- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 15 January 2018 13:08
- Hits: 1585
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นหลัง US Dollar Index อ่อนค่าครั้งใหม่ในรอบ 3 ปีกระตุ้นเงินไหลเข้า-ราคาน้ำมันขึ้น
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้น เนื่องจาก US Dollar Index ได้อ่อนค่าครั้งใหม่ในรอบ 3 ปี ซึ่งจะกระตุ้นให้เงินทุนไหลเข้า ประกอบกับเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติได้กลับมาซื้อสุทธิเป็นครั้งแรกในรอบ 6 วัน และตลาดต่างประเทศต่างปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ขานรับกลุ่มการเงินของสหรัฐฯผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด และทางเยอรมนีก็บรรลุการจัดตั้งรัฐบาลแบบผสมได้ นอกจากนี้ราคาน้ำมันก็ยังปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง
เช้านี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ก็อยู่ในแดนบวก ยกเว้นตลาดหุ้นจีนที่อ่อนตัวลง อย่างไรก็ดี คืนนี้ตลาดสหรัฐฯจะปิดทำการ พร้อมให้แนวรับ 1,808-1,800 จุด ส่วนแนวต้าน 1,820 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (12 ม.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,803.19 จุด เพิ่มขึ้น 228.46 จุด (+0.89%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,786.24 จุด เพิ่มขึ้น 18.68 จุด (+0.67%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,261.06 จุด เพิ่มขึ้น 49.28 จุด (+0.68%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 174.16 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 0.01 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 290.02 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 48.41 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 14.55 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 11.45 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.57 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 29.73 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (12 ม.ค.61) 1,810.19 จุด เพิ่มขึ้น 7.39 จุด (+0.41.%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,375.61 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 ม.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (12 ม.ค.61) ปิดที่ระดับ 64.30 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 0.78%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (12 ม.ค.61) ที่ 5.85 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.90 แนวโน้มแข็งค่าจากแรงขายดอลล์-เม็ดเงินไหลเข้าพันธบัตร มองกรอบวันนี้ 31.80-32.00
- สบน.ย้ำใช้ทุกเครื่องมือช่วยชะลอบาทแข็ง ทั้งเปิดทางต่างชาติระดมทุนบาทบอนด์ เร่งคืนหนี้ต่างประเทศ จ่อชำระหนี้ "ไจก้า" ก่อนกำหนดอีก 1.7 หมื่นล้านเยน ด้านนักวิเคราะห์ห่วงบาทแข็งแซงเพื่อนบ้านแล้ว 5% หวั่นกระทบส่งออกสินค้าเกษตร-อาหาร เตรียมปรับคาดการณ์เงินบาทปีนี้ใหม่ หลังแข็งค่าเร็ว
- ในวันที่ 17 ม.ค.นี้ คณะกรรมการค่าจ้าง จะมีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้กับแรงงานทั่วประเทศอย่างแน่นอน โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนพิจารณาในประเด็นสัดส่วนการขึ้นค่าแรง ซึ่งเดิมมีการเสนอตัวเลขต่ำสุดที่ 2 บาท แต่คณะกรรมการเห็นว่าน้อยเกินไป จึงอาจพิจารณาขึ้นค่าแรงต่ำสุดที่ 5 บาท และสูงสุดที่ 12 บาท ซึ่งจังหวัดที่จะได้ค่าแรงสูงสุด 12 บาท คือ จ.ภูเก็ต และพังงา
- ขณะนี้ผู้ส่งออกกำลังเร่งเทขายสินค้าล้างสต๊อกที่เหลือค้างในปีที่แล้วให้หมด เพื่อไม่ให้ มากดดันราคาสินค้าในปีนี้ โดยส่วนใหญ่ยอมขายแบบขาดทุนกำไร เนื่องจากต้องการนำเงิน มาหมุนเวียนในการผลิตสินค้ารอบใหม่ หลังได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ แข็งค่าขึ้นเร็ว
- ร่างกรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2562 มีวงเงิน 3 ล้านล้านบาท เป็นงบแบบขาดดุล 4.5 แสนล้านบาท ที่จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในสัปดาห์นี้ มีการประเมินว่าจะเก็บ รายได้จำนวน 2.55 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2561 จำนวน 4-5 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1-2%
- วันที่ 15 ม.ค. 2561 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะร่วมประชุม คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียง เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.) เพื่อติดตามความคืบหน้าการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.อีอีซีที่จะเข้าสู่การ พิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ภายในเดือน ก.พ.นี้ เชื่อว่าจะเกิดความเชื่อมั่นในการดึงดูดการลงทุนในปีนี้
- ราคาหมูเป็นดิ่งหนัก หลังส่งออกไปจีนลดลง ทำราคาเหลือ กก.ละ 43-44 บาท แต่ราคาหมูหน้าเขียง ยังขายเกินโลละ 100 บาท ทั้งที่ควรไม่เกิน 90 บาท ดิ้นส่งออกกัมพูชา รณรงค์คนไทยกินหมู
- สมาคมนักลงทุนหวั่นระบบการเงินประเทศสะเทือน หลัง "คลัง" ผนึก "แบงก์ชาติ"จี้ 25 สหกรณ์ลดสัดส่วนลงทุนหุ้น-บอนด์ไม่เกิน 20% ของทุนเรือนหุ้น ตามกฎหมายใหม่ ส่งผลเม็ดเงินกว่า 3.5 แสนล้าน ต้องออกจากระบบ ด้านกรมส่งเสริมสหกรณ์ เร่งหาแนวทางปรับไม่ให้กระทบ พร้อมแก้ปัญหาการกู้วนซ้ำของ 717 สหกรณ์ คาดแล้วเสร็จใน 2 เดือน
*หุ้นเด่นวันนี้
- AQ-W4 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.เอคิว เอสเตท (AQ)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน42,656,849,667 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 0.05 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 ปีนับแต่วันที่ออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ (วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 31 ต.ค. 2561 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 31 ต.ค. 2561
- STEC (ไอร่า) เป้า 27.50 บาท คาดในปี 60 มูลค่างานใหม่ที่ STEC ได้รับ มีมูลค่ารวมสูงถึง 74,815 ล้านบาท และทำให้คาด Backlog ล่าสุดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ ประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คาดเพียงพอต่อการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 3 ปีข้างหน้า แม้ไม่มีงานใหม่เข้ามา พร้อมคาดรายได้ในปี 61 เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% โดยคาด 2H/61 ดีกว่า 1H/61 จากความคืบหน้าของงานก่อสร้างงานใหม่ที่รับเข้าในปี 60 เช่น สายสีส้ม สีเหลือง สีชมพู และโครงการรถไฟทางคู่ เป็นต้น คาดกำไรสุทธิปี 61 ที่ 1,186 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากประมาณการปี 60 และยังมีโอกาสในการรับงานเพิ่มจากแผนการเปิดประมูลโครงการของภาครัฐ เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วง เส้นทาง เตาปูน–ราษฎร์บูรณะ และทางด่วนพระราม 3 ดาวคะนอง–วงแหวนรอบนอก เป็นต้น
- BCH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 18.30 บาท คาดกำไรปกติ Q4/60 -20.2% Q-Q จากปัจจัยฤดูกาล แต่ยังโตแข็งแกร่ง +22.1% Y-Y จากทั้งฝั่งรายได้เงินสดและประกันสังคมที่ยังเติบโตดี ส่งผลให้กำไรปกติปี 2560 คาดว่าจะเติบโต 17% Y-Y ขณะที่ แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2561 คาดกำไร +15.6% Y-Y จากภาวะเศรษฐกิจทีเร่งตัวขึ้น และผลบวกจากการปรับเพิ่มการจ่ายเงินประกันสังคมเต็มปี ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงเป็นโอกาสซื้อ
- BEM (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 10 บาท คาดการณ์กำไรสุทธิ Q4/60 ที่ 899 ล้านบาท -4% Q-Q จากปัจจัยฤดูกาลที่มีวันหยุดมาก แต่โตเด่น +52% Y-Y จากมาร์จิ้นที่คาดปรับขึ้น จากค่าตัดจำหน่ายที่ลดลงตามการขยายอายุสัมปทานรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลง สำหรับกำไรปี 2561 คาด +18% Y-Y จากต้นทุนที่ลดลง และจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นตามผลของการเชื่อมสายสีม่วง-น้ำเงินเต็มปี โดยมี Upside จากการเร่งเปิดประมูล รถไฟฟ้าสีม่วงใต้และส้มตะวันออก ขณะที่ราคาหุ้น 3 เดือนล่าสุดปรับลง 1.3% ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และสวนทางกับบริษัทลูกอย่าง CKP และ TTW ที่ปรับขึ้น +6% และ 17% ตามลำดับ
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวขึ้น ขานรับวอลล์สตรีททำนิวไฮ-นักลงทุนจับตาข้อมูลศก.
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าวันนี้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ปิดพุ่งขึ้นทำนิวไฮเมื่อวันศุกร์ รวมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐและจีนที่ได้มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 23,708.63 จุด เพิ่มขึ้น 54.81 จุด, +0.23%ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 31,590.97 จุด เพิ่มขึ้น 178.43 จุด, +0.57% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,827.17 จุด เพิ่มขึ้น 4.50 จุด, +0.25%
ทั้งนี้ เงินเยนแข็งค่าขึ้นจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ในปีนี้ ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางญี่ปุ่น จะลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรลง
หุ้นซอฟท์แบงค์ ดีดตัวขึ้น ภายหลังจากที่มีรายงานข่าวว่า บริษัท ซอฟท์แบงค์ กรุ๊ป กำลังวางแผนที่จะระดมทุนราว 2 ล้านล้านเยน หรือ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ผ่านการนำหุ้นของบริษัท ซอฟท์แบงค์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นโตเกียว ภายในสิ้นปีนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศต่างๆตลอดทั้งสัปดาห์นี้ที่นักลงทุนให้ความสนใจ ได้แก่ ข้อมูลเศรษฐกิจจีนซึ่งได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4/2560, การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนธ.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค. และยอดค้าปลีกเดือนธ.ค. ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆนั้น นักลงทุนจับตาอัตราว่างงานเดือนธ.ค.ของออสเตรเลีย ขณะที่ยูโรสแตทจะเปิดเผย ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ยูโรโซนเดือนธ.ค., เยอรมนีและอังกฤษจะเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค.
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 15.70 จุด นำโดยหุ้นอุตสาหกรรม
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ (12 ม.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม โดยตลาดได้รับปัจจัยหนุนจากกระแสคาดการณ์ว่าผลประกอบการภาคเอกชนจะปรับตัวดีขึ้น
ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 7,778.64 จุด เพิ่มขึ้น 15.70 จุด หรือ +0.20%
หุ้น GKN ซึ่งเป็นบริษัทด้านวิศวกรรม พุ่งขึ้น 26% หลังจากบริษัทปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการของเมลโรส อินดัสทรีส์ โดยหุ้นเมลโรส อินดัสทรีส์ ปรับตัวขึ้น 5.8%
หุ้นสมิธส์ กรุ๊ป ปรับตัวขึ้น 5.4% หลังจากบริษัทประเมินว่าการปฏิรูปภาษีในสหรัฐจะส่งผลดีต่อบริษัท
หุ้นเหมืองแร่ปรับตัวขึ้น โดยหุ้นอังโกล อเมริกันเพิ่มขึ้น 0.4% หุ้นอันโตฟากัสตาเพิ่มขึ้น 0.6%
หุ้นก่อสร้างปรับตัวขึ้น โดยหุ้นโบวิส โฮมส์เพิ่มขึ้น 1.39%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับข่าวเยอรมนีบรรลุข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาล
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (12 ม.ค.) ขานรับความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาลเยอรมนี
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.31% ปิดที่ 398.49 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,245.03 จุด เพิ่มขึ้น 42.13 จุด หรือ +0.32% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,517.06 จุด เพิ่มขึ้น 28.51 จุด หรือ +0.52% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,778.64 จุด เพิ่มขึ้น 15.70 จุด หรือ +0.20%
สื่อเยอรมนีรายงานว่า พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) และพรรคสหภาพสังคมคริสเตียน (CSU) ของนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี และพรรคสังคมประชาธิปไตย (SPD) สามารถบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลแล้ว
แกนนำของทั้ง 3 พรรคจะนำรายละเอียดของข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายในประเด็นสำคัญต่างๆจำนวน 28 หน้าเสนอแก่สมาชิกพรรค ซึ่งพรรค SPD จะมีการประชุมสมาชิกพรรคในวันที่ 21 ม.ค. หากที่ประชุมให้การรับรองนโยบายเหล่านี้ และเห็นพ้องที่จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรค CDU/CSU ก็จะถือเป็นการสิ้นสุดภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองของเยอรมนีนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 ก.ย.ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ในข้อตกลงที่แกนนำทั้ง 3 พรรคเห็นพ้องกันนั้น พวกเขาตกลงกันว่าจะไม่มีการปรับขึ้นภาษี และจะจำกัดจำนวนผู้อพยพเข้าประเทศให้อยู่ในช่วง 180,000-220,000 คนต่อปี รวมทั้งตกลงที่จะสร้างความเข้มแข็งให้แก่สหภาพยุโรป (EU) ด้วยการให้เยอรมนีสมทบเงินช่วยเหลือ EU มากขึ้น
หุ้น GKN ซึ่งเป็นบริษัทด้านวิศวกรรม พุ่งขึ้น 26% หลังจากบริษัทปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการของเมลโรส อินดัสทรีส์ โดยหุ้นเมลโรส อินดัสทรีส์ ปรับตัวขึ้น 5.8%
หุ้นเฟียต ไครสเลอร์ เพิ่มขึ้น 0.7% หลังจากประกาศแผนที่จะย้ายฐานการผลิตรถปิคอัพรุ่น Ram Heavy Duty จากเม็กซิโก ไปยังรัฐมิชิแกนในสหรัฐ
หุ้นวิเวนดี บริษัทสื่อในฝรั่งเศส ร่วงลง 3.8% ถึงแม้ว่าบริษัทจะคาดการณ์กำไรและรายได้ขยายตัวในปี 2560
ในสัปดาห์นี้ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.29%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 228.46 จุด ขานรับผลประกอบการแบงก์แข็งแกร่ง
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ (12 ม.ค.) ขานรับผลประกอบการสถาบันการเงินแข็งแกร่ง โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดทำนิวไฮพร้อมกันอีกครั้ง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,803.19 จุด เพิ่มขึ้น 228.46 จุด หรือ +0.89% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,786.24 จุด เพิ่มขึ้น 18.68 จุด หรือ +0.67% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 7,261.06 จุด เพิ่มขึ้น 49.28 จุด หรือ +0.68%
ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากสถาบันการเงินเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง
เจพีมอร์แกน เชส เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไร และรายได้ในไตรมาส 4 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยธนาคารมีรายได้ 2.545 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.76 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 2.515 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.69 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 4
แบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่า ทางบริษัทมีกำไรและรายได้ในไตรมาส 4 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทพุ่งขึ้นทะลุระดับ 6 ล้านล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ แบล็คร็อค ระบุว่า บริษัทมีกำไร 6.24 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.02 ดอลลาร์/หุ้น และบริษัทมีรายได้ 3.469 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.321 พันล้านดอลลาร์
แบล็คร็อคยังระบุว่า บริษัทมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการมูลค่า 6.288 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.248 ล้านล้านดอลลาร์
เวลส์ ฟาร์โก ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรในไตรมาส 4 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ แต่มีรายได้ต่ำกว่าคาด โดยธนาคารมีรายได้ 2.205 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.16 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 2.238 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.07 ดอลลาร์/หุ้น
ทั้งนี้ หุ้นเจพีมอร์แกน เชส ปรับตัวขึ้น 1.65% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ปรับตัวลง 0.71% และหุ้นแบล็คร็อค พุ่งขึ้น 3.27%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากพุ่งขึ้น 0.9% ในเดือนพ.ย.
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในรายงานอีกฉบับว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% หลังจากที่ทรงตัวในเดือนต.ค.
สำหรับสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจที่ไม่รวมรถยนต์ ซึ่งมีการนำไปคำนวณตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค.
ส่วนกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนธ.ค. หลังจากปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย.
หากไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดัชนี CPI พื้นฐานพุ่งขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.ปีที่แล้ว หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย. โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของค่าเช่า, การดูแลสุขภาพ และราคารถยนต์
หุ้นเฟซบุ๊กร่วงลง 4.5% หลังจากมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ซีอีโอเฟซบุ๊กระบุว่า เฟสบุ๊กเตรียมคุมเข้มเนื้อหาบนไทม์ไลน์ โดยจะแสดงเนื้อหาข่าวให้น้อยลง เน้นแสดงข้อมูลเพื่อนฝูงและครอบครัวมากขึ้น
หุ้นสแนปร่วงลง 3.4% หลังจากเรย์มอนด์ เจมส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสแนปสู่ระดับ Underperform
ในสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 2% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.6% และดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 1.7%
--อินโฟเควสท์
OO4447