- Details
- Category: คลัง
- Published: Sunday, 30 September 2018 20:08
- Hits: 4820
สศค. เผยเสถียรภาพศก.ทุกภูมิภาคอยู่ในเกณฑ์ดี ตามการบริโภค-ลงทุนเอกชน-อุตสาหกรรม-ท่องเที่ยวที่ยังขยายตัว
นายศรพล ตุลยะเสถียร ผู้อำนวยการ สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนสิงหาคม ปี 2561 ว่า เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนสิงหาคม 2561 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง นำโดยภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน และการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนในหลายภูมิภาค รวมถึงการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว
โดยภาคตะวันออก เศรษฐกิจขยายตัวโดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงภาคอุตสาหกรรมช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ในเดือนสิงหาคม 2561 ขยายตัว 28.5% ต่อปี สอดคล้องกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่ง และรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ 37.6% และ 34.9% ต่อปี ตามลำดับ จากขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เป็นต้ ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดรถปิคอัพ และรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2561 ขยายตัว 46.9% และ 19.7% ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับเม็ดเงินลงทุนที่เริ่มประกอบกิจการ อยู่ที่ 3,116 ล้านบาท หรือขยายตัว 106.3% ต่อปี จากการลงทุนในจังหวัดชลบุรี และปราจีนบุรี เป็นต้น
สำหรับ ด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี ทั้งจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนกรกฎาคม 2561 ขยายตัวต่อเนื่องที่ 2.3% และ 8.7% ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับผลผลิตอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมภาคตะวันออกที่ปรับเพิ่มขึ้นอยู่เหนือระดับ 100 เป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันมาอยู่ที่ 109.0 ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมเหล็ก เป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนสิงหาคม 2561 อยู่ที่ 1.6% ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกรกฎาคม 2561 อยู่ที่ 1.0% ของกำลังแรงงานรวมของภูมิภาค
สำหรับ ภาคกลาง เศรษฐกิจส่งสัญญาณขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนสิงหาคม 2561 ขยายตัว 11.3% ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดสิงห์บุรี ชัยนาท และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น เช่นเดียวกันกับการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่ง และรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัว 30.5% และ 10.3% ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัว 18.1% และ 8.8% ต่อปี ตามลำดับ จากการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดสระบุรี และสิงห์บุรี เป็นต้น นอกจากนี้เม็ดเงินลงทุนที่เริ่มประกอบกิจการอยู่ที่ 1,262 ล้านบาท หรือขยายตัว 235.3% ต่อปี จากการลงทุนในจังหวัดสระบุรี และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น
ด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนในเดือนกรกฎาคม 2561 ขยายตัว 4.7% และ 9.4% ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับผลผลิตอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมภาคกลางที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 98.0 ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมพลาสติกเป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนสิงหาคมเบื้องต้น 2561 อยู่ที่1.3% ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกรกฎาคม 2561 อยู่ที่ 1.1% ของกำลังแรงงานรวมของภูมิภาค
สำหรับ ภาคเหนือ เศรษฐกิจฟื้นตัวโดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก
สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนสิงหาคม 2561 ขยายตัวที่ 8.2% ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดเชียงใหม่ ตาก แพร่ และแม่ฮ่องสอน เป็นต้น เช่นเดียวกันกับการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัว 6.5% และ 8.8% ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรสะท้อนจากยอดรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัว 7.2% และ 12.5%ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้เม็ดเงินลงทุนที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการอยู่ที่ 1,377 ล้านบาท หรือขยายตัว 40.9% ต่อปี จากการลงทุนในจังหวัดอุทัยธานี พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ เป็นต้น
สำหรับ ด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวในเกณฑ์ดี ทั้งจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในกรกฎาคม 2561 ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ 2.5% และ 7.0% ต่อปี ตามลำดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนสิงหาคม 2561 อยู่ที่ 1.2% ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกรกฎาคม 2561 อยู่ที่ 1.0% ของกำลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจส่งสัญญาณขยายตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงภาคเกษตรและภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนสิงหาคม 2561 ขยายตัวที่ 3.6% ต่อปี สอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ปานกลางและสูงจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ขยายตัว 19.4% ต่อปี จากการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา และเลย เป็นต้น เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัว 9.0% และ 9.1% ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับเงินทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการ ในเดือนสิงหาคม 2561 อยู่ที่ 1,463.6 ล้านบาท ขยายตัว 78.1% ต่อปี จากการลงทุนในจังหวัดนครราชสีมา จากการลงทุนโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าเป็นต้น
สำหรับ ด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี ทั้งจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนกรกฎาคม 2561 ขยายตัว 4.1% และ 9.8% ต่อปี ตามลำดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนสิงหาคมเบื้องต้น ยังคงอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการบริโภคภายในภูมิภาคที่ 1.6% ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกรกฎาคม 2561 อยู่ที่ 0.8% ของกำลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ในส่วน กทม.และปริมณฑล เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคสินค้าคงทนและการลงทุนภาคเอกชน เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก
สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ 8.6% และ 2.9% ต่อปี ตามลำดับ จากการขยายตัวในกรุงเทพมหานคร ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนสิงหาคม 2561 หดตัวลงเล็กน้อยที่ -1.6% ต่อปี ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัว 32.0% และ 19.3% ต่อปี ตามลำดับ จากการขยายตัวในจังหวัดสมุทรปราการและกรุงเทพมหานคร เป็นต้น สอดคล้องกับเงินทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในสิงหาคม 2561 อยู่ที่ 7,452 ล้านบาท จากการลงทุนในจังหวัดสมุทรสาคร และสมุทรปราการ เป็นสำคัญ
ด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวในเกณฑ์ดีแม้ว่าจะชะลอลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในเดือนกรกฎาคม ปี 2561 ขยายตัว 7.5% ต่อปี ตามการขยายตัวทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศ ตามลำดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ในเดือนสิงหาคมเบื้องต้น 2561 อยู่ที่ 1.7% ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกรกฎาคม 2561 อยู่ที่ 1.2% ของกำลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคตะวันตก เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ใน เดือนสิงหาคม 2561 ขยายตัวเร่ง 6.9% ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นในจังหวัดเพชรบุรี และกาญจนบุรี เป็นต้น ในขณะที่การบริโภคสินค้าคงทนชะลอตัว ส่วนการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัว 2.9% ต่อปี ตามลำดับ จากการขยายตัวในจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และสมุทรสงคราม เป็นต้น
สอดคล้องกับเงินทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในสิงหาคม 2561 อยู่ที่ 530 ล้านบาท จากการลงทุนในจังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี เป็นสำคัญ
ด้านอุปทาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจำนวนและรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในเดือนกรกฎาคม 2561 ขยายตัว 3.6% และ 7.9% ต่อปี ตามลำดับ สำหรับด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ในเดือนสิงหาคม 2561 อยู่ในระดับที่เอื้อต่อการบริโภคและการผลิตภายในภูมิภาคที่ 1.8% ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกรกฎาคม 2561 อยู่ที่ 0.7% ของกำลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคใต้ เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนสิงหาคม 2561 ขยายตัว 7.1% ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นในจังหวัดภูเก็ต พังงา และสตูล เป็นต้น สอดคล้องกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ปานกลางและสูง สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่ 1.8% ต่อปี สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น จากเงินทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในสิงหาคม 2561 อยู่ที่ 1,524 ล้านบาท ขยายตัว 13.8% ต่อปี จากการลงทุนในจังหวัดนราธิวาส ชุมพร และสุราษฎร์ธานี เป็นต้น
ด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวในเกณฑ์ดีแม้จะขยายตัวในอัตราชะลอลงจากเดือนก่อน ทั้งจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในเดือนกรกฎาคม 2561 ขยายตัว 3.4% และ 10.2% ต่อปี ตามลำดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนสิงหาคม 2561 อยู่ในระดับเอื้อต่อการบริโภคที่ 1.6% ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกรกฎาคม 2561 อยู่ที่ 1.4% ของกำลังแรงงานรวมของภูมิภาค
สศค. มั่นใจพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง ไม่ห่วงผลกระทบเฟดดอกเบี้ย-สงครามการค้า
นายศรพล ตุลยะเสถียร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มาอยู่ระดับ 2.00-2.25% เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และคาดว่าในสิ้นปีนี้ เฟดจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่อยู่ 1.50% เป็นเรื่องที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต้องพิจารณาประเด็นเศรษฐกิจของไทยเป็นหลักโดยกระทรวงการคลังมองว่านักลงทุนที่สนใจลงทุนในไทยไม่ได้พิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยอย่างเดียว แต่จะพิจารณาเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคตด้วย
"ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุนไหลออก แม้ว่าจะการขายหุ้นก็นำเงินไปซื้อพันธบัตร แม้แต่ปัจุบันก็ยังมีเงินไหลเข้าในตลาดพันธบัตร คิดว่านักลงทุนพักเงินรอไว้ลงทุนในประเทศไทยต่อเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งมั่นคง ไม่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ทุนสำรองระหว่างประเทศสูง และมีความชัดเจนเรื่องโครงการลงทุนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี รวมถึงความชัดเจนการเลือกตั้งใหม่ที่จะมีขึ้นในปีหน้า" นายศรพล กล่าว
นายศรพล กล่าวว่า ส่วนปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ขยายวงมากขึ้นไม่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการผลิตสินค้าของสหรัฐส่วนใหญ่ 70-80% ใช่วัตถุดิบในประเทศ ทำให้ไม่กระทบการส่งออกของไทยไปสหรัฐ สำหรับการขึ้นภาษีสินค้าจีนของสหรัฐประมาณ 5-10% แต่ค่าเงินหยวนของประเทศจีนอ่อนค่าลงประมาณ 10% ทำให้จีนยังไม่ได้รับผลกระทบกับสงครามการค้า ส่งผลดีถึงประเทศไทยที่เป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของประเทศจีนเช่นกัน
อินโฟเควสท์