- Details
- Category: คลัง
- Published: Thursday, 24 September 2015 08:26
- Hits: 6190
รมว.คลัง แย้ม มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จะชัดเจนภายใน 2-3 สัปดาห์ ส่วนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้วเสร็จในปีนี้
รมว.คลัง แย้มมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จะชัดเจนใน 2-3 สัปดาห์นี้ มั่นใจเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ส่วนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะแล้วเสร็จปีนี้ ส่วนมาตรการช่วยผู้มีรายได้น้อย-เอสเอ็มอี จะกระตุ้นจีดีพีปีนี้โตเพิ่ม 0.4% แต่ยังอุบไม่ตอบจีดีพีปีนี้-ปีหน้าโตเท่าไหร่ พร้อมสั่งธอส. ออกเกณฑ์พิจารณากู้ซื้อบ้านให้ง่ายขึ้น หลังพบยอดปฏิเสธสินเชื่อจากหลายแบงก์ ขณะที่เกณฑ์ LTF แย้มหากต่ออายุ อาจต้องให้เพิ่มเวลาถือครองเป็น 5 ปีเต็ม
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าภายในสองสัปดาห์ จะสรุปถึงมาตรการอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังไม่เเน่นอนว่าจะออกมาในรูปแบบใด ซึ่งเบื้องต้นยังไม่ต้องการที่พูดออกไปเพราะจะทำให้ตื่นตระหนกและอาจเกิดการชะลอการซื้อขายได้ เเต่หากจะปล่อยให้เรื่องนานไปก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องดี
เขากล่าวว่า ปัญหาที่เเท้จริงของตลาดอสังหาฯ คือ ผู้ซื้อบ้านไป กู้เงินธนาคารพาณิชย์ไม่ผ่านคนอยากได้มีมาก เเต่เศรษฐกิจไม่ดี ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ซึ่ง กระทรวงการคลังจะเเก้ไข โดยให้ ธอส. ไปหามาตรการเพื่อดูแลลูกค้ากลุ่มนี้ เพื่อเป็นการเติมเต็มส่วนที่ตลาดขาดอยู่ ยอมรับว่า ธอส. ก็จะมีความเสี่ยงหนี้เสียเพิ่มขึ้น ซึ่ง ธอส. จะต้องไปบริหารลูกค้าดีของ ธนาคารเพื่อหารายได้มาเฉลี่ยกับส่วนที่จะเสียหาย
"มาตรการอสังหาฯ ที่จะออกมาในรอบนี้ จะเป็นมาตรการในระยะสั้นเท่านั้น ไม่ใช่ระยะยาว เพราะว่า เท่าที่หารือกับผู้ประกอบการยังขายบ้านได้ดี เเต่อนาคตอาจมีปัญหาจึงต้องป้องกันส่วนนี้ไว้ก่อน " รมว.คลัง กล่าว
นายอภิศักดิ์ บอกว่าเรื่องภาษีที่ดินอยู่ระหว่างการศึกษายังไม่ได้ทิ้งไปแต่อย่างใด แต่การออกกฎหมายต้องให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ก็ได้ดูเเนวทางการเก็บภาษีของเก่า จะทำให้เสร็จภายในปีนี้ จะได้ทำให้คนที่เกี่ยวข้องไม่เกิดความกังวล
สำหรับ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น 1.36 เเสนล้านบาท จะช่วยให้จีดีพี ขยายตัวได้ร้อยละ 0.4 เเต่ทั้งปีจะโตเท่าไหร่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเรามาดูเเลไม่ให้เศรษฐกิจทรุดไปกว่าเดิม เราไม่ได้มาปรับจีดีพีให้สูงขึ้น เรามาช่วยประคองให้ดีขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจปีนี้ ดีกว่าปีที่เเล้ว ที่โตร้อยละ 0.9 เเต่ปีนี้ครึ่งปีโตร้อยละ 2.9 เเต่คนยังรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดี จึงมองว่าตัวเลขเศรษฐกิจไม่ได้เป็นตัวตัดสินเสมอไปว่า ความเป็นอยู่ของประชาชนจะดีขึ้น
ส่วนมาตรการลดหย่อนทางภาษี หรือ LTF นั้น ยืนยันว่ายังมีเวลาในการศึกษาในการปรับเกณฑ์ แต่หากต้องมีการต่ออายุอาจจะต้องปรับเรื่องการถือครองให้ครบ 5 ปีเต็ม จากเดิมที่ถือครอง 5 ปีปฏิทิน ส่วนปัญหาเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่า กองทุน LTF เป็นมาตรการช่วยเหลือคนรวยก็ต้องชั่งน้ำหนักว่าจะให้เป็นการทำให้ตลาดทุนเข้มแข็งหรือไม่อย่างไร ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค.อยู่ระหว่างการศึกษา
ด้านการเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT นั้น มองว่าไม่จำเป็น แต่อยากพัฒนาในเรื่องของระบบการชำระเงิน ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้มีความเข้มแข็ง เพื่อให้ประชาชนเข้ามาอยู่ในฐานภาษี รวมถึงการทำระบบบัญชีเดียวของเอสเอ็มอีด้วย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยลดการรั่วไหลของการหลีกเลี่ยงภาษี
ด้านสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคตว่า รัฐบาลได้เตรียมมาตรการในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งที่เกิดขึ้น ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (24 ก.ย. 58) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปหารือและมอบนโยบายกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธ.ก.ส. ในการเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือเกษตร ทั้งมาตรการทางการเงิน รวมไปถึงการวางแผนช่วยเหลือในเรื่องต่างๆด้วย
“นอกจากมาตรการทางการเงินแล้ว ยังมีเรื่องที่จะต้องช่วยเหลือ เช่น การส่งเสริมอาชีพ การปลูกพืชทดแทนที่ใช้น้ำน้อย รวมถึงการวางแผนเพื่อให้ผ่านพ้นจากผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วย”นายอภิศักดิ์ กล่าว
รมว.คลังยันเงินอัดฉีดกระตุ้นศก. ไม่เพิ่มหนี้เสียสถาบันการเงิน
แนวหน้า : นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งการปล่อยกู้กองทุนหมู่บ้าน 6 หมื่นล้านบาท และการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เชื่อว่า จะไม่ทำให้หนี้เอ็นพีแอลในระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การปล่อยกู้กองทุนหมู่บ้าน รัฐบาลได้ให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหรกณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปล่อยกู้แห่งละ 3 หมื่นล้านบาท ให้กับกองทุนหมู่บ้านไม่คิดดอกเบี้ยเป็นเวลา 2 ปี เพื่อไปปล่อยกู้ต่อให้สมาชิก โดยการดำเนินการที่ผ่านมาทั้ง 2 ธนาคาร ได้รายงานให้กระทรวงการคลังทราบว่า การปล่อยกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้านเป็นไปตามเป้า คือ ภายในเดือนนี้ จะปล่อยกู้ได้ธนาคารละ 1.5 หมื่นล้านบาท รวมเป็นเงิน 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่า กองทุนหมู่บ้านจะนำไปปล่อยกู้ให้กับสมาชิกได้ทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ ทำให้มีเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
สำหรับ เงินกู้ที่เหลืออีก 3 หมื่นล้านบาท ทั้งสองแห่งจะปล่อยกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้านได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งคาดว่าส่วนใหญ่จะไปปล่อยกู้ให้กับสมาชิกได้ภายในปีนี้เช่นกัน อาจมีเงินบางส่วนที่ค้างไปปล่อยให้กับสมาชิกในต้นปีหน้า
ขณะที่การปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทางธนาคารออมสินได้ทยอยปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ย 0.1% ให้กับธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการได้แล้ว โดยการปล่อยกู้ของธนาคารออมสินเป็นไปตามความต้องการของแต่ละธนาคาร ธนาคารไหนปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้มาก ก็สามารถมากู้เงินจากธนาคารออมสินได้มาก โดยต้องนำไปปล่อยให้กับลูกค้าอัตราดอกเบี้ย 4% เป็นเวลา 7 ปี
อย่างไรก็ตาม คาดว่า ธนาคารออมสินจะปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับธนาคารพาณิชย์ได้ทั้งหมด 1 แสนล้านบาท ภายในไม่ช้านี้ เพราะไม่ได้มีการจำกัดสัดส่วนของแต่ละธนาคาร ธนาคารพาณิชย์ไหนปล่อยกู้ได้มากก็กู้จากธนาคารออมสินได้มาก