- Details
- Category: คลัง
- Published: Wednesday, 07 February 2018 18:57
- Hits: 1856
รมว.คลัง เผยเตรียมงบกลางปีอีก 1.5 แสนลบ.ดูแลคนจน สั่ง ก.ล.ต.ร่างเกณฑ์คุมเงินดิจิทัลให้เสร็จใน 1 เดือน
รมว.คลังเตรียมทำงบกลางปี 61 เพิ่ม 1.5 แสนลบ. ใช้ดูแลคนจน ดันงบประมาณปีงบ 61 ขาดดุลเพิ่มเป็น 5.5 แสนลบ.จากเดิม 4.5 แสนลบ. มั่นใจฐานะการคลังยังแกร่ง แย้มปีนี้ไม่มีนโยบายขึ้นภาษี แต่เร่งร่างกฎหมายภาษีอีคอมเมิร์ซ พร้อมไฟเขียวลงทุนเงินดิจิทัล-ไอซีโอ โยนก.ล.ต.ร่างเกณฑ์ควบคุมให้ชัดเจนภายใน 1 เดือน
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมจัดทำงบประมาณกลางปีงบประมาณ 2561 (ต.ค.60-ก.ย.61) อีก 1.5 แสนล้านบาท โดยจะใช้รายได้ที่มีอยู่ 50,000 ล้านบาท และเงินกู้ 100,000 ล้านบาท ส่งผลให้ในปีงบประมาณ 2561 จะขาดดุลงบประมาณเพิ่มเป็น 5.5 แสนล้านบาท จากเดิมกำหนดขาดดุลไว้ที่ 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งยืนยันยังอยู่ในเสถียรภาพทางการเงินการคลัง โดยหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไปที่ 42% สำหรับงบประมาณกลางปีจะดำเนินการ 3 เรื่อง หลัก คือ การดูแลผู้มีรายได้น้อย การแบ่งโซนพื้นที่ เพิ่มประสิทธิภาพภาคเกษตร และการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมไร้เงินสด
“แม้ว่า จะมีงบกลางปีเพิ่มเข้ามา และทำให้ขาดดุลงบประมาณ 5.5 แสนล้านบาทนั้น เราดูแล้วว่าแม้จะขาดดุลเยอะจะไม่มีปัญหา เพราะเราไม่ได้แจกเงิน หรือไปทำโครงการซี้ซั้ว เรามีเป้าหมายเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แม้คนจะพูดว่าการลงทุนภาครัฐผ่านโครงสร้างพื้นฐานจะต้องใช้เวลา แต่ผมเชื่อว่ามันจะทำให้เกิดการกระจายตัวของเศรษฐกิจ และเติบโตได้อย่างมีสิทธิภาพ”นายอภิศักดิ์ กล่าว
สำหรับ โครงการที่จะดำเนินการนั้น จะประกอบด้วย การดูแลผู้มีรายได้น้อยเฟส 2 ที่คาดว่าจะใช้วงเงิน 30,000 กว่าล้านบาท เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อให้พ้นเส้นความยากจน ขณะที่ภาคเกษตรที่ปลูกพืชเดิมเป็นเวลานาน และจำนวนมากนั้น จะเน้นการปรับเปลี่ยนพืช เพื่อยกระดับมากขึ้น เช่น การปรับเปลี่ยนพื้นที่ การเปลี่ยนแปลงพืชเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และสุดท้ายคือ การเดินหน้าในโครงการเนชั่นแนลอีเพย์เม้น เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสด ซึ่งภายในเดือนมีนาคมนี้ ในระบบการรับและจ่ายเงินของภาครัฐ จะเริ่มผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด เพื่อลดต้นทุน เพิ่มความสะดวกมากขึ้น รวมถึงการทำให้หนี้นอกระบบเป็นศูนย์ด้วย
ส่วนแนวทางในการจัดเก็บภาษีของรัฐในอนาคต ยืนยันว่า ในปีนี้จะไม่มีการปรับฐานภาษีเพิ่มขึ้น แต่จะขยายฐานให้กว้างขึ้น เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม ขณะที่การจัดเก็บภาษี E-commerce นั้น จะต้องมีการจัดเก็บเพราะจะทำให้เกิดความเป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบการทุกราย ในพื้นฐานการแข่งขันทางการค้าเสรี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างร่างกฎหมายภาษีดังกล่าว
นายอภิศักดิ์ กล่าวถึงการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล หรือ คลิปโตเคอเรนซี่ ว่า คงไม่สามารถปิดกั้นไม่ให้มีการลงทุนดังกล่าวได้ ฉะนั้นจึงให้ลงทุนได้ แต่ต้องมีการควบคุมให้เกิดการลงทุนที่เหมาะสม จึงได้ให้ทางสำนักงานคณะกรรมการหลักทรัพย์และกำกับหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ไปพิจารณาเรื่องดังกล่าวอยู่ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างร่างหลักเกณฑ์กฎหมายเพื่อควบคุมการลงทุนในคลิปโตเคอร์เรนซี่ และการเสนอขายเหรียญในระยะเริ่มต้น หรือ การระดมทุนในรูปแบบของ ICO ซึ่งคาดว่าจะได้รับความชัดเจนภายใน 1 เดือนนี้
ทั้งนี้ ก.ล.ต.จะต้องมีกฎหมายออกมาให้ควบคุมการลงทุนอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้คลิปโตเคอเรนซี่ เป็นหนึ่งในช่องทางในการฟอกเงิน เหมือนในประเทศจีน ที่มีการนำเงินจากการลงทุนดังกล่าวออกนอกประเทศ ซึ่งเป็นกระบวนการฟอกเงินที่เกิดขึ้นในขณะนี้
“ความโลภของคน มันทำให้ก่อให้เกิดปัญหา อย่างบิตคอยส์ราคาที่มันพุ่งแรงคนมันเห็นก็กระโดดเข้าไปลงทุน แต่มันก็ได้ไม่กี่วัน ราคามันก็หล่นลงมา สิ่งเหล่านี้ต้องระวัง”นายอภิศักดิ์ กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย