WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

MOFพรชย ฐระเวชคลังเผยความคืบหน้าแก้หนี้นอกระบบ อนุมัติสินเชื่อกว่า 2.6 หมื่นบัญชี เป็นวงเงิน 680 ลบ.

     กระทรวงการคลังเผยความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ พบมียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 26,469 บัญชี รวมเป็นเงิน 680.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 25,723.66 บาทต่อบัญชี และมีผู้สนใจยื่นคำขอใบอนุญาตปล่อยสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ 516 ราย ใน 67 จังหวัด

      นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยผ่านเอกสารเผยแพร่ถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนกรกฎาคม 2561 พบว่า สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เป็นต้นมา จนถึง ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2561 มีนิติบุคคลยื่นคำขออนุญาตทั้งสิ้น 516 ราย ใน 67 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 50 ราย กรุงเทพมหานคร 43 ราย และร้อยเอ็ด 33 ราย

       ทั้งนี้ มีจำนวนที่คืนคำขออนุญาตทั้งสิ้น 90 ราย ใน 45 จังหวัด จึงมีนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตสุทธิ 426 ราย ใน 65 จังหวัด และมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 380 ราย ใน 64 จังหวัด ซึ่งในจำนวนนี้ ได้เปิดดำเนินการแล้ว 287 ราย ใน 60 จังหวัด และมีผู้ประกอบการที่ปล่อยสินเชื่อแล้ว 256 ราย ใน 60 จังหวัด โดยผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตสามารถปล่อยสินเชื่อได้ภายในเขตจังหวัดให้แก่ผู้มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในจังหวัดนั้น ๆ วงเงินรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)

        ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 26,469 บัญชี รวมเป็นเงิน 680.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 25,723.66 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 13,471 บัญชี เป็นเงิน 406.85 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 59.75 ของจำนวนสินเชื่อที่อนุมัติ และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 12,998 บัญชี เป็นเงิน 274.03 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40.25 ของจำนวนสินเชื่อที่อนุมัติ ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมมีทั้งสิ้น 11,177 บัญชี คิดเป็นเงิน 258.08 ล้านบาท สำหรับสินเชื่อที่ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน มีจำนวน 669 บัญชี คิดเป็นเงิน 20.68 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.01 ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน (NPL) จำนวน 292 บัญชี คิดเป็นเงิน 6.93 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.69 ของสินเชื่อคงค้างรวม

       สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้เป็นทางเลือกของประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบแทนหนี้นอกระบบ รายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2561 มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 294,314 ราย เป็นเงิน 13,185.62 ล้านบาท จำแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไป 275,247 ราย เป็นเงิน 12,342.59 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติแก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ จำนวน 19,067 ราย เป็นเงิน 843.03 ล้านบาท

      ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ยึดแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาล เพื่อให้การแก้ปัญหามีความยั่งยืนใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดำเนินการจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ พร้อมกันนี้ กระทรวงการคลังได้รับความร่วมมือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรร่วมผลักดันเจ้าหนี้นอกระบบรายใหญ่ที่มีลูกหนี้จำนวนมากเข้าสู่การไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ของคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจำจังหวัด ซึ่งมีอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดเป็นประธาน

    ตลอดจนร่วมประชาสัมพันธ์เชิญชวนเจ้าหนี้นอกระบบให้หันมาดำเนินธุรกิจสินเชื่อในระบบให้เป็นไปตามกฎหมายด้วยการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นแหล่งเงินกู้ทางเลือกที่สำคัญของประชาชน ทั้งนี้ ประชาชนผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1135 และศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1155 ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567 หรือขอคำแนะนำได้ที่ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

 

คลัง เผยสิ้น ก.ค.61 นิติบุคคลยื่นขอตั้งพิโกไฟแนนซ์ 516 รายใน 67 จังหวัด อนุญาตแล้ว 426 ราย

    นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เผยความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนกรกฎาคม 2561 โดยมีรายละเอียดดังนี้

       สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เป็นต้นมา จนถึง ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2561 มีนิติบุคคลยื่นคำขออนุญาตทั้งสิ้น 516 ราย ใน 67 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 50 ราย กรุงเทพมหานคร 43 ราย และร้อยเอ็ด 33 ราย โดยมีจำนวนที่คืนคำขออนุญาตทั้งสิ้น 90 ราย ใน 45 จังหวัด จึงมีนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตสุทธิ 426 ราย ใน 65 จังหวัด และมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 380 ราย ใน 64 จังหวัด ซึ่งในจำนวนนี้ได้เปิดดำเนินการแล้ว 287 ราย ใน 60 จังหวัด และมีผู้ประกอบการที่ปล่อยสินเชื่อแล้ว 256 ราย ใน 60 จังหวัด

       โดยผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตสามารถปล่อยสินเชื่อได้ภายในเขตจังหวัดให้แก่ผู้มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในจังหวัดนั้น ๆ วงเงินรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate) ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 26,469 บัญชี รวมเป็นเงิน 680.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 25,723.66 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 13,471 บัญชี เป็นเงิน 406.85 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 59.75 ของจำนวนสินเชื่อที่อนุมัติ และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 12,998 บัญชี เป็นเงิน 274.03 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40.25 ของจำนวนสินเชื่อที่อนุมัติ ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมมีทั้งสิ้น 11,177 บัญชี คิดเป็นเงิน 258.08 ล้านบาท สำหรับสินเชื่อที่ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน มีจำนวน 669 บัญชี คิดเป็นเงิน 20.68 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.01 ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน (NPL) จำนวน 292 บัญชี คิดเป็นเงิน 6.93 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.69 ของสินเชื่อคงค้างรวม

        ขณะที่สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้เป็นทางเลือกของประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบแทนหนี้นอกระบบ รายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2561 มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 294,314 ราย เป็นเงิน 13,185.62 ล้านบาท จำแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไป 275,247 ราย เป็นเงิน 12,342.59 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติแก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบจำนวน 19,067 ราย เป็นเงิน 843.03 ล้านบาท

       ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ยึดแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาล เพื่อให้การแก้ปัญหามีความยั่งยืนใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดำเนินการจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ พร้อมกันนี้ กระทรวงการคลังได้รับความร่วมมือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรร่วมผลักดันเจ้าหนี้นอกระบบรายใหญ่ที่มีลูกหนี้จำนวนมากเข้าสู่การไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ของคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจำจังหวัด ซึ่งมีอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดเป็นประธาน ตลอดจนร่วมประชาสัมพันธ์เชิญชวนเจ้าหนี้นอกระบบให้หันมาดำเนินธุรกิจสินเชื่อในระบบให้เป็นไปตามกฎหมายด้วยการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นแหล่งเงินกู้ทางเลือกที่สำคัญของประชาชน

     อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!