ล้านราย โดยสาเหตุที่ลงทะเบียนน้อย เนื่องจากขณะนี้ภาครัฐยังไม่มีมาตรการ หรือนโยบายที่ชัดเจนออกมา แต่อย่างไรก็ตาม ภายในต้นปีหน้าจะเห็นมาตรการเพื่อคนที่มีรายได้น้อยออกมาแน่นอน

    "ถ้าไปลงทะเบียน เป็นไปได้ว่า ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยกับธนาคารจะให้เพิ่มจากปัจจุบันได้ 600 บาท ซึ่งจะช่วยเหลือให้ผู้สูงอายุมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นอกจากนี้อาจจะมีมาตรการอื่นๆที่ให้เป็นการเฉพาะ ลดค่าน้ำ ค่าไฟ ลดราคาแก๊สให้กับกลุ่มคนที่มาลงทะเบียน รถเมล์ฟรีเฉพาะผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น ซึ่งการลงทะเบียนนั้นจะเปิดให้ลงทุกปี ปีละ 1 ครั้งในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี"นายอภิศักดิ์ กล่าว

     นายอภิศักดิ์ กล่าวถึงเงินทุนไหลเข้าไทยจำนวนมากในเวลานี้ นั้น เนื่องจากนักลงทุนเห็นว่าไทยยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการลงทุนของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยยืนยันว่า เงินที่ไหลเข้าจำนวนมาก ไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับเงินที่ไหลออก โดยยืนยันว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. จะติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!