- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 11 January 2018 12:48
- Hits: 977
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์หลังไร้ปัจจัยบวกใหม่หนุน-ตลาดภูมิภาคพักฐานหลังมีข่าวจีนจะชะลอการซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ เนื่องจากตลาดฯไม่ได้มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุน ขณะเดียวกันตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างก็พักฐานกันด้วย ภายหลังจากที่มีข่าวออกมาจีนจะชะลอการซื้อพันธบัตรของสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดฯอาจผันผวนในระยะสั้น
ทั้งนี้ ช่วงนี้กำลังจะเป็นช่วงของการทยอยประกาศผลประกอบการ ซึ่งทั่วโลกต่างก็เฝ้าจับตาดูงบฯที่จะออกมาเป็นหลัก โดยบ้านเราจะเริ่มที่การประกาศงบฯของกลุ่มแบงก์ที่คาดว่าจะเริ่มประกาศในวันพรุ่งนี้ (12 ม.ค.) นอกจากนี้ให้ติดตามตัวเลขการส่งออกของจีน
พร้อมให้แนวรับ 1,785-1,790 จุด ส่วนแนวต้าน 1,800 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (10 ม.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,369.13 จุด ลดลง 16.67 จุด (-0.07%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,748.23 จุด ลดลง 3.06 จุด (-0.11%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,153.57 จุด ลดลง 10.01 จุด (-0.14%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 131.81 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 6.24 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 7.51 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 6.55 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 2.89 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 3.49 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.90 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (10 ม.ค.61) 1,794.92 จุด ลดลง 0.29 จุด (-0.02%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,336.88 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 ม.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (10 ม.ค.61) ปิดที่ระดับ 63.57ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 61 เซนต์ หรือ 1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (10 ม.ค.61) ที่ 5.84 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.09 แข็งค่าต่อเนื่องตามภูมิภาค หลังดอลล์อ่อนจากความกังวลจีนอาจยุติซื้อพันธบัตรสหรัฐ
- "สมคิด" เผยเตรียมออก งบกลางปี 2561 เพิ่มเม็ดเงิน 1.5 แสนล้าน เดินหน้านโยบายเศรษฐกิจฐานราก-ปฏิรูปภาคเกษตร มอบคลังทำรายละเอียด หวังสร้างแรงขับเคลื่อนต่อเนื่อง หลังเศรษฐกิจโมเมนตัมดี ชี้จีดีพีไตรมาส 4 ปี 60 ขยายตัวสูง ดันทั้งปีแตะ 4%
- การประชุมร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือน ม.ค. 2561 มีมติตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลค่าเงินบาท โดยเป็นตัวแทนจาก 3 สถาบันใน กกร. ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย เพื่อติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่า 12% ก่อนสรุปแนวทางที่ต้องการให้รัฐช่วยเหลือ และดำเนินการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายในสัปดาห์หน้า
- ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยรายงานคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเดือน ม.ค. ระบุว่า เศรษฐกิจทั่วโลกคาดว่าจะขยายตัวขึ้น 0.1% จากปีก่อนหน้านี้ไปอยู่ที่ 3.1% ในปี 2561 เนื่องจากการผลิต การค้า และการลงทุนฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเติบโตเต็มศักยภาพครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกเมื่อปี 2551
- สัปดาห์หน้าสำนักงบประมาณจะเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ โดยมีวงเงิน 3 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณแบบขาดดุล 4.5 แสนล้านบาท เพราะมีการประมาณการเก็บรายได้ 2.55 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจปี 2562 ขยายตัวได้ 4.2%
- ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าจ้างเห็นชอบให้เลื่อนการพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศออกไปเป็นวันที่ 17 ม.ค.นี้ เนื่องจากต้องการให้จัดทำตัวเลขค่าจ้างแต่ละกลุ่มจังหวัดใหม่ให้รอบคอบ
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ เนื่องจากตลาดฯไม่ได้มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุน ขณะเดียวกันตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างก็พักฐานกันด้วย ภายหลังจากที่มีข่าวออกมาจีนจะชะลอการซื้อพันธบัตรของสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดฯอาจผันผวนในระยะสั้น
ทั้งนี้ ช่วงนี้กำลังจะเป็นช่วงของการทยอยประกาศผลประกอบการ ซึ่งทั่วโลกต่างก็เฝ้าจับตาดูงบฯที่จะออกมาเป็นหลัก โดยบ้านเราจะเริ่มที่การประกาศงบฯของกลุ่มแบงก์ที่คาดว่าจะเริ่มประกาศในวันพรุ่งนี้ (12 ม.ค.) นอกจากนี้ให้ติดตามตัวเลขการส่งออกของจีน
พร้อมให้แนวรับ 1,785-1,790 จุด ส่วนแนวต้าน 1,800 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (10 ม.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,369.13 จุด ลดลง 16.67 จุด (-0.07%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,748.23 จุด ลดลง 3.06 จุด (-0.11%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,153.57 จุด ลดลง 10.01 จุด (-0.14%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 131.81 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 6.24 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 7.51 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 6.55 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 2.89 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 3.49 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.90 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (10 ม.ค.61) 1,794.92 จุด ลดลง 0.29 จุด (-0.02%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,336.88 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 ม.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (10 ม.ค.61) ปิดที่ระดับ 63.57ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 61 เซนต์ หรือ 1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (10 ม.ค.61) ที่ 5.84 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.09 แข็งค่าต่อเนื่องตามภูมิภาค หลังดอลล์อ่อนจากความกังวลจีนอาจยุติซื้อพันธบัตรสหรัฐ
- "สมคิด" เผยเตรียมออก งบกลางปี 2561 เพิ่มเม็ดเงิน 1.5 แสนล้าน เดินหน้านโยบายเศรษฐกิจฐานราก-ปฏิรูปภาคเกษตร มอบคลังทำรายละเอียด หวังสร้างแรงขับเคลื่อนต่อเนื่อง หลังเศรษฐกิจโมเมนตัมดี ชี้จีดีพีไตรมาส 4 ปี 60 ขยายตัวสูง ดันทั้งปีแตะ 4%
- การประชุมร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือน ม.ค. 2561 มีมติตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลค่าเงินบาท โดยเป็นตัวแทนจาก 3 สถาบันใน กกร. ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย เพื่อติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่า 12% ก่อนสรุปแนวทางที่ต้องการให้รัฐช่วยเหลือ และดำเนินการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายในสัปดาห์หน้า
- ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยรายงานคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเดือน ม.ค. ระบุว่า เศรษฐกิจทั่วโลกคาดว่าจะขยายตัวขึ้น 0.1% จากปีก่อนหน้านี้ไปอยู่ที่ 3.1% ในปี 2561 เนื่องจากการผลิต การค้า และการลงทุนฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเติบโตเต็มศักยภาพครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกเมื่อปี 2551
- สัปดาห์หน้าสำนักงบประมาณจะเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ โดยมีวงเงิน 3 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณแบบขาดดุล 4.5 แสนล้านบาท เพราะมีการประมาณการเก็บรายได้ 2.55 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจปี 2562 ขยายตัวได้ 4.2%
- ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าจ้างเห็นชอบให้เลื่อนการพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศออกไปเป็นวันที่ 17 ม.ค.นี้ เนื่องจากต้องการให้จัดทำตัวเลขค่าจ้างแต่ละกลุ่มจังหวัดใหม่ให้รอบคอบ
*หุ้นเด่นวันนี้
- AIT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อเก็งกำไร"เป็น Top Pick ในกลุ่มวางระบบไอที โดยมองว่าจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนเพื่อรับเศรษฐกิจดิจิทัลมากที่สุด เพราะรายได้เกือบทั้งหมดเป็นงานราชการ และปีก่อนมีผลงานโดดเด่นในโครงการเน็ตประชารัฐฯ และงานในมือสิ้น Q3/60 อยู่ที่ 3.5 พันลบ. คาดว่าจะเหลือรับรู้รายได้ปี 2561 ราว 3 พันลบ. ขณะที่จำนวนงานประมูลที่มากขึ้นในปีนี้ นอกจากจะหนุนให้อัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากการแข่งขันที่ลดลงแล้ว ยังเป็นตัวเปิด Upside ต่อประมาณการเดิมที่คาดกำไรปี 2560-2561 โตเฉลี่ย 16% ต่อปีด้วย ทั้งนี้จุดเด่นของ AIT คือ PE ต่ำเพียง 12 เท่า และเป็นผลเฉพาะ 2H60 สูง 5% ต่อปี ทำให้ Downside จำกัด
- GOLD(ดีบีเอส วิเคอร์ส) "ซื้อไเป้า 10.71 บาท ปี 61 ตั้งแผนเชิงรุกเต็มตัว โดยวางแผนเปิดขายโครงการใหม่สูงถึง 34 โครงการ มูลค่าขาย 39.6 พันล้านบาท เทียบกับปี 60 เปิดขาย 14 โครงการ มูลค่าขาย 14.4 พันล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขาย (Presales) ปี 61 เพิ่ม 34% เป็น 26.6 พันล้านบาท ซึ่งจะมีแรงผลักดันจากการเปิดขายโครงการใหม่เป็นจำนวนมาก ด้านเป้ารายได้จากการโอนปี 61 โต 35% เป็น 16.1 พันล้านบาท ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ความสำเร็จในเรื่องยอดขายของโครงการใหม่ และการขายสินทรัพย์คือ อาคารสำนักงาน FYI ที่จะขายเข้า GVREIT
- BIZ (โกลเบล็ก) "ซื้อลงทุนระยะยาว"เป้า 4.80 บาท ผถห.ไฟเขียว ร่วมทุนตั้งรพ.รักษามะเร็ง มูลค่า 500 ลบ. คาดพร้อมเปิดให้บริการปี 62 โดยคาดผลประกอบการไตรมาส 4 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงเนื่องจากคาดว่าจะมีการส่งมอบเครื่องฉายรังสี 1 เครื่องมูลค่า 70 ล้านบาท (ไตรมาส 3 ส่งมอบ 1 เครื่องมูลค่า 85 ล้านบาท) นอกจากนี้คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาทางการเงินจากโครงการโรงพยาบาลที่ศรีราชาเข้ามากดดันผลประกอบการเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามมีมุมมองบวกต่อ BIZ ในระยะยาวเนื่องจากธุรกิจโรงพยาบาลจะลดความผันผวนของธุรกิจจำหน่ายเครื่องฉายรังสีลงในอนาคต
- GOLD(ดีบีเอส วิเคอร์ส) "ซื้อไเป้า 10.71 บาท ปี 61 ตั้งแผนเชิงรุกเต็มตัว โดยวางแผนเปิดขายโครงการใหม่สูงถึง 34 โครงการ มูลค่าขาย 39.6 พันล้านบาท เทียบกับปี 60 เปิดขาย 14 โครงการ มูลค่าขาย 14.4 พันล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขาย (Presales) ปี 61 เพิ่ม 34% เป็น 26.6 พันล้านบาท ซึ่งจะมีแรงผลักดันจากการเปิดขายโครงการใหม่เป็นจำนวนมาก ด้านเป้ารายได้จากการโอนปี 61 โต 35% เป็น 16.1 พันล้านบาท ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ความสำเร็จในเรื่องยอดขายของโครงการใหม่ และการขายสินทรัพย์คือ อาคารสำนักงาน FYI ที่จะขายเข้า GVREIT
- BIZ (โกลเบล็ก) "ซื้อลงทุนระยะยาว"เป้า 4.80 บาท ผถห.ไฟเขียว ร่วมทุนตั้งรพ.รักษามะเร็ง มูลค่า 500 ลบ. คาดพร้อมเปิดให้บริการปี 62 โดยคาดผลประกอบการไตรมาส 4 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงเนื่องจากคาดว่าจะมีการส่งมอบเครื่องฉายรังสี 1 เครื่องมูลค่า 70 ล้านบาท (ไตรมาส 3 ส่งมอบ 1 เครื่องมูลค่า 85 ล้านบาท) นอกจากนี้คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาทางการเงินจากโครงการโรงพยาบาลที่ศรีราชาเข้ามากดดันผลประกอบการเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามมีมุมมองบวกต่อ BIZ ในระยะยาวเนื่องจากธุรกิจโรงพยาบาลจะลดความผันผวนของธุรกิจจำหน่ายเครื่องฉายรังสีลงในอนาคต
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวลง หลังตลาดหุ้นสหรัฐอ่อนตัว-จับตาผลประกอบการ
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าวันนี้ปรับตัวลง ภายหลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐอ่อนตัวลงเพราะความกังวลเกี่ยวกับข่าวที่ว่า จีนอาจจะชะลอหรือระงับการซื้อพันธบัตรของสหรัฐ ในขณะที่เงินเยนยังคงแข็งค่าใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ นักลงทุนต่างรอดูการรายงานผลประกอบการของบริษัททั้งในสหรัฐและเอเชีย
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 31,010.50 จุด ลดลง 63.22 จุด, -0.20% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 23,707.31 จุด ลดลง 80.89 จุด, -0.34% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,815.35 จุด ลดลง 7.57 จุด, -0.42%
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้มีการเปิดเผยแล้วในวันนี้ ได้แก่ สมาคมผู้นำเข้ายานยนต์ญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์นำของญี่ปุ่นในปี 2560 เพิ่มขึ้น 2.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 351,020 คัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี โดยรถยนต์ราคาแพงได้รับความนิยมมากขึ้น หลังจากเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัว
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ยอดขายรถยนต์นำเข้าของญี่ปุ่นนนั้น ครอบคลุมถึงรถยนต์นั่งโดยสร รถบรรทุก และรถบัส และรวมถึงรถยนต์ของบริษัทญี่ปุ่นที่ผลิตในต่างประเทศ
ทางการจีนออกมาตรการคุมเข้มทางการเงินในช่วงเริ่มต้นปีใหม่หลายมาตรการ เพื่อลดความเสี่ยงในระบบการเงิน โดยหนึ่งในนั้นคือการออกกฎให้ธนาคารจำกัดการปล่อยกู้ให้กับผู้กู้ที่มีความน่าเชื่อถือน้อย
รายงานข่าวระบุว่า คณะกรรมการกำกับดูแลภาคธนาคารของจีน (CBRC) ได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์วางมาตรการเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากธุรกิจสินเชื่อ โดยธนาคารต่างๆจะต้องจำกัดความเสี่ยงด้านเครดิตจากลูกค้าแต่ละราย
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่ง หนุนฟุตซี่ปิดทำนิวไฮ
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ (10 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารรายใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 17.49 จุด หรือ +0.23% ปิดที่ 7,748.51 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ พุ่งขึ้นนำตลาดที่ 4.6% หลังมอร์แกน สแตนลีย์ ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของธนาคารดังกล่าวจาก "equal-weight" เป็น "overweight"
ขณะที่หุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิงส์ พุ่งขึ้น 3.8% และหุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เพิ่มขึ้น 3.3%
หุ้นกลุ่มสร้างบ้านปรับตัวลดลง โดยหุ้นเทย์เลอร์ วิมปีย์ ดิ่งลง 4.2% แม้บริษัทจะแสดงความเชื่อมั่นว่า ผลประกอบการปี 2560 จะสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ เนื่องจากบ้านที่สร้างแล้วเสร็จมีจำนวนเพิ่มขึ้น
หุ้นเพอร์ซิมมอน ร่วงลง 1.6% และหุ้นบาร์ราตต์ เดเวลลอปเมนต์ส ลดลง 1.4%
หุ้นกลุ่มค้าปลีกที่น่าจับตา หุ้นเจ เซนส์บิวรี พุ่งขึ้น 2.2% หลังเชนธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตรายนี้เปิดเผยว่า ยอดขายของห้างซูเปอร์มาร์เก็ตสาขาเดิมประจำไตรมาส 3 ของปีงบการเงิน 2561 เติบโต 1.1% ขณะที่หุ้นดับบลิวเอ็ม มอร์ริสัน และหุ้นเทสโก ร่วงลง 1.2%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ นักลงทุนขายทำกำไรหลังตลาดพุ่งติดต่อหลายวัน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (10 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากตลาดพุ่งขึ้นติดต่อกัน 5 วันทำการที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์ก หลังจากมีรายงานข่าวว่า จีนอาจยุติการซื้อพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.4% ปิดที่ 398.60 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,504.68 จุด ลดลง 19.26 จุด หรือ -0.35% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,281.34 จุด ร่วงลง 104.25 จุด หรือ -0.78% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,748.51 จุด เพิ่มขึ้น 17.49 จุด หรือ +0.23%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร นอกจากนี้ การร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์กยังสร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรป หลังจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เจ้าหน้าที่จีนซึ่งมีหน้าที่พิจารณาการถือครองทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีน ได้เสนอให้รัฐบาลจีนชะลอ หรือยุติการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยจีนนับเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรายใหญ่ที่สุดในโลก และมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงที่สุดในโลก
หุ้นกลุ่มสร้างบ้านปรับตัวลดลง โดยหุ้นเทย์เลอร์ วิมปีย์ ดิ่งลง 4.2% แม้บริษัทได้แสดงความเชื่อมั่นว่าผลประกอบการปี 2560 จะสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ เนื่องจากบ้านที่สร้างแล้วเสร็จมีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะที่หุ้นเพอร์ซิมมอน ร่วงลง 1.6% และหุ้นบาร์ราตต์ เดเวลลอปเมนต์ส ลดลง 1.4%
หุ้น Tele2 AB ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสารรายใหญ่ของสวีเดน ร่วงลง 7.5% หลังจากบริษัทประกาศซื้อกิจการ Com Hem Holdings ซึ่งเป็นธุรกิจเพย์ทีวี อย่างไรก็ตาม ข่าวดังกล่าวได้หนุนหุ้น Com Hem พุ่งขึ้น 3.4%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น โดยหุ้นคอมเมิร์ซแบงก์ พุ่งขึ้น 5.1% หุ้นเมโทร แบงก์ ทะยานขึ้น 4.3% หุ้นบังโค ซาบาเดลล์ พุ่งขึ้น 4% หุ้นดอยซ์แบงก์ ดีดตัวขึ้น 3% หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ พุ่งขึ้น 4.6% หุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิงส์ พุ่งขึ้น 3.8% และหุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เพิ่มขึ้น 3.3%
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศยุโรปในวันนี้ ซึ่งรวมถึง อัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค.ของฝรั่งเศส, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ตลอดปี 2560 ของเยอรมนี และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.ของยูโรโซน
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 16.67 จุด วิตกข่าวจีนยุติซื้อพันธบัตรสหรัฐ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อข่าวที่ว่า จีนอาจยุติการซื้อพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ อาจประกาศนำสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ในเร็วๆนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,369.13 จุด ลดลง 16.67 จุด หรือ -0.07% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,748.23 จุด ลดลง 3.06 จุด หรือ -0.11% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,153.57 จุด ลดลง 10.01 จุด หรือ -0.14%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดอ่อนแรงลง โดยในระหว่างวัน ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 100 จุด เนื่องจากนักลงทุนตื่นตระหนกต่อรายงานข่าวที่ว่า จีนอาจยุติการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยจีนนับเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรายใหญ่ที่สุดในโลก และมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงที่สุดในโลก
บลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เจ้าหน้าที่จีนซึ่งมีหน้าที่พิจารณาการถือครองทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีน ได้เสนอให้รัฐบาลจีนชะลอ หรือยุติการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเริ่มมีความน่าดึงดูดน้อยลงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ นอกจากนี้ ความตึงเครียดของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้จีนลดการซื้อพันธบัตรสหรัฐ
รายงานข่าวดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือนเมื่อคืนนี้ ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะซบเซาของตลาดพันธบัตรสหรัฐ และสร้างความวิตกต่อนักลงทุน
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันหลังจากเจ้าหน้าที่แคนาดาระบุว่า ปธน.ทรัมป์อาจประกาศนำสหรัฐถอนตัวจากข้อตกลง NAFTA ในเร็วๆนี้ ซึ่งสอดคล้องกับที่โกลด์แมน แซคส์ ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ปธน.ทรัมป์จะประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลง NAFTA ในช่วงต้นปี 2561 หากสหรัฐไม่สามารถบรรลุการเจรจาปรับปรุงข้อตกลงที่มีอายุ 23 ปีฉบับนี้ร่วมกับเม็กซิโกและแคนาดาได้
ทั้งนี้ สหรัฐ แคนาดา และเม็กซิโก ได้ผลัดกันเปิดการเจรจาข้อตกลง NAFTA มาแล้ว 4 รอบตั้งแต่เดือนส.ค. 2560 ขณะที่การเจรจารอบล่าสุดเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมานั้น ยังคงปรากฎให้เห็นถึง "ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน" ระหว่างทั้งสามฝ่าย ขณะที่หอการค้าแคนาดา, หอการค้านานาชาติเม็กซิโก และสภาธุรกิจระหว่างประเทศของสหรัฐ เตือนว่า "หากสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลง NAFTA จะทำให้ตำแหน่งงานหายไปอย่างน้อย 1.3 ล้านตำแหน่งทั่วภูมิภาค"
หุ้นซิกเนท จิวเวเลอร์ส ผู้จำหน่ายอัญมณีรายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลง 6.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายลดลง 5.3% ในช่วงเทศกาลวันหยุดที่ผ่านมา
หุ้นเวิร์ลพูล ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ ร่วงลง 1.3% หลังจากบริษัทประกาศแผนการปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งอาจทำให้ต้องปลดพนักงาน 500 ตำแหน่ง
หุ้นโดมิโน่ พิซซ่า ดิ่งลง 3.2% หลังจากบริษัทประกาศว่า นายเจ แพททริก ดอยล์ ซีอีโอของบริษัทจะลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 30 มิ.ย.นี้
ส่วนหุ้นสายการบินยูไนเต็ด คอนทิเนนทัล โฮลดิ้งส์ ทะยานขึ้น 6.7% หลังจากทางสายการบินเปิดเผยจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นในเดือนธ.ค.
หุ้นอีสต์แมน โกดัก พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 57% หลังจากบริษัทประกาศเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัล "โกดัก คอยน์" สำหรับนักถ่ายภาพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "โกดักวัน" แพลตฟอร์มการจัดการสิทธิภาพถ่าย
นักลงทุนจับตาธนาคารรายใหญ่อย่างเจพีมอร์แกน เชส, เวลส์ ฟาร์โก และแบล็คร็อค ซึ่งจะเปิดเผยผลประกอบการในวันพรุ่งนี้ พร้อมกับจับตาข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐเพื่อหาสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ประจำเดือนธ.ค.ในวันนี้ และจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนธ.ค.ในวันพรุ่งนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ย.
--อินโฟเควสท์
OO4380