- Details
- Category: คลัง
- Published: Friday, 02 February 2018 16:55
- Hits: 5779
สตง. แจงข่าวปัญหาโอนสิทธิรถคันแรกไม่ได้ ย้ำไม่ได้ติดขั้นตอนที่สตง. ชี้มีปชช.ไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์ 52 ราย
สตง. แจงข่าว ประชาชนโอนสิทธิรถคันแรกไม่ได้ ย้ำไม่ได้ติดขั้นตอนที่สตง. เหตุเสร็จสิ้นขั้นตอนของสตง.แล้วตั้งแต่ปี 2558 ชี้ สรรพสามิต ส่งผลตรวจสอบ หลักฐานของผู้ใช้สิทธิ แล้ว 1,020,162 ราย หรือ 92.5% พบมีผู้ไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์ 52 ราย
นายพรชัย จำรูญพานิชย์กุล รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาการแทน ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน แถลงว่า ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อออนไลน์ว่ามีเจ้าของรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการมาตรการรถยนต์คันแรกหลายรายไม่สามารถโอนรถให้กับบุคคลอื่นได้ เนื่องจากข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์แจ้งว่ารถคันดังกล่าวถูก กรมสรรพสามิตระงับการโอนสิทธิ ซึ่งกรมสรรพสามิตได้ชี้แจงว่ารถคันดังกล่าวอยู่ในข่ายกำลังถูกตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่า ทำผิดเงื่อนไขการขอรับสิทธิหรือไม่ พร้อมระบุว่า สตง. มีข้อสงสัยเรื่องการดำเนินการของกรมสรรพสามิตในการพิจารณาอนุมัติให้สิทธิรถยนต์คันแรกแก่ประชาชนจำนวนกว่าหนึ่งแสนราย เนื่องจากตรวจพบว่าประชาชนกลุ่มดังกล่าวยื่นเอกสารเพิ่มเติมให้กรมสรรพสามิตพิจารณาเกินระยะเวลาตามเงื่อนไขการขอใช้สิทธิที่กำหนดให้ยื่นเอกสารภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และหาก สตง. สรุปผลการตรวจสอบว่าประชาชนผู้ขอใช้สิทธิกว่าหนึ่งแสนรายทำผิดเงื่อนไข จะต้องนำเงินภาษีมาคืนกรมสรรพสามิตทั้งหมด นั้น
สตง. ขอเรียนชี้แจงเพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบว่า สำหรับกรณีของโครงการมาตรการรถยนต์ คันแรกนั้น สตง. ได้ดำเนินการตรวจสอบเสร็จสิ้นตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 แล้ว และได้เสนอรายงานฉบับสมบูรณ์ให้กรมสรรพสามิตเพื่อดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ สตง. ในช่วงเดือนมีนาคม 2559 ดังนั้น ข้อมูลที่ปรากฏทางสื่อออนไลน์ว่ากรณีเจ้าของรถยนต์หลายรายที่ไม่สามารถโอนรถให้กับบุคคลอื่นได้ โดยมีการพาดพิงว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในข่ายกำลังถูกตรวจสอบจาก สตง. จึงไม่เป็นความจริง
นอกจากนี้ ข่าวดังกล่าวยังมีประเด็นที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง โดยเฉพาะกรณีที่ระบุว่า สตง. มีข้อสงสัยเรื่องการดำเนินการของกรมสรรพสามิตในการพิจารณาอนุมัติให้สิทธิรถยนต์คันแรกแก่ประชาชนจำนวนกว่าหนึ่งแสนราย เนื่องจากตรวจพบว่าประชาชนกลุ่มดังกล่าวยื่นเอกสารเพิ่มเติมให้กรมสรรพสามิตพิจารณาเกินระยะเวลาตามเงื่อนไขการขอใช้สิทธิที่กำหนดให้ยื่นเอกสารภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555
จากรายงานการตรวจสอบของ สตง. ระบุว่า สตง. ได้สุ่มตรวจสอบผู้ขอใช้สิทธิจากโครงการฯ จำนวน 4,340 ราย และพบว่า 1) ผู้ขอใช้สิทธิยื่นเอกสารหลักฐานไม่ทันภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 จำนวน 1,640 ราย 2) ยื่นเอกสารโดยไม่มีใบจองหรือยื่นเอกสารเพิ่มเติมเกิน 90 วันนับถัดจากวันรับมอบรถยนต์ จำนวน 2 ราย และ 3) ผู้ขอใช้สิทธิยื่นเอกสารหลักฐานเพื่อประกอบคำขอใช้สิทธิไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เอกสารของผู้ใช้สิทธิ เช่น อายุไม่ถึง 21 ปี รับรถยนต์ไม่ตรงรุ่น/หมายเลขเครื่องยนต์ ฯลฯ จำนวน 6 ราย ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีและแนวทางที่กำหนด และไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,648 ราย และทั้ง 3 กรณีดังกล่าว ผู้ขอใช้สิทธิได้รับสิทธิคืนภาษีไปแล้วทั้งหมด
ดังนั้น สตง. จึงได้มีข้อเสนอแนะให้กรมสรรพสามิตตรวจสอบเอกสารหลักฐานของผู้ได้สิทธิทั้งหมด หากพบว่าไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีและแนวทางที่กำหนด และไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ให้ดำเนินการสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และหากพบว่าเป็นการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการตามควรแก่กรณี แต่หากเป็นการกระทำผิดของผู้ขอใช้สิทธิให้เรียกเงินคืน
ต่อมากรมสรรพสามิตได้มีหนังสือแจ้งผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ สตง. รวมจำนวน 16 ฉบับ โดยหนังสือฉบับล่าสุด ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2560 ชี้แจงว่า กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐานของผู้ใช้สิทธิที่ได้รับสิทธิคืนเงินตามโครงการฯ ไปแล้วทั้งสิ้น 1,020,162 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 92.5 ของผู้ใช้สิทธิที่ได้รับเงินคืนแล้ว โดยพบว่า มีผู้ขอใช้สิทธิไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีและไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด จำนวน 52 ราย ประกอบด้วย 1) ผู้ขอใช้สิทธิยื่นเอกสารเพิ่มเติมเกิน 90 วัน จำนวน 37 ราย และ 2) ผู้ขอใช้สิทธิไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด จำนวน 15 ราย แบ่งเป็นรับมอบรถยนต์ไม่ตรงรุ่น จำนวน 6 ราย อายุไม่ครบ 21 ปีบริบูรณ์ จำนวน 1 ราย และยื่นเอกสารก่อนเริ่มโครงการ จำนวน 8 ราย ซึ่งผลการตรวจสอบดังกล่าวของกรมสรรพสามิตก็ไม่ปรากฏข้อมูลกรณีการยื่นเอกสารหลักฐานไม่ครบภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ตามที่เป็นข่าวแต่ประการใด ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่
กรมสรรพสามิตจะต้องพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในกรณีดังกล่าวต่อไป
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สตง.สอบดุรถคันแรกผิดเกณฑ์คืนเงินรัฐ
ไทยโพสต์ * 'รถคันแรกพ่นพิษ' หลัง สตง.สอบเข้ม แจงผิดหลักเกณฑ์ต้องคืนภาษีให้หลวง ด้านสรรพสามิตยันรถยนต์อยู่ในข่ายถูกตรวจสอบไม่ถึงแสนคันตามที่เป็นข่าว
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผย ว่า กรณีที่มีเจ้าของรถตามโครง การรถคันแรกไม่สามารถทำ การโอนรถได้นั้น จำนวนรถยนต์ ที่เข้าโครงการรถคันแรกและอยู่ในข่ายที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กำลังตรวจสอบว่าอาจมีการทำผิดเงื่อนไขการขอรับสิทธิ์ตามโครงการมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เป็นหลักแสนคันตามที่เป็นกระแสข่าว เบื้องต้น พบว่าบางรายส่งเอกสารล่าช้า บางรายก็ทำผิดเงื่อนไขโครงการ เช่น มีการเปลี่ยนมือเจ้าของรถก่อน หรือมีการขาย 5 ปี ส่วนนี้ก็จะต้องนำเงินภาษีมาคืน แต่ส่วนที่ล่าช้าในขั้นตอนยื่นเอกสาร เข้าใจว่าหลักเกณฑ์มีการผ่อนปรนให้ 90 วัน ซึ่งต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร
"กรมยังไม่ได้มีการหารือกับ สตง.เพิ่มเติม เนื่องจากกรมได้ให้ข้อมูลไปทั้งหมดแล้ว หากกระบวนการตรวจสอบในรายใด พบว่าผิดจริงก็ต้องนำเงินภาษีมาชำระคืนตามกฎหมาย และบางส่วนที่ไม่เข้าข่าย ก็ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าไปเร่งติดตามแก้ไขปัญหาในกลุ่มที่ระงับการโอนสิทธิ์เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน" นายกฤษฎากล่าว
รายงานข่าวจากกรมสรรพสามิต ระบุว่า กรมมีการนัดประชุมอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหากรณีผู้ใช้สิทธิรถคันแรกไม่สามารถโอนรถยนต์เป็นของตัวเองได้ ซึ่งประเมินว่าปัจจุบันมีรถยนต์ที่เข้าข่ายติดปัญหาการโอนอยู่ประมาณ 4 หมื่นคัน ไม่ใช่ 1 แสนคันตามที่เป็นข่าว
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ติดปัญหาไม่สามารถโอนได้ ส่วนใหญ่คือยื่นเอกสารให้กรมล่าช้ากว่ากำหนด ดังนั้น สตง.ตั้งข้อสังเกตว่า การยื่นเอกสารมาล่าช้าจะไม่ตรงกับหลักเกณฑ์การได้รับสิทธิรถคันแรกตามที่มีมติ ครม.หรือไม่ จึงให้มีการชะลอการโอนสิทธิไว้ก่อนจนกว่าจะมีการพิจารณาตัดสินชัดเจน คาดว่าอีก 2 สัปดาห์ได้ข้อยุติ.