WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

Gอภศกด ตนตวรวงศรมว.คลัง เดินหน้าตั้งซูปเปอร์โฮลดิ้ง หวังเพิ่มประสิทธิภาพ กำหนดรูปแบบดูแลรัฐวิสาหกิจให้ชัดเจน

    นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวทางในการจัดตั้ง บรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ หรือ ซูปเปอร์โฮลดิ้ง เพื่อให้การดำเนินงานมีความชัดเจนและสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเมื่อร่างกฎหมายประกาศใช้ โดยคณะอนุกรรมการที่มีนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นประธาน และมีผู้อำนวยการ สคร. เป็นกรรมการและเลขานุการ และมีตนเป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการ

    ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการที่ตั้งขึ้นมาใหม่จะมีหน้าที่กำหนดแผนงานและกรอบระยะเวลาในการจัดตั้งบรรษัทฯ กำหนดรูปแบบการกำกับดูแลและความเชื่อมโยงระหว่างบรรษัทฯ และรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในการกำกับ โครงการสร้างและอัตรากำลังของบรรษัท กำหนดค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ให้กับคณะกรรมการและบุคลากรของบรรษัท และ กำหนดงบประมาณในการดำเนินงานของบรรษัทฯ

รมว.คลังยันไม่นิรโทษกรรมภาษีให้กับเอสเอ็มอีที่เคยเลี่ยงภาษี เตือนให้เข้ามาทำบัญชีให้ถูกต้อง

    นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า จะไม่มีนโยบายออกกฎหมายการนิรโทษกรรมภาษีให้กับเอสเอ็มอีที่มีระบบบัญชีไม่ตรงและเคยเลี่ยงภาษีมาก่อนหน้านี้  และขอย้ำให้เอสเอ็มอีเหล่านี้ทำบัญชีให้ถูกต้อง ซึ่งต้องทำเป็นบัญชีเดียวกับการยื่นภาษีให้กับกรมสรรพากร เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีและจะช่วยให้ขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ได้คล่องตัวขึ้น

    "หากผู้ประกอบการทำบัญชีได้ตรง การขอสินเชื่อต่างๆก็จะมีความคล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้ฐานภาษีก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย"นายอภิศักดิ์ กล่าว

รมว.มั่นใจศก.ปี 59 โตกว่าปีนี้ที่ธปท.ประเมินที่ 2.7% ยันไม่มีแผนขายหุ้น PTT- THAI - TMB ตามกระแสข่าว

    รมว.คลังหวั่น 3 ปัจจัยสำคัญอย่างเฟดขึ้นดบ.- ศก.จีนและน้ำมันทรุดจะกดดันจีดีพีปีนี้ แต่มั่นใจศก.ปี 59 โตกว่าปีนี้ที่ธปท.ประเมินที่ 2.7% หลังรับปัจจัยหนุนจากการลงทุนภาครัฐ-เอกชน ยันไม่มีแนวคิดขายหุ้น  PTT- THAI - TMB  เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายภาครัฐฯตามกระแสข่าว แต่แย้มรัฐบาลเตรียมเดินหน้าตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน หวังระดมทุนใช้ในโครงสร้างพื้นฐานประเทศ

    นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยในงานเสวนา ตลาดการเงินไทย เดินหน้าเศรษฐกิจไทย จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท.ว่า  ในปัจจุบันยอมรับว่าประเทศไทยต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศที่กำลังพัฒนา เนื่องจากจะส่งผลให้เงินไหลกลับเข้าสู่ประเทศที่พัฒนาที่ให้ผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยสูง  เศรษฐกิจจีนที่กำลังทรุดตัวลง แต่อย่างไรก็ตาม หลายกลุ่มยังมั่นใจว่าในช่วง 5-10 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจจีนจะยังสามารถเติบโตได้ 7% ราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับต่ำ

     “การที่จีนบอกว่าจะโตได้ 7% นั้น เป็นแรงสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตตามได้ด้วย แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยต่างๆข้างต้น ล่วนส่งผลให้จีดีพีไทยปีนี้ได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้นการเจริญเติบโตไทยที่เคยพึ่งพาการส่งออกตอนนี้คงไม่พอ สิ่งที่รัฐบาลพยายามเดินนโยบายตอนนี้ คือดำเนินการส่งออก ควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจในประเทศด้วยนายอภิศักดิ์ กล่าว

     ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 59 คาดว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี จะขยายตัวมากกว่าปีนี้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ประมาณการไว้ที่ 2.7% แน่นอน โดยจะมาจากการลงทุนภาครัฐและเอกชน และบูรณาการ เพื่อความยั่งยืนในอนาคต

   สำหรับการดูแลเศรษฐกิจในประเทศที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือ การช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย เนื่องจากในยามที่เศรษฐกิจชะลอตัว กลุ่มดังกล่าวจะได้รับผลกระทบเป็นลำดับแรก ประกอบการราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรด้วย ดังนั้นภาครัฐจึงจำเป็นที่จะต้องดูแลผู้ที่มีรายได้น้อย ผ่านกองทุนหมู่บ้าน และโครงการตำบลละ 5 ล้านบาท โดยยืนยันว่า มาตรการดังกล่าวนั้นไม่ใช่นโยบายประชานิยมที่เคยทำมาอย่างแน่นอน

      “เราไม่ได้ทำเพื่อประชานิยม การอัดฉีดเงินลงไป เพื่อให้เขาดำรงชีพไปได้ คนซึ่งกำลังลำบากน่าจะมีเงินเพื่อไว้ใช้จับจ่ายใช้สอยพอสมควร ส่วนเอสเอ็มอีก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวลง เอสเอ็มอีของไทยมี 1.9 ล้านราย เป็นกลุ่มลูกค้าเมื่อเศรษฐกิจลงจะมีปัญหา 2 เรื่อง คือค้าขายไม่ได้ เงินหมุนไม่ทัน อีกเรื่องคือเงินหมุนไม่ทัน จะขอสภาพคล่อง แบงก์ก็ไม่ปล่อยกู้ และกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของแบงก์ การออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่อง คาด 2 อันนี้จะช่วยผ่อนคลายขึ้นมาได้ นายอภิศักดิ์ กล่าว

    นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ สิ่งที่รัฐบาลพยายามดำเนินการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมถึงการดึงให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้นขึ้น โดยรัฐบาลพยายามให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยออกมาเป็นแพคเกจ เพื่อจูงใจให้นักลงทุนลงทุนเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังพยายามปรับปรุงเรื่องกฎหมายต่างๆ เพื่อให้มีความสะดวกในการทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้นด้วย

      “ในปัจจุบันจากการจัดอันดับความสะดวกในการดำเนินธุรกิจจาก World Bank พบว่า ของไทยอยู่ในระดับกลางและในปีนี้ตกลงมาเล็กน้อย ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลจะทำ คือ การบูรณาการ ทุกหน่วยงานจะต้องสัมผัสกับผู้ลงทุน กระบวนการทำงานต้องปรับปรุงให้สะดวกขึ้น ปรับปรุงกฎหมาย หวังว่าในการประเมินจาก World Bank ปีหน้า จะทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีความสะดวกในการลงทุนมากขึ้นนายอภิศักดิ์ กล่าวว่า 

    นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ ยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายในการปรับขึ้นอัตราภาษีเพิ่มขึ้น แต่จะใช้วิธีการดึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อยู่นอกระบบ เข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น เพื่อเพิ่มฐานภาษี โดยจะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใช้บัญชีเดียว เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสนับสนุนระบบชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้หักภาษี ณ ที่จ่ายเข้ากรมสรรพากรทันทีเมื่อมีการใช้จ่ายเกิดขึ้น  

     นายอภิศักดิ์ เปิดเผยต่อถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า กระทรวงการคลังเตรียมขายหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ 3 บริษัท คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI และ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ MB เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าจะนำเงินจากการขายหุ้นมาแบ่งเบาภาระค่าใช้รายได้ของรัฐบาลในปี 2559  ที่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย  ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีแนวคิดที่จะขายหุ้นดังกล่าวข้างต้นอย่างแน่นอน โดยมองว่าคนที่ปล่อยข่าวมานั้น น่าจะรู้ดีกว่ากระทรวงการคลัง

     ส่วนการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือ อินฟาสตักเจอร์ ฟันด์ นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนในกองทุนดังกล่าว นำมาลงทนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดต่างๆ จึงยังไม่มีรายละเอียดว่าจะเป็นวงเงินในการจัดตั้งเท่าไหร่ และอัตราผลตอบแทนอยู่ที่เท่าใด

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!