WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

12 ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ยังมีโมเมนตัมเป็นบวก ลุ้นทดสอบ 1,800 จุด,ตลาดภูมิภาคปรับขึ้นขานรับคาดการณ์เฟดชะลอขึ้นดบ.
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ยังมีโมเมนตัมเป็นบวกอยู่ ทำให้ดัชนีฯน่าจะปรับขึ้นได้ และมีโอกาสที่จะขึ้นทดสอบระดับ 1,800 จุดอีกครั้ง แต่ก็คงจะยังไม่ผ่านในระยะอันใกล้นี้ เนื่องจากตลาดฯได้ปรับขึ้นแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา และนักลงทุนต่างชาติก็มีการขายทำกำไรบ้างแล้ว แม้แต่กองทุนก็เริ่มขายออกบ้างเมื่อใกล้ระดับ 1,800 จุด อย่างไรก็ดี มองว่าแรงซื้อจากกองทุนยังน่าจะมีมาช่วยพยุงดัชนีฯไว้ได้

แม้ว่าในเดือนนี้จะมีการไถ่ถอนหน่วยลงทุนแต่ก็คงเป็นแค่บางส่วน เนื่องจากคนมองตลาดฯบวก จากที่ดัชนีฯทำ New High ทำให้บางส่วนอาจไม่จำเป็นต้องรีบไถ่ถอนหน่วยลงทุน แต่ทั้งนี้ระยะสั้นดัชนีฯปรับขึ้นเร็วก็อาจมีการปรับฐานก่อน
นอกจากนี้ ในช่วงปลายสัปดาห์อาจมีแรงเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มแบงก์ เนื่องจากเริ่มจะมีการทยอยประกาศผลประกอบการออกมา ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างอยู่ในแดนบวกกัน ตามตลาดสหรัฐฯที่บวกได้มากกว่า 200 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จากการคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯออกมาขยายตัวน้อยกว่าที่ตลาดฯคาดไว้
พร้อมให้แนวรับ 1,787 จุด ส่วนแนวต้าน 1,803 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (5 ม.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,295.87 จุด พุ่งขึ้น 220.74 จุด (+0.88%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,743.15 จุด เพิ่มขึ้น 19.16 จุด (+0.70%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,136.56 จุด เพิ่มขึ้น 58.64 จุด (+0.83%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 0.20 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 80.45 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 19.29 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 13.18 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 9.17 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.77 จุด
ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันฉลองบรรลุนิติภาวะ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (5 ม.ค.61) 1,795.45 จุด เพิ่มขึ้น 4.43 จุด (+0.25%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,991.76 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 ม.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (5 ม.ค.61) ปิดที่ระดับ 61.44 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 57 เซนต์ หรือ 0.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (5 ม.ค.61) ที่ 5.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.13 แข็งค่าต่อเนื่องในรอบ 3 ปี จากเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตร มองกรอบวันนี้ 32.10-32.20
- "คณิศ" ยันปี 61 อีอีซีเดินหน้าลงทุนจริง 5 โครงสร้างพื้นฐาน "รถไฟความเร็วสูง-สนามบินอู่ตะเภา-ศูนย์ซ่อมอากาศยาน-ท่าเรือแหลมฉบัง-ท่าเรือมาบตาพุด" พร้อมดึงนักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกเพิ่มอีก "30 บริษัท" คาดปีนี้ เงินลงทุนกว่า 1 แสนล้าน รุกปฏิรูปการศึกษาอาชีวะ ผลิตแรงงานป้อนพื้นที่อีอีซี
- สัญญาณบวกเศรษฐกิจฟื้น หนุนท่องเที่ยวปีนี้โต 10% วางเป้าหมายรายได้ 3 ล้านล้าน ชี้ปัจจัยสายการบินโลว์คอสท์บูม กระตุ้นตลาดขยายตัว แนะพัฒนาระบบไอทีเสริมแกร่งกลยุทธ์ท่องเที่ยว ขณะ สทท.ประเมินไตรมาสแรกต่างชาติโต 5%
- อดีต รมว.คลัง เตือนรัฐบาลลดบทบาท กฟผ.-ปตท. ให้เอกชนคุมธุรกิจพลังงานแทน ระวังเปิดช่องทุนใหญ่ นายแบงก์ โบรกเกอร์ ที่อยู่เบื้องหลังนโยบาย เข้ากอบโกยผลประโยชน์ ทางแก้ ห้ามอุ๊บอิ๊บ ต้องตีกรอบเอกชนไม่ให้อำนาจผูกขาด เปิดเสรีอย่างแท้จริง ไม่คุ้มครองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
- นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป และรองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เผยขณะนี้ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจากการประเมินตัวเลขการส่งออกสินค้าไทยปี 2560 ที่ผ่านมา จากเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทในปี 2559 ผู้ส่งออกรายได้หายไปจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐประมาณ 3.5 แสนล้านบาท
- สมาคมตราสารหนี้ไทย (Thai BMA) เปิดเผยว่า 3 วันทำการแรกของปี 2561 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้รวมทั้งสิ้น 3.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นซื้อ ในวันที่ 3 ม.ค. จำนวน 3,359 ล้านบาท วันที่ 4 ม.ค. 1.1 หมื่นล้านบาท และวันที่ 5 ม.ค. 2 หมื่นล้านบาท การเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยของต่างชาติยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากสิ้นปี 2560 มียอดซื้อสุทธิอยู่ที่ 2.2 แสนล้านบาท
- บล.เอเซีย พลัส มองแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 61 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง เพราะได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการลงทุนโครงการเมกะโปรเจคท์ของภาครัฐ ทั้งโครงการรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม ส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยออกสู่พื้นที่ใหม่มากขึ้น
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เตรียมชง ครม. เคาะ 3 มาตรการ 9 โครงการ วง
เงินสินเชื่อรวม 9.5 หมื่นล้านบาท ดูแลเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่มาลงทะเบียนในโครงการเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เฉียด 4 ล้านราย
- สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำกรณีที่คณะ
กรรมการพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำจากสามฝ่าย (ไตรภาคี) จะเรียกประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ชุดใหญ่ ไตรภาคี เพื่อมีมติปรับขึ้นค่า
แรงขั้นต่ำในเดือน ม.ค.นี้ โดยที่ผ่านมาไตรภาคีเคยพิจารณาว่าอาจจะปรับขึ้นใน 2-15 บาท ตามพื้นที่แต่ละจังหวัด เรื่องนี้ ส.อ.ท.
ต้องการให้คณะกรรมการไตรภาคีที่มีตัวแทนของนายจ้าง ลูกจ้างและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาจากข้อมูลที่มีอยู่ ขอให้ยึด
หลักเกณฑ์ที่เคยทำมาในช่วงที่ผ่านมาและต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ร่วมด้วย

*หุ้นเด่นวันนี้

- SVOA (ฟินันเซีย ไซรัส) น่าสนใจทั้ง Valuation และการเติบโต โดยกำไร 9M60 อยู่ที่ 126 ล้านบาท +78% Y-Y จากการได้งานใหญ่ของภาครัฐฯ ซึ่งยังมีการรับรู้ต่อเนื่องใน Q4/60 เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิ 29 ล้านบาท หนุนกำไรทั้งปี 2560 สูงสุดในรอบ 10 ปีที่ 155 ล้านบาท +112% Y-Y ส่วนกำไรปี 2561 คาดโตตามการลงทุนของแบงก์ เพราะ SVOA เป็นผู้นำระบบ ATM, Payment, และ Digital Banking ในเชิง Valuation ถือว่า Downside จำกัดมาก
- AAV (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 7.30 บาท มองบวกกับภาพรวมอุตสาหกรรมการบินที่ดีขึ้นในปี 2561 จากโมเมนตัมเชิงบวกของจำนวนนักท่องเที่ยวที่โตต่อเนื่อง และการฟื้นกลับมาโตโดดเด่นของนักท่องเที่ยวจีน โดย AAV ตั้งเป้าผู้โดยสารที่ 22.8 ล้านคน โต 15% Y-Y และรับเครื่องบินเพิ่มอีก 7 ลำ เป็น 63 ลำ รองรับการเพิ่มความถี่ และเปิดเส้นทางใหม่ท้ง Domestic, CLMV และอินเดีย รวมถึงเน้นเที่ยวบินข้ามภาค และผลักดันรายได้จากบริการเสริมเพิ่มขึ้น ขณะที่การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ ไม่มีผลต่อนโยบายและแผนธุรกิจเดิม อีกทั้ง ยังช่วยให้การบริหารงานมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากแนวโน้มกำไร Q4/60-Q1/61 ที่จะโตแข็งแกร่งจาก High Season และได้ประโยชน์จากมาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยวเมื่อรอง
- JWD (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้า 14 บาท ผู้บริหารตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปี 2561 ไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่คาดว่าจะมีรายได้ 2.4-2.5 พันล้านบาท ขณะที่ NPM ตั้งเป้าไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 8-9% โดยจะได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจปัจจุบัน รวมถึงการลงทุนใหม่ทั้งในรูปของ M&A และ JV โดยปีนี้จะเน้นไปที่ประเทศเวียดนาม รวมถึงพิจารณาขยายการลงทุนไปในประเทศฟิลิปปินส์และมาเลเซีย เพื่อเดินตามแผนระยะกลางที่จะมีพื้นที่การให้บริการ 9 ประเทศในอาเซียน (ไม่รวมบรูไน) ขณะที่รายได้ตั้งเป้า 5.0 พันล้านบาท ในปี 2563 แม้จะเป็นแผนที่น่าตื่นเต้น แต่ไม่เป็นข่าวใหม่
- SCB (ยูโอบี เคย์เฮียน) ธนาคารใหญ่ที่ Laggard ที่สุดในปี 2560 โดยปรับขึ้นเพียง 3% ขณะที่ธนาคารใหญ่อื่นปรับขึ้น 22-35% ทำให้คาดมีแรงทำกำไรต่ำ ขณะที่มีโอกาสเป็นเป้าหมายการทยอยซื้อของนักลงทุน

ตลาดหุ้นเอเชียบวกเช้านี้ ขานรับวอลล์สตรีททำนิวไฮ
         ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากที่ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีของตลาดหุ้นนิวยอร์กเดินหน้าทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนมองว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.ของสหรัฐที่ขยายตัวน้อยกว่าคาดนั้น จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
 
ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,391.55 จุด ลดลง 0.20 จุด, -0.01% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 30,895.09 จุด เพิ่มขึ้น 80.45 จุด, +0.26% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,899.09 จุด เพิ่มขึ้น 19.29 จุด, +0.18% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,510.70 จุด เพิ่มขึ้น 13.18 จุด, +0.53% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,498.62 จุด เพิ่มขึ้น 9.17 จุด, +0.26% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,819.74 จุด เพิ่มขึ้น 1.77 จุด, +0.10% ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันฉลองบรรลุนิติภาวะ
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนธ.ค. โดยปรับตัวขึ้นเพียง 148,000 ตำแหน่ง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 190,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี
นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทในเอเชียซึ่งจะเริ่มขึ้นในสัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนเชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทต่างๆ รวมถึงแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจจะแข็งแกร่งพอที่จะหนุนตลาดหุ้นให้ปรับตัวสูงขึ้น
 
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 28.34 จุด รับวอลล์สตรีททำนิวไฮต่อเนื่อง
         ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 ม.ค.) ขานรับตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่ทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดติดต่อกันหลายวันทำการ รวมทั้งกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐขยายตัวน้อยกว่าคาดในเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,724.22 จุด เพิ่มขึ้น 28.34 จุด หรือ +0.37% โดยดัชนี FTSE 100 ปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ส่วนตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 0.5%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่พุ่งขึ้นทำนิวไฮติดต่อกันหลายวัน รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนธ.ค. โดยปรับตัวขึ้นเพียง 148,000 ตำแหน่ง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 190,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี
CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 76% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนมี.ค. ลดลงจากระดับ 78% ก่อนเปิดเผยตัวเลขการจ้างงาน และนักลงทุนยังคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งหลังจากเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) ซึ่งระบุว่า ประสิทธิภาพการผลิตในระบบเศรษฐกิจของอังกฤษพุ่งขึ้นในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 6 ปีในไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว โดยผลผลิตต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น 0.9% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2559 และเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2554
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง หลังจากสมาพันธ์ค้าปลีกแห่งสหราชอาณาจักรเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ราคาค้าปลีกของห้างร้านในอังกฤษ ปรับตัวลดลง 0.6% ในเดือนธ.ค. เนื่องจากบรรดาห้างค้าปลีกได้พากันปรับลดราคาสินค้าในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ทั้งนี้ หุ้นเจ เซนส์บิวรี ปรับตัวลง 0.5% หุ้นเทสโก้ ลดลง 0.7% และหุ้นคิงฟิสเชอร์ ปรับตัวลง 0.6%
  
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก รับหุ้นรถยนต์พุ่ง,วอลล์สตรีททำนิวไฮต่อเนื่อง 
         ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (5 ม.ค.) โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มรถยนต์ นอกจากนี้ การทำนิวไฮอย่างต่อเนื่องของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างคึกคัก
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.9% ปิดที่ 397.35 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2558 และตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 2.1%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,319.64 จุด พุ่งขึ้น 151.75 จุด หรือ +1.15% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,470.75 จุด เพิ่มขึ้น 57.06 จุด หรือ +1.05% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,724.22 จุด เพิ่มขึ้น 28.34 จุด หรือ +0.37%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ ขานรับตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่ทำสถิติสูงสุดติดต่อกันหลายวันทำการ โดยดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นทะลุแนว 25,000 จุด ซึ่งช่วยหนุนตลาดหุ้นทั่วโลกทะยานขึ้นถ้วนหน้า
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนธ.ค. โดยปรับตัวขึ้นเพียง 148,000 ตำแหน่ง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 190,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี
CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 76% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนมี.ค. ลดลงจากระดับ 78% ก่อนเปิดเผยตัวเลขการจ้างงาน และนักลงทุนยังคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งหลังจากเดือนมี.ค.
หุ้นกลุ่มรถยนต์ดีดตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากรายงานยอดขายรถยนต์ที่ดีเกินคาดในสหรัฐ และจากการที่นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของหุ้นในกลุ่มรถยนต์ โดยหุ้นโฟล์คสวาเกน พุ่งขึ้น 2.7% หลังจากนักวิเคราะห์ของดอยซ์แบงก์ได้แนะนำให้นักลงทุน "ซื้อ" หุ้นโฟล์คสวาเกน ขณะที่หุ้นเฟียต ไครส์เลอร์ ออโตโมบายส์ (FCA) ทะยานขึ้นกว่า 6% หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของหุ้น FCA ขึ้นสู่ระดับ "overweight" จากระดับ "neutral"
ส่วนหุ้นเรโนลท์ พุ่งขึ้น 2.3% และหุ้นเปอร์โยต์ ทะยานขึ้น 4.4%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อวานนี้ สถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของยูโรโซน ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ ปรับตัวขึ้นเพียง 1.4% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากราคาอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ทรงตัวที่ระดับ 1.1% ในเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี CPI เดือนธ.ค.บ่งชี้ถึงภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอตัวในยูโรโซน และอาจทำให้ให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 220.74 จุด รับคาดการณ์เฟดชะลอขึ้นดบ.หลังจ้างงานซบเซา
         ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ (5 ม.ค.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีเดินหน้าทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เนื่องจากนักลงทุนมองว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.ของสหรัฐที่ขยายตัวน้อยกว่าคาดนั้น จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,295.87 จุด พุ่งขึ้น 220.74 จุด หรือ +0.88% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,743.15 จุด เพิ่มขึ้น 19.16 จุด หรือ +0.70% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,136.56 จุด เพิ่มขึ้น 58.64 จุด หรือ +0.83%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 2.3% ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.6% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 3.4% โดยดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์ที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2560
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงเป็นไปอย่างคึกคักเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.ของสหรัฐที่ขยายตัวน้อยกว่าคาดนั้น จะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้
CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 76% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนมี.ค. ลดลงจากระดับ 78% ก่อนเปิดเผยตัวเลขการจ้างงาน และนักลงทุนยังคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งหลังจากเดือนมี.ค.
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนธ.ค. โดยปรับตัวขึ้นเพียง 148,000 ตำแหน่ง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 190,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี
ส่วนตัวเลขรายได้ หรือค่าแรงต่อชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อนั้น ปรับตัวขึ้น 2.5% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี เช่นเดียวกับในเดือนพ.ย.
ทางด้านนายแพทริค ฮาร์เกอร์ ประธานเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยความเห็นของนายฮาร์เกอร์ที่แนะนำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้ แตกต่างจากเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ที่คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น โดยหุ้นไมโครซอฟต์ ปรับตัวขึ้น 1.2% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดีดตัวขึ้น 1.3% หุ้นแอปเปิล เพิ่มขึ้น 1.1% หุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นอินเทล ขยับขึ้น 0.7% และหุ้นอเมซอนดอทคอม พุ่งขึ้น 1.6%
หุ้นเฟียต ไครส์เลอร์ ออโตโมบิลส์ (FCA) ทะยานขึ้น 6.4% หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของหุ้น FCA ขึ้นสู่ระดับ "overweight" จากระดับ "neutral"
นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในสัปดาห์หน้า เพื่อจับสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ของเฟด โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ประจำเดือนธ.ค. ในวันพฤหัสบดีที่ 11 ม.ค. และจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนธ.ค. ในศุกร์ที่ 12 ม.ค.
--อินโฟเควสท์
OO4230

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!