- Details
- Category: กรมสรรพสามิต
- Published: Tuesday, 09 August 2016 13:19
- Hits: 1791
อธิบดีสรรพสามิต เผย เดือนนี้เสนอกฤษฎีกา- สนช.ตรวจร่าง กม.ภาษีสรรพสามิต ก่อนใช้ปีหน้า พร้อมเล็งลดภาษีสินค้า หวั่นกระทบปชช. แต่มั่นใจทั้งปีเก็บรายได้เกินเป้า 2 หมื่นลบ.
อธิบดีสรรพสามิต เผยส.ค. นี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาจะตรวจร่างประมวลกฎหมายภาษีสรรพสามิตแล้วเสร็จ เตรียมเปิดใช้ปี 60 มุ่งลดอัตราภาษีสินค้า คาดทั้งปีจัดเก็บรายได้เกินเป้า 2 หมื่นล้านบาท อยู่ที่ 5 แสนล้านบาท
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ภายในเดือนสิงหาคมนี้คาดว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาจะตรวจร่างประมวลกฎหมายภาษีสรรพสามิตแล้วเสร็จ และส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. พิจารณา ก่อนมีผลบังคับใช้ในปี2560 โดยจะเป็นการรวมกฎหมายสรรพสามิต 7 ฉบับ ให้เหลือฉบับเดียว และเปลี่ยนการจัดเก็บภาษีจากราคาหน้าโรงงานมาเป็นจัดเก็บจากราคาขายปลีก โดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อให้เป็นราคาเดียว ทำให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้เสียภาษี
ภายหลังประกาศใช้ จะให้เวลาผ่อนผันให้กับผู้เสียภาษีเป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อให้กรมสรรพสามิต พิจารณาปรับลดอัตราภาษีของสินค้า ซึ่งจะเป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการแก้ไขกฎหมายที่ต้องไม่สร้างภาระให้กับผู้บริโภค เนื่องจากการแก้ไขกฎหมาย จะทำให้ฐานภาษีสูงขึ้น จึงต้องมีการปรับลดอัตราภาษีลงเพื่อไม่ให้กระทบกับผู้บริโภค
สำหรับ สาเหตุที่มีการแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าวนั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิต โดยในปีงบประมาณ 2559 คาดว่ากรมฯจะจัดเก็บรายได้ไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท หรือสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 20,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการจัดเก็บสินค้า รวมถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำในการดำเนินจับกุมผู้กระทำผิดที่ลักลอบนำสินค้าผิดกฎหมายไม่เป็นมาตรฐานเข้ามาในไทย
นอกจากนี้ กรมได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลของกระทรวงการคลังที่ให้กรมสรรพสามิตดูแลสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษี รวมถึงการดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสุราเถื่อน บุหรี่เถื่อน และน้ำมันเถื่อน และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต ขณะเดียวกันยังถือเป็นการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
สรรพสามิต เผย 10 เดือน ปีงบ 59 ปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 370 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตสนองนโยบายรัฐบาลในการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต สั่งคุมเข้มตรวจสอบโรงงานสุรากลั่นชุมชนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ที่ผ่านมาสั่งปิดกิจการกว่า 200 ราย และทำลายสุราและยาสูบของกลางผิดกฎหมาย
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้มอบนโยบายให้ กรมสรรพสามิตดูแลสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษี รวมถึงการดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสุราเถื่อน บุหรี่เถื่อน และน้ำมันเถื่อน และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2559 (เดือนตุลาคม 2558 – กรกฎาคม 2559) พบว่ามีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ. สุรา จำนวน 23,171 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 71,022,001.32 บาท โดยมีของกลางแยกเป็น สุรากลั่น จำนวน 84,173.33 ลิตร สุราแช่ จำนวน 93,018.21 ลิตร เชื้อสุรา จำนวน 685.30 กิโลกรัม สุราต่างประเทศ จำนวน 30,698.58 ลิตร และ เครื่องกลั่น จำนวน 48 ชุด
สำหรับ การกระทำผิดตาม พ.ร.บ. ยาสูบ จำนวน 11,512 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 213,557,421.60 บาท โดยมีของกลางแยกเป็น ยาสูบต่างปะเทศ จำนวน 528,787 ซอง กรองทิพย์ 90 จำนวน 14,408 ซอง สายฝนและอื่น ๆ จำนวน 19,194 ซอง และยาเส้น/บารากู่ จำนวน 3,384.49 กิโลกรัม
พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต 2527 จำนวน 1,696 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 84,644,965.92 บาท โดยมีของกลางแยกเป็น โซลเว้นท์ จำนวน 32,355 ลิตร ดีเซล จำนวน 1,103,561 ลิตร เบนซิน จำนวน 344,376 ลิตร น้ำมันเตา จำนวน 126,000 ลิตร เครื่องดื่ม จำนวน 404,461.02 ลิตร รถยนต์ จำนวน 34 คัน น้ำหอม 22,296 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 90 คัน และแบตเตอรี่ จำนวน 109,581 ก้อน และ พ.ร.บ. ไพ่ จำนวน 72 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5,094,927 บาท โดยมีของกลางแยกเป็น ไพ่ป๊อก จำนวน 12,291 สำรับ และไพ่อื่นๆ จำนวน 192 สำรับ รวมจำนวนคดีทั้งสิ้น 36,451 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับจำนวนทั้งสิ้น 374,319,315.84 บาท
อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวต่อว่า สำหรับการปราบปรามผู้ผลิตสุรากลั่นชุมชนที่มิชอบด้วยกฎหมายกรมสรรพสามิตได้สั่งการให้สำนักงานสรรพสามิตภาคและสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ปฏิบัติงานตรวจสอบควบคุมโรงงานสุรากลั่นชุมชนให้ถูกต้องตามกฎหมายและตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 ที่มีข้อสั่งการเกี่ยวกับการตรวจสอบควบคุมโรงงานสุรากลั่นชุมชน โดยบูรณาการเร่งรัดการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายควบคุมการผลิตสุรากลั่นชุมชนให้เป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยสั่งการให้สำนักงานสรรพสามิตภาคและสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ตรวจจุดเสี่ยง ตามพื้นที่ต่างๆ ที่เป็นโรงงานผลิตสุรากลั่นชุมชนที่ได้รับใบอนุญาตกว่า 2,000 รายทั่วประเทศ ทั้งนี้ จากผลการตรวจสอบการจำหน่ายสุราของร้านค้าและสถานประกอบการบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษาทั่วประเทศ ในช่วงเดือนตุลาคม 2558 – มิถุนายน 2559 พบว่ามีผู้กระทำผิดกฎหมายและถูกเพิกถอนใบอนุญาตขายสุรา จำนวนทั้งสิ้น 210 ราย เนื่องจากยังมีผู้ผลิตสุรากลั่นชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตและดำเนินการอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ มีสารปนเปื้อนและอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตได้ เช่น สารไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์แปลงสภาพ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น หากรับประทานเข้าไปจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ทำลายระบบประสาท ปอด ไต ระบบหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ และระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดปัญหาน้ำเสียและสุขภาพอื่นๆ อีกด้วย
อธิบดีกรมสรรพสามิตทิ้งท้ายว่า ของกลางที่นำมาทำลายเป็นของกลางที่ผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ.2493 และพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509 ที่เสร็จสิ้นคดีแล้ว ซึ่งปกติที่ผ่านมา ของกลางยาสูบจะทำลายโดยวิธีการเผาไฟ และของกลางสุราทำลายโดยเททิ้ง แต่การทำลายดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมชุมชน แต่อาจมีผลกระทบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการนำของกลางดังกล่าว มาผลิตเป็นสารชีวภัณฑ์ไล่แมลง และทำน้ำหมักชีวภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับสังคมชุมชน โดยมีผู้แทน คณะอาจารย์และนักเรียนจากโรงเรียนสรรพสามิตบำรุงเป็นผู้รับมอบของกลางเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย