WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

4ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นตามตลาดตปท. เล็งกระแสเงินทุนไหลเข้าต่อ-หวังเม็ดเงิน LTF, RMF ช่วยหนุน
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นตามทิศทางเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เงินบาทยังแข็งค่าอยู่ ประกอบกับท่าทีสหภาพยุโรป(อียู)ได้ส่งสัญญาณพร้อมรื้อฟื้นการเจรจาการค้าเสรี (FTA) ไทย-อียู ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้ ยังมีเงินไหลเข้าจากกองทุนในประเทศเพิ่มเติม โดยเฉพาะจากกองทุน LTF, RMF ที่เข้ามาในช่วงปลายปี ประกอบกับได้ Sentiment เชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ คณะกรรมการ รฟท. มีมติเห็นชอบโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เส้นทางกรุงเทพฯระยอง วงเงิน 2.15 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการลงทุนพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียอยู่ในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ ตามดาวโจนส์ที่ปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (15 ธ.ค.)
พร้อมให้แนวต้านที่ 1,725 จุด ส่วนแนวรับให้ไว้ที่ 1,710 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (15 ธ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,651.74 จุด เพิ่มขึ้น 143.08 จุด (+0.58%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,675.81 จุด เพิ่มขึ้น 23.80 จุด (+0.90%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,936.58 จุด เพิ่มขึ้น 80.06 จุด (+1.17%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 217.22 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 1.89 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 75.42 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 12.70 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.76 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 5.96 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.98 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (15 ธ.ค.60) 1,717.69 จุด เพิ่มขึ้น 2.70 จุด (+0.16%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 619.53 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (15 ธ.ค.60) ปิดที่ระดับ 57.30 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ หรือ 0.5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (15 ธ.ค.60) ที่ 7.03 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.50 ก่อนอ่อนค่ามาที่ 32.56 หลังดอลล์แข็ง จับตาร่างกม.ปฏิรูปภาษีสหรัฐฯสัปดาห์นี้
- หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้แต่ละกระทรวงไปจัดทำมาตรการและโครงการให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน มาเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ แต่ละหน่วยงานได้จัดทำมาตรการเตรียมเสนอ ครม.แล้ว โดยส่วนใหญ่เน้นไปที่มาตรการช่วยค่าครองชีพประชาชน รวมทั้งมาตรการให้เงินสดคืนเข้าบัญชีสำหรับลูกหนี้ชั้นดีของธนาคารรัฐที่ประกาศไปก่อนหน้านี้
- คณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. มีมติเห็นชอบโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เส้นทางกรุงเทพฯระยอง วงเงิน 2.15 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการลงทุนพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) พร้อมเห็นชอบแนวทางพัฒนาพื้นที่มักกะสันแปลงเอ เนื้อที่ราว 130 ไร่ โดยจะยกพื้นที่ให้เอกชนที่เข้ามา บริหารรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินไปลงทุนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์เป็นสัมปทานระยะเวลา 50 ปี พร้อมข้อตกลงว่าเอกชนต้องแบ่งรายได้จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท ให้ รฟท.ตลอดอายุสัญญาสัมปทาน
- พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เชิญบริษัทผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่ของประเทศทั้ง 5 บริษัทมาหารือจะมีผลอะไรต่อราคายางพาราไทย เพราะทั้ง 5 เสือได้มีการขายยางล่วงหน้าไปแล้ว ไม่มีทางยอมขาดทุนมาไล่ซื้อยางตามที่รัฐขอ ซึ่งการหารือเป็นได้แค่พิธีกรรมเท่านั้น ขอให้ไปย้อนดูเหตุการณ์เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โดยเชิญมาเจรจาและรับปากจะซื้อและดันราคายางไปที่ 80 บาท/กิโลกรัม กระทั่งผ่านไป 1 ปี ก็ยังไม่มีการดำเนินการตามที่หารือ
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ต่อเนื่องในการประชุม กนง. รอบสุดท้ายของปี 2560 ในวันที่ 20 ธ.ค. 2560 นี้ แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาอยู่ในระดับเดียวกัน เนื่องจากภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเกิดขึ้นไม่เต็มที่ ขณะที่ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีหน้า คงพึ่งพาแรงหนุนจากการลงทุนมากขึ้น ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงน่าจะเป็นแรงส่งที่ดีในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า
- ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า การเดินทางท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค. 2560-2 ม.ค.2561 คาดว่า จะใช้จ่ายสะพัดวงเงิน 15,567.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
*หุ้นเด่นวันนี้
- IVL (ไอร่า) เป้า 59 บาท EBITDA ของ IVL มาจากประเทศสหรัฐฯ ประมาณ 32% ซึ่งปัจจุบันสภาคองเกรสอยู่ระหว่างรวมร่างกฎหมายของวุฒิสภาและสภาผู้แทนฯ คาดผลการดำเนินงานของ IVL ที่สหรัฐฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ประมาณ 1,000 ล้านบาท หากมีการบังคับใช้ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี พร้อมคาดปี 60 มีกำไรสุทธิ 13,255 ล้านบาท ยังคงแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับปี 59 ซึ่ง IVL มีกำไรพิเศษจากการต่อรองซื้อกิจการก่อนภาษีจำนวนประมาณ 6,700 ล้านบาท ขณะที่คาดในปี 61 มีกำไรสุทธิ 15,914 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% ส่วนหนึ่งจากการเพิ่มกำลังการผลิตต่อเนื่อง เฉลี่ย 10.4%ต่อปี คาดอยู่ที่ 10.6 ล้านตัน ในปี 61 จาก 8.7 ล้านตัน เมื่อในปี 59
- INGRS (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 1.50 บาท กำไร Q3/60-61 ทรุดลงเหลือเพียง 5 ล้านบาท (-86%QoQ, -93%YoY) จากลูกค้าหลัก คือ Perodua อยู่ในช่วงเปลี่ยนโมเดล การได้รับคำสั่งซื้อใหม่ โมเดลของลูกค้าหลัก Perodua เริ่มผลิตเต็มที่คาดจะหนุนให้กำไร Q4/60 กลับมาฟื้นตัวมีกำไรดีขึ้น และ ปี 2561 คาดจะเติบโตดีขึ้น รวมถึงได้แรงหนุนจากบริษัทในอินเดียที่ถือหุ้นเพิ่ม 100% จาก 40% จะช่วยเพิ่มยอดขาย 300 ล้านบาท และกำไรประมาณ 35 ล้านบาท ปันผลกำไร 9 เดือนแรก 0.026 บาท
- CPALL (ฟินันเซีย ไซรัส) กลุ่มค้าปลีก แนะ Overweight จากกำลังซื้อที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หนึ่งใน Top Pick คือ CPALL เป้าปีหน้า 86 บาท จากการเติบโตของกำไรที่สม่ำเสมอสุดในกลุ่ม, หนี้สินต่อทุนผ่อนคลายลงจนอยู่ในระดับ Bond Covenants, และการเติบโตที่ดีของ MAKRO ซึ่งล่าสุดประสบความสำเร็จอย่างมากกับการเปิดสาขาแรกในกัมพูชา พร้อมคาดกำไร Q4/60 ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 5.1 พันลบ. +3% Q-Q, +19% Y-Y ส่วนปีหน้าคาด +20% Y-Y อยู่ที่ 2.3 หมื่นลบ. ขณะที่ ข้อมูล 3 ปีย้อนหลังบ่งชี้ว่าราคา CPALL ชอบปรับตัวขึ้นใน 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีในอัตราเฉลี่ย 5%
- ASAP (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 8.20 บาท ราคาหุ้นปรับตัวลงจนมี upside ที่น่าสนใจ มุมมองยังเป็นบวกทั้งระยะสั้นและระยะยาว ในระยะสั้นคาดกำไรสุทธิ Q4/60 +13% Q-Q, +174% Y-Y เป็น 40 ล้านบาท สูงสุดในรอบปี ส่วนปีหน้าคาดกำไร +73% จากการเปิด ASAP Auto park ใน Q1/61 ทำให้มีรายได้ค่าเช่าพื้นที่และเป็นช่องทางขายรถมือสองอีกช่องทางหนึ่ง ขณะที่จำนวนรถเช่ายังเพิ่มต่อเนื่อง คงความเป็นผู้นำตลาดรถให้เช่ารายใหญ่ที่สุดในประเทศ

ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวขึ้น รับร่างกม.ปฏิรูปภาษีสหรัฐคืบหน้า-จับตาสุนทรพจน์ทรัมป์
      ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าวันนี้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความคืบหน้าของการผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐที่มีแนวโน้มว่า จะผ่านการอนุมัติจากทั้ง 2 สภาภายในกลางสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องความมั่นคงแห่งชาติในวันนี้
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 29,001.85 จุด เพิ่มขึ้น 153.74 จุด, +0.53% ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียเปิดวันนี้ที่ 33,364.52 จุด ลดลง 98.45 จุด, -0.29% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,749.64 จุด ลดลง 3.43 จุด, -0.20%
พรรครีพับลิกันได้เปิดเผยรายละเอียดขั้นสุดท้ายของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี ซึ่งมาจากการรวมเนื้อหาของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีที่ผ่านการอนุมัติของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรก่อนหน้านี้ โดยร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีดังกล่าวระบุว่า ให้คงจำนวนขั้นบันไดของการคำนวณภาษีไว้ที่ 7 ขั้น ขณะเดียวกันจะปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 21% จากระดับ 35% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 1 ม.ค.ปีหน้า แทนที่จะชะลอออกไปอีก 1 ปีตามร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของวุฒิสภา
ทั้งนี้ การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ
นอกจากนี้ เนื้อหาของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ยังระบุว่า จะเพิ่มเงินลดหย่อนภาษีเพื่อสงเคราะห์บุตรเป็นสองเท่า สู่ระดับ 2,000 ดอลลาร์สำหรับบุตรที่มีอายุต่ำกว่า 17 ปี และเพิ่มการหักลดหย่อนภาษีสำหรับเด็ก สู่ระดับ 1,400 ดอลลาร์ จากระดับ 1,100 ดอลลาร์
นายออร์ริน แฮทช์ ประธานคณะกรรมาธิการภาษีประจำวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวว่า วุฒิสภาจะลงมติในวันที่ 18 ธ.ค.ต่อร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายฉบับดังกล่าว และจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรจะลงมติในวันที่ 19 ธ.ค.
เจ้าหน้าที่บริหารของสหรัฐกล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเปิดเผยยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงแห่งชาติในวันนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง และเป็นครั้งที่ 17 นับตั้งแต่รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน เริ่มส่งรายงานต่อสภาคองเกรสเมื่อปี 2530
นสพ.ไฟแนนเชียลไทม์ส ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์วางแผนที่จะพูดถึงจีนเกี่ยวกับประเด็น "การรุกรานทางเศรษฐกิจ" ในสุนทรพจน์สำคัญด้านความมั่นคงแห่งชาติวันนี้
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้มีการเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ ยอดส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 16.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12 โดยได้ปัจัยหนุนจากอุปสงค์สินค้าญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 17.2%
กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ญี่ปุ่นมียอดเกินดุลการค้าในเดือนพ.ย.ทั้งสิ้น 1.134 แสนล้านเยน
สำนักงานสถิติแห่งประเทศจีน (NBS) รายงานว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงทรงตัวเป็นส่วนใหญ่ในเดือนพ.ย. โดยราคาบ้านในเมืองหลักๆขยับตัวลงเล็กน้อยภายหลังมีการบังคับใช้มาตรการคุมเข้มการซื้อบ้านและสภาพคล่องที่ตึงตัวมากขึ้น
รายงานระบุว่า ราคาบ้านมือหนึ่งในเมืองหลักๆปรับตัวลง 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่ราคาบ้านมือสองในเมืองสำคัญปรับตัวลง 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 42.45 จุด หลังเงินปอนด์อ่อนรับเจรจา Brexit คืบหน้า
      ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 ธ.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงหลังจากที่ประชุมผู้นำสหภาพยุโรป (EU) ให้ความเห็นชอบต่อการเริ่มต้นการเจรจาระยะที่ 2 ว่าด้วยการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,490.57 จุด เพิ่มขึ้น 42.45 จุด หรือ +0.57%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดตลาดในแดนบวก โดยได้ปัจจัยหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง หลังจากนายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานคณะมนตรียุโรป ทวีตข้อความระบุว่า ผู้นำของสหภาพยุโรป (EU) ได้จัดการประชุมสุดยอดที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมเมื่อวานนี้ โดยที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบต่อการเริ่มต้นการเจรจาระยะที่ 2 ว่าด้วยการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ก่อนหน้านี้ รัฐสภายุโรปได้ลงมติเห็นชอบต่อรายงานความคืบหน้าของการเจรจา Brexit ที่มีการนำเสนอโดยตัวแทน EU และอังกฤษ และได้แนะนำให้เริ่มการเจรจาในระยะที่ 2
ทั้งนี้ การเจรจา Brexit สามารถเข้าสู่ระยะที่ 2 หลังตัวแทนการเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายมีความคืบหน้าในการเจรจา 3 ประเด็นหลักก่อนหน้านี้ ซึ่งได้แก่ วงเงินที่อังกฤษจะต้องชำระแก่ EU ก่อนแยกตัวอย่างเป็นทางการ, ปัญหาเรื่องชายแดนของไอร์แลนด์ และประเด็นสิทธิพลเมืองของ EU ในอังกฤษ
หุ้นบีที กรุ๊ป พุ่งขึ้น 1.4% ขณะที่หุ้นสกาย พีแอลซี พุ่งขึ้น 2.8% หลังจากบริษัทบีที กรุ๊ป บรรลุข้อตกลงกับสกาย พีแอลซี ในการผลิตรายการทีวี
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง โดยหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้ง ร่วงลง 0.7% หุ้นบาร์เคลย์ส ปรับตัวลง 0.2% และหุ้นแบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ลดลง 0.6%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วง ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ
       ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (15 ธ.ค.) เนื่องจากหุ้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกร่วงลง นำโดยหุ้น H&M หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยมาตรการปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกัน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.2% ปิดที่ 388.19 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,349.30 จุด ลดลง 7.84 จุด หรือ -0.15% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,103.56 จุด เพิ่มขึ้น 35.48 จุด หรือ +0.27% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,490.57 จุด เพิ่มขึ้น 42.45 จุด หรือ +0.57%
ดัชนีหุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง 1.9% นำโดยหุ้น H&M ดิ่งลง 13% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดนับตั้งแต่ปี 2544 หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายในไตรมาส 4 ลดลงสู่ระดับ 6 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้นซัลวาทอเร เฟอร์รากาโม ร่วงลง 6.3% หลังจากบริษัทประกาศเลื่อนการเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการ
หุ้นไรอันแอร์ ปรับตัวลง 9% หลังจากสหภาพนักบินเยอรมนี (VC) ได้ออกมาขู่ว่า นักบินของสายการบินไรอันแอร์ ซึ่งเป็นสายการบินใหญ่ที่สุดในยุโรป เตรียมผละงานประท้วงในช่วงเทศกาลหยุดยาวที่จะถึงนี้ โดยระบุว่า นักบินของสหภาพอาจจะทำการประท้วงได้ทุกเมื่อ
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง 0.6% นำโดยหุ้นโซซิเอเต เจเนอรัล (ซอคเจน) ร่วงลง 1.9% และหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้ง ร่วงลง 0.7%
นักลงทุนจับตาพรรครีพับลิกันซึ่งเตรียมเปิดเผยร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายที่ผ่านการรวมเนื้อหาของร่างกฎหมายของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรในวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่สื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีดังกล่าวจะปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 21% จากระดับ 35% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในปีหน้า แทนที่จะชะลอออกไปอีก 1 ปีตามร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของวุฒิสภา
สำหรับความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเจรจาว่าด้วยการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) นั้น นายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานคณะมนตรียุโรป ทวีตข้อความระบุว่า ผู้นำของสหภาพยุโรป (EU) ได้จัดการประชุมสุดยอดที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมเมื่อวานนี้ โดยที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบต่อการเริ่มต้นการเจรจา Brexit ระยะที่ 2
ทั้งนี้ การเจรจา Brexit สามารถเข้าสู่ระยะที่ 2 หลังตัวแทนการเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายมีความคืบหน้าในการเจรจา 3 ประเด็นหลักก่อนหน้านี้ ซึ่งได้แก่ วงเงินที่อังกฤษจะต้องชำระแก่ EU ก่อนแยกตัวอย่างเป็นทางการ, ปัญหาเรื่องชายแดนของไอร์แลนด์ และประเด็นสิทธิพลเมืองของ EU ในอังกฤษ

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 143.08 จุด ขณะนลท.จับตารีพับลิกันเตรียมเผยร่างกม.ปฏิรูปภาษี
        ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ (15 ธ.ค.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีต่างก็ปิดทำนิวไฮ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยมาตรการปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกัน โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกว่า คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะสามารถผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ได้สำเร็จ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,651.74 จุด เพิ่มขึ้น 143.08 จุด หรือ +0.58% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,675.81 จุด เพิ่มขึ้น 23.80 จุด หรือ +0.90% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,936.58 จุด เพิ่มขึ้น 80.06 จุด หรือ +1.17%
นักลงทุนจับตาพรรครีพับลิกันซึ่งเตรียมเปิดเผยร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายที่ผ่านการรวมเนื้อหาของร่างกฎหมายของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรในวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่สื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีดังกล่าวจะปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 21% จากระดับ 35% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในปีหน้า แทนที่จะชะลอออกไปอีก 1 ปีตามร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของวุฒิสภา
ด้านนายออร์ริน แฮทช์ ประธานคณะกรรมาธิการภาษีประจำวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวว่า วุฒิสภาจะลงมติในวันที่ 18 ธ.ค.ต่อร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายฉบับดังกล่าว และจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรจะลงมติในวันที่ 19 ธ.ค.
ก่อนหน้านี้ตลาดได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจต้องเผชิญกับอุปสรรคหลังจากนายรูบิโอ และนายไมค์ ลี สองวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันได้เปิดเผยกับแกนนำวุฒิสภาเมื่อวานนี้ว่า พวกเขาจะไม่ลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับผสมนี้ หากไม่มีการเพิ่มวงเงินในการลดหย่อนภาษีสำหรับการสงเคราะห์บุตร โดยที่ผ่านมานั้น นายรูบิโอและนายลีได้พยายามผลักดันให้ครอบครัวชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อย สามารถรับประโยชน์จากมาตรการลดหย่อนภาษีให้มากที่สุด
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นกว่า 1% โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า ภาคธนาคารจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสุขภาพ ทะยานขึ้น 1.24% และ 1.17% ตามลำดับ
หุ้นอะโดบี พุ่งขึ้น 1.4% ขณะที่หุ้นคอสท์โค โฮลเซล พุ่งขึ้น 3.3% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดเมื่อวานนี้
หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องกีฬาชั้นนำ พุ่งขึ้น 9.4% หลังจากบริษัทประกาศเป็นพันธมิตรกับทีมแคนาดา จนถึงปี 2567
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก รายงานว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ปรับตัวลงสู่ระดับ 18.0 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 19.4 ในเดือนพ.ย. โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน แต่ยังได้แรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก
--อินโฟเควสท์
OO3674

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!