- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 14 December 2017 13:15
- Hits: 2675
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แกว่งตัว ลดความผันผวนหลังเฟดขึ้นดบ.ตามคาด-หวังแรงซื้อ Big cap หนุนดัชนีทดสอบ 1,711-1,715 จุด
นักวิเคราะห์ฯคาดดัชนีหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัว ลดความผันผวนหลังจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามตลาดคาดการณ์ ขณะที่ยังมีเม็ดเงินจากกองทุน LTF/RMF เข้ามาลงทุนต่อเนื่อง รวมถึงแรงซื้อหุ้นในขนาดใหญ่น่าจะหนุนให้ดัชนี SET50 มีโอกาสทะลุ 1,107 จุด ทำระดับสูงสุดใหม่ ผลักดันให้ดัชนี SET มีโอกาสทดสอบ 1,711-1,715 จุดได้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจของไทยยังมีแนวโน้มเป็นบวก รวมถึงการปรับพอร์ตลงทุนหลังตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้สำหรับคำนวณดัชนี SET50 ดัชนี SET100 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 61 และการจะทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index พร้อมให้แนวต้านที่ระดับ 1,711-1,715 จุด และแนวรับที่ 1,700 และ 1,695 จุด
นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัว แต่มีความผันผวนลดลงหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด พร้อมส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 61 ซึ่งสอดคล้องกับของโนมูระฯ ที่คาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีหน้าเช่นกัน หลังแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังมีทิศทางเป็นบวก ขณะที่ตลาดหุ้นภูมิภาคเช้านี้เคลื่อนไหวในทิศทางที่เป็นบวก แต่ไม่หวือหวามากนัก
สำหรับปัจจัยในประเทศยังมีทิศทางที่ดี จากตัวเลขเศรษฐกิจที่เป็นบวก และกองทุนในประเทศยังคงซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย จากเม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่มีเข้ามาต่อเนื่อง แม้นักลงทุนต่างชาติยังอยู่ในทิศทางการขายสุทธิก็ตาม
ทั้งนี้ ต้องจับตามแรงซื้อที่มีเข้ามาในหุ้น Big Cap ว่าจะสามารถผลักดันให้ดัชนี SET50 ทะลุ 1,107 จุด ซึ่งจะเป็นระดับ All Time High หลังจากในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมาเริ่มมีแรงซื้อในหุ้นขนาดใหญ่เข้ามา เช่น กลุ่มสื่อสาร โดยหากดัชนี SET50 ทะลุระดับ 1,107 จุด ก็จะช่วยหนุน Sentiment เชิงบวกผลักดันให้ดัชนี SET ปรับขึ้นทดสอบระดับ 1,711-1,715 จุด ขณะที่คาดว่าจะมีการปรับพอร์ตการลงทุน หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ใช้สำหรับคำนวณดัชนี SET50 ดัชนี SET100 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 61 ออกมาแล้ว และจับตาการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index ซึ่งจะมีผลในกลางเดือนธ.ค.นี้
พร้อมให้แนวรับบริเวณ 1,700 และ 1,695 จุด และแนวต้าน 1,711-1,715 จุด
นักวิเคราะห์ฯคาดดัชนีหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัว ลดความผันผวนหลังจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามตลาดคาดการณ์ ขณะที่ยังมีเม็ดเงินจากกองทุน LTF/RMF เข้ามาลงทุนต่อเนื่อง รวมถึงแรงซื้อหุ้นในขนาดใหญ่น่าจะหนุนให้ดัชนี SET50 มีโอกาสทะลุ 1,107 จุด ทำระดับสูงสุดใหม่ ผลักดันให้ดัชนี SET มีโอกาสทดสอบ 1,711-1,715 จุดได้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจของไทยยังมีแนวโน้มเป็นบวก รวมถึงการปรับพอร์ตลงทุนหลังตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศรายชื่อหุ้นที่ใช้สำหรับคำนวณดัชนี SET50 ดัชนี SET100 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 61 และการจะทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index พร้อมให้แนวต้านที่ระดับ 1,711-1,715 จุด และแนวรับที่ 1,700 และ 1,695 จุด
นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัว แต่มีความผันผวนลดลงหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด พร้อมส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 61 ซึ่งสอดคล้องกับของโนมูระฯ ที่คาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีหน้าเช่นกัน หลังแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังมีทิศทางเป็นบวก ขณะที่ตลาดหุ้นภูมิภาคเช้านี้เคลื่อนไหวในทิศทางที่เป็นบวก แต่ไม่หวือหวามากนัก
สำหรับปัจจัยในประเทศยังมีทิศทางที่ดี จากตัวเลขเศรษฐกิจที่เป็นบวก และกองทุนในประเทศยังคงซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย จากเม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่มีเข้ามาต่อเนื่อง แม้นักลงทุนต่างชาติยังอยู่ในทิศทางการขายสุทธิก็ตาม
ทั้งนี้ ต้องจับตามแรงซื้อที่มีเข้ามาในหุ้น Big Cap ว่าจะสามารถผลักดันให้ดัชนี SET50 ทะลุ 1,107 จุด ซึ่งจะเป็นระดับ All Time High หลังจากในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมาเริ่มมีแรงซื้อในหุ้นขนาดใหญ่เข้ามา เช่น กลุ่มสื่อสาร โดยหากดัชนี SET50 ทะลุระดับ 1,107 จุด ก็จะช่วยหนุน Sentiment เชิงบวกผลักดันให้ดัชนี SET ปรับขึ้นทดสอบระดับ 1,711-1,715 จุด ขณะที่คาดว่าจะมีการปรับพอร์ตการลงทุน หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ใช้สำหรับคำนวณดัชนี SET50 ดัชนี SET100 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 61 ออกมาแล้ว และจับตาการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index ซึ่งจะมีผลในกลางเดือนธ.ค.นี้
พร้อมให้แนวรับบริเวณ 1,700 และ 1,695 จุด และแนวต้าน 1,711-1,715 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ธ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,585.43 จุด เพิ่มขึ้น 80.63 จุด (+0.33%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,662.85 จุด ลดลง 1.26 จุด (-0.05%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,875.80 จุด เพิ่มขึ้น 13.48 จุด (+0.20%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 58.77 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.02 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 23.90 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.42 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 113.66 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 0.11 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 0.51 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 6.99 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (13 ธ.ค.60) 1,706.93 จุด เพิ่มขึ้น 4.76 จุด (+0.28%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,336.64 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ธ.ค.60) ปิดที่ระดับ 56.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 54 เซนต์ หรือ 1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 ธ.ค.60) ที่ 7.54 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.52 แข็งค่าจากแรงเทขายดอลลาร์หลัง FOMC มีมติขึ้นดอกเบี้ย,รอติดตามผลประชุม ECB-BoE
- "สมคิด" เร่ง 3 โปรเจคยักษ์ก่อนสิ้นปี ชงรถไฟไทย-จีน พร้อมทางคู่ 5 เส้นทางเข้าครม.สัปดาห์หน้า นายกฯ เตรียมตอกเสาเข็มโครงการ 21 ธ.ค.นี้ พร้อมเร่งศึกษาเส้นทางเฟสต่อเนื่อง รฟท.ลงนามเอกชนรวมมูลค่าสัญญาณ 9.5 หมื่นล้านบาทก่อนสิ้นปี พร้อมเปิดกว้างโครงการ "เอ็มอาร์โอ" พัฒนาศูนย์ซ่อมอากาศยานหนุนอีอีซี เผยสายการบินต่างชาติสนใจลงทุนหลายราย
- เม็ดเงินโฆษณานิตยสารร่วงต่อเนื่อง ปีนี้ติดลบ 34% ค่ายดังทยอยลงแผง มีเดีย เอเยนซีแนะปรับตัวเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม มุ่งสื่อสารครบวงจร "ออฟไลน์-ออนไลน์-อีเวนท์" ลุ้นปีหน้าอุตสาหกรรมโฆษณา พลิกโต 10%
- "สมคิด" มอบนโยบายกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เน้นการขยายพื้นที่และกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวให้เข้าสู่เมืองรอง หวังกระจายรายได้ให้เข้าสู่ชุมชุมมากขึ้น พร้อมทั้งแนะฟื้นฟูเอกลักษณ์ของชุมชน ร้านค้า โอทอป เพื่อสร้างคุณภาพโดยไม่ต้องรอให้ต่างชาติมามอบรางวัลมิชลินสตาร์ "วีระศักดิ์" รับจัดทำมาตรการส่งเสริม ปีท่องเที่ยวให้แล้วเสร็จภายใน 2-3 สัปดาห์นี้
- ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียขึ้นสู่ระดับ 6% ในปี 2560 โดยได้ปัจจัยหนุนจากยอดส่งออกและการอุปโภคบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด โดยได้ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีในภูมิภาคดังกล่าวขึ้น 0.1% จากระดับการคาดการณ์ในเดือน ก.ย. ปีนี้ ส่วนจีดีพีในปี 2561 นั้น คาดว่าจะยังคงขยายตัว 5.8%
- ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยสถานการณ์การส่งออกกลุ่มอาหารของไทยในปี 2560 ว่า มูลค่าส่งออกอาหารของไทยในปีนี้อยู่ที่ 1 ล้านล้านบาท ลดลง 3 หมื่นล้านบาท จากประมาณการครั้งก่อนที่ตั้งเป้าไว้ที่ 1.03 ล้านล้านบาท เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้มูลค่าส่งออกที่ได้รับในรูปเงินบาทลดลง ประกอบกับสินค้าส่งออกหลักหลายรายการลดลง เช่น กุ้ง ปลาทูน่ากระป๋อง มันสำปะหลัง และน้ำผลไม้
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ธ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,585.43 จุด เพิ่มขึ้น 80.63 จุด (+0.33%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,662.85 จุด ลดลง 1.26 จุด (-0.05%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,875.80 จุด เพิ่มขึ้น 13.48 จุด (+0.20%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 58.77 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.02 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 23.90 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.42 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 113.66 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 0.11 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 0.51 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 6.99 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (13 ธ.ค.60) 1,706.93 จุด เพิ่มขึ้น 4.76 จุด (+0.28%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,336.64 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ธ.ค.60) ปิดที่ระดับ 56.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 54 เซนต์ หรือ 1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 ธ.ค.60) ที่ 7.54 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.52 แข็งค่าจากแรงเทขายดอลลาร์หลัง FOMC มีมติขึ้นดอกเบี้ย,รอติดตามผลประชุม ECB-BoE
- "สมคิด" เร่ง 3 โปรเจคยักษ์ก่อนสิ้นปี ชงรถไฟไทย-จีน พร้อมทางคู่ 5 เส้นทางเข้าครม.สัปดาห์หน้า นายกฯ เตรียมตอกเสาเข็มโครงการ 21 ธ.ค.นี้ พร้อมเร่งศึกษาเส้นทางเฟสต่อเนื่อง รฟท.ลงนามเอกชนรวมมูลค่าสัญญาณ 9.5 หมื่นล้านบาทก่อนสิ้นปี พร้อมเปิดกว้างโครงการ "เอ็มอาร์โอ" พัฒนาศูนย์ซ่อมอากาศยานหนุนอีอีซี เผยสายการบินต่างชาติสนใจลงทุนหลายราย
- เม็ดเงินโฆษณานิตยสารร่วงต่อเนื่อง ปีนี้ติดลบ 34% ค่ายดังทยอยลงแผง มีเดีย เอเยนซีแนะปรับตัวเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม มุ่งสื่อสารครบวงจร "ออฟไลน์-ออนไลน์-อีเวนท์" ลุ้นปีหน้าอุตสาหกรรมโฆษณา พลิกโต 10%
- "สมคิด" มอบนโยบายกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เน้นการขยายพื้นที่และกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวให้เข้าสู่เมืองรอง หวังกระจายรายได้ให้เข้าสู่ชุมชุมมากขึ้น พร้อมทั้งแนะฟื้นฟูเอกลักษณ์ของชุมชน ร้านค้า โอทอป เพื่อสร้างคุณภาพโดยไม่ต้องรอให้ต่างชาติมามอบรางวัลมิชลินสตาร์ "วีระศักดิ์" รับจัดทำมาตรการส่งเสริม ปีท่องเที่ยวให้แล้วเสร็จภายใน 2-3 สัปดาห์นี้
- ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียขึ้นสู่ระดับ 6% ในปี 2560 โดยได้ปัจจัยหนุนจากยอดส่งออกและการอุปโภคบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด โดยได้ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีในภูมิภาคดังกล่าวขึ้น 0.1% จากระดับการคาดการณ์ในเดือน ก.ย. ปีนี้ ส่วนจีดีพีในปี 2561 นั้น คาดว่าจะยังคงขยายตัว 5.8%
- ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยสถานการณ์การส่งออกกลุ่มอาหารของไทยในปี 2560 ว่า มูลค่าส่งออกอาหารของไทยในปีนี้อยู่ที่ 1 ล้านล้านบาท ลดลง 3 หมื่นล้านบาท จากประมาณการครั้งก่อนที่ตั้งเป้าไว้ที่ 1.03 ล้านล้านบาท เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้มูลค่าส่งออกที่ได้รับในรูปเงินบาทลดลง ประกอบกับสินค้าส่งออกหลักหลายรายการลดลง เช่น กุ้ง ปลาทูน่ากระป๋อง มันสำปะหลัง และน้ำผลไม้
*หุ้นเด่นวันนี้
- SAWAD (กสิกรไทย) ปรับเพิ่มคำแนะนำจาก "ถือ" เป็น "ซื้อ" แต่ปรับลดราคาเป้าหมายลงจาก 74.00 บาทเป็น 71.00 บาท (คิดเป็น PBV 6.3 เท่าสำหรับปี 2561 ซึ่งลดลงจาก 6.4 เท่าสำหรับปี 2561) ซึ่งสืบเนื่องมาจากการปรับลดประมาณการกำไรปี 2560-62 ลง 5-6% หลักๆ เพื่อสะท้อนการปรับลดสมมติฐานอัตราผลตอบแทนสินเชื่อ (loan yield) ทั้งนี้ แม้จะปรับประมาณการกำไรลง แต่ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำขึ้นเพราะเชื่อว่าราคาหุ้นที่ลดลง 12% ในช่วงเดือนที่ผ่านมานั้นได้สะท้อนการฟื้นตัวด้าน loan yield ในระดับที่น่าผิดหวังในไตรมาส 3/60 ไปแล้ว ทั้งนี้ คาดว่าจะเห็น loan yield จะผ่านจุดต่ำในไตรมาส 4/60 ก่อนที่จะปรับดีขึ้นในปี 2561-62
- SQ (เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ) แนะ"ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมาย 7.25 บาท แม้ว่า SQ จะพลาดการประมูลโครงการเหมืองแม่เมาะ 9 ผู้บริหารมองในอนาคต ใน CLMVT ยังมีอีกหลายโครงการที่ SQ มีศักยภาพจะได้งานต่อเนื่องจากการที่ SQ มีจุดแข็งดำเนินธุรกิจให้บริการงานด้านการทำเหมืองแร่อย่างครบวงจร SQ มีงานในมือสูงถึง 3.6 หมื่นล้านบาท รองรับรายได้ถึง 9 ปี คาดไตรมาส Q4/60 จะพลิกมามีกำไร 75 ล้านบาท หลังจากที่ขาดทุนในไตรมาสก่อน 42 ล้านบาท แนวโน้มกำไรปี 60-61 จะเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขาย P/E ต่ำ
- TKS (เออีซี) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 13.30 บาท โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อการเข้าทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ TBSP เพราะนอกจากช่วยสร้าง Synergy ด้านการพิมพ์และด้านการตลาดแล้ว ยังเป็นการปูพรมเพื่อรุกตลาดงานพิมพ์เอกสารปลอดการปลอมแปลงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดีอยู่ระหว่างปรับประมาณการ เนื่องจากทั้งการทำคำเสนอซื้อและเพิ่มทุน RO ยังต้องได้มติอนุมัติจากการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 15 ก.พ.61 อีกทั้งยังมีตัวแปรไม่แน่นอนจากสัดส่วนการถือหุ้นใหม่ภายหลังทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดใน TBSP ดังนั้น ปัจจุบันจึงยังคงประมาณการเดิม โดยคาดปี 2560 TKS จะมีกำไรสุทธิ 346 ล้านบาท เติบโต 2.9%YoY และปี 2561 จะมีกำไรสุทธิ 398 ล้านบาท เติบโต 15.0%YoY
อย่างไรก็ตามได้ประเมิน Scenario เบื้องต้นไว้ 2 กรณี ดังนี้ 1) กรณี TKS เพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน TBSP เป็นเพียง 52.01% (ส่วนที่เพิ่มมาจากนางสาวสุธิดา มงคลสุธี ซึ่งเป็นกลุ่มตระกูลมงคลสุธี ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ TKS) จะทำให้ประมาณการกำไรใหม่ปี 2561 เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 11.3% (ใช้เงินทุนจาก RO เท่านั้น) และ 2) กรณี TKS เพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน TBSP เป็น 100% ภายหลังหักดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ประมาณการกำไรใหม่ปี 2561 เพิ่มขึ้นอีก 11.6%
- SAWAD (กสิกรไทย) ปรับเพิ่มคำแนะนำจาก "ถือ" เป็น "ซื้อ" แต่ปรับลดราคาเป้าหมายลงจาก 74.00 บาทเป็น 71.00 บาท (คิดเป็น PBV 6.3 เท่าสำหรับปี 2561 ซึ่งลดลงจาก 6.4 เท่าสำหรับปี 2561) ซึ่งสืบเนื่องมาจากการปรับลดประมาณการกำไรปี 2560-62 ลง 5-6% หลักๆ เพื่อสะท้อนการปรับลดสมมติฐานอัตราผลตอบแทนสินเชื่อ (loan yield) ทั้งนี้ แม้จะปรับประมาณการกำไรลง แต่ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำขึ้นเพราะเชื่อว่าราคาหุ้นที่ลดลง 12% ในช่วงเดือนที่ผ่านมานั้นได้สะท้อนการฟื้นตัวด้าน loan yield ในระดับที่น่าผิดหวังในไตรมาส 3/60 ไปแล้ว ทั้งนี้ คาดว่าจะเห็น loan yield จะผ่านจุดต่ำในไตรมาส 4/60 ก่อนที่จะปรับดีขึ้นในปี 2561-62
- SQ (เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ) แนะ"ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมาย 7.25 บาท แม้ว่า SQ จะพลาดการประมูลโครงการเหมืองแม่เมาะ 9 ผู้บริหารมองในอนาคต ใน CLMVT ยังมีอีกหลายโครงการที่ SQ มีศักยภาพจะได้งานต่อเนื่องจากการที่ SQ มีจุดแข็งดำเนินธุรกิจให้บริการงานด้านการทำเหมืองแร่อย่างครบวงจร SQ มีงานในมือสูงถึง 3.6 หมื่นล้านบาท รองรับรายได้ถึง 9 ปี คาดไตรมาส Q4/60 จะพลิกมามีกำไร 75 ล้านบาท หลังจากที่ขาดทุนในไตรมาสก่อน 42 ล้านบาท แนวโน้มกำไรปี 60-61 จะเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขาย P/E ต่ำ
- TKS (เออีซี) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 13.30 บาท โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อการเข้าทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ TBSP เพราะนอกจากช่วยสร้าง Synergy ด้านการพิมพ์และด้านการตลาดแล้ว ยังเป็นการปูพรมเพื่อรุกตลาดงานพิมพ์เอกสารปลอดการปลอมแปลงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดีอยู่ระหว่างปรับประมาณการ เนื่องจากทั้งการทำคำเสนอซื้อและเพิ่มทุน RO ยังต้องได้มติอนุมัติจากการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 15 ก.พ.61 อีกทั้งยังมีตัวแปรไม่แน่นอนจากสัดส่วนการถือหุ้นใหม่ภายหลังทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดใน TBSP ดังนั้น ปัจจุบันจึงยังคงประมาณการเดิม โดยคาดปี 2560 TKS จะมีกำไรสุทธิ 346 ล้านบาท เติบโต 2.9%YoY และปี 2561 จะมีกำไรสุทธิ 398 ล้านบาท เติบโต 15.0%YoY
อย่างไรก็ตามได้ประเมิน Scenario เบื้องต้นไว้ 2 กรณี ดังนี้ 1) กรณี TKS เพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน TBSP เป็นเพียง 52.01% (ส่วนที่เพิ่มมาจากนางสาวสุธิดา มงคลสุธี ซึ่งเป็นกลุ่มตระกูลมงคลสุธี ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ TKS) จะทำให้ประมาณการกำไรใหม่ปี 2561 เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 11.3% (ใช้เงินทุนจาก RO เท่านั้น) และ 2) กรณี TKS เพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน TBSP เป็น 100% ภายหลังหักดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ประมาณการกำไรใหม่ปี 2561 เพิ่มขึ้นอีก 11.6%
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าทั้งแดนบวกและลบ หลังเฟดขึ้นดบ.-จีนเผยข้อมูลศก.
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าวันนี้ทั้งในแดนบวกและลบ ภายหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ ขณะที่ธนาคารกลางจีนได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกันในวันนี้
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 29,216.12 จุด ลดลง 5.98 จุด, -0.02% ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียเปิดวันนี้ที่ 33,114.69 จุด เพิ่มขึ้น 61.65 จุด, +0.19% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,753.33 จุด เพิ่มขึ้น 15.67 จุด, +0.90%
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อวานนี้ (13 ธ.ค.) ว่า ข้อมูลที่ได้รับนับตั้งแต่ที่คณะกรรมการ FOMC ประชุมกันในเดือนพ.ย.บ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวขึ้นในระดับที่แข็งแกร่งเช่นกัน โดยแม้ว่าเกิดผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคน แต่ตัวเลขการจ้างงานโดยเฉลี่ยปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และอัตราว่างงานยังคงปรับตัวลดลง ขณะที่การใช้จ่ายภาคครัวเรือนมีการขยายตัวปานกลาง และการขยายตัวด้านการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของภาคธุรกิจเริ่มกระเตื้องขึ้นในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา
ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อนั้น ทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวลดลงในปีนี้ และยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 2% โดยข้อมูลที่ได้จากการสำรวจการคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวบ่งชี้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
ข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ได้มีการเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. ปรับตัวขึ้น 6.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงหลังจากที่พุ่งขึ้น 6.2% ในเดือนต.ค.
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ว่า ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. พุ่งขึ้น 10.2% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งแข็งแกร่งกว่าในเดือนต.ค.ที่ปรับตัวขึ้นเพียง 10%
ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 8.0362 แสนล้านหยวน (1.22 แสนล้านดอลลาร์)
สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ขยายตัว 7.2% ซึ่งชะลอตัวลงจากช่วงเดือนม.ค.-ต.ค.ที่มีการขยายตัว 7.3%
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยโครงการเงินกู้ระยะกลาง (MLF) และอัตราดอกเบี้ย reverse repo ขึ้น 0.05% ในวันนี้ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อวานนี้
ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยข้อตกลงซื้อพันธบัตรโดยมีสัญญาขายคืน (reverse repo) ประเภท 7 วัน สู่ระดับ 2.5% จากระดับ 2.45% และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย reverse repo ประเภท 28 วัน สู่ระดับ 2.8% จากระดับ 2.75%
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดขยับลง 3.90 จุด หลังอังกฤษเผยข้อมูลตลาดแรงงาน
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) หลังสหราชอาณาจักรเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่า อัตราค่าจ้างในอังกฤษยังคงถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 3.90 จุด หรือ -0.05% ปิดที่ 7,496.51 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังของอังกฤษ หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า อัตราค่าแรงในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น 2.3% ในช่วงเดือนส.ค.-ต.ค. เทียบกับระดับ 2.2% ในเดือนก.ค.-ก.ย. แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 3.1%
ส่วนตัวเลขการจ้างงานมีจำนวนลดลง 56,000 คนในช่วงเดือนส.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.-พ.ค.ในปี 2558
นักลงทุนยังจับตาผลประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวานนี้ ซึ่งเฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% ตามคาด พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้เช่นกัน
หุ้นกลุ่มสร้างบ้านปรับตัวลง โดยหุ้นบาร์ราตต์ เดเวลลอปเมนต์ส ขยับลง 0.1% ขณะที่หุ้นเพอร์ซิมมอน ลดลง 0.2%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: วิตกการเมืองอิตาลี ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งของอิตาลีในปีหน้า ซึ่งส่งผลให้ดัชนี FTSE MIB ตลาดหุ้นอิตาลีร่วงลงอย่างหนักถึง 1.4% ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงจากความกังวลดังกล่าวเช่นกัน นอกจากนี้ นักลงทุนยังชะลอการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการไปก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะแถลงมติการประชุม
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.2% ปิดที่ 390.70 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,125.64 จุด ลดลง 57.89 จุด หรือ -0.44% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,399.45 จุด ลดลง 27.74 จุด หรือ -0.51% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,496.51 จุด ลดลง 3.90 จุด หรือ -0.05%
ส่วนดัชนี FTSE MIB ตลาดหุ้นอิตาลี ร่วงลง 1.4% ปิดที่ระดับ 22,400.19 จุด เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเลือกตั้งทั่วไปของอิตาลีในปีหน้า โดยหุ้นกลุ่มธนาคารของอิตาลีร่วงลงอย่างหนัก นำโดยหุ้น Unione di Banche Italiane ร่วงลง 4.1% หุ้น Banco BPM ดิ่งลง 4.5% และหุ้น UniCredit ร่วงลง 4.7%
ขณะที่ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบ แม้สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) เปิดเผยเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า อัตราการว่างงานในสหราชอาณาจักรทรงตัวที่ระดับ 4.3% ในช่วงเดือนส.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2518 และไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก.ค.-ก.ย.
ส่วนอัตราค่าแรงในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น 2.3% โดยปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก.ค.-ก.ย. แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 3.1%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนี (Destatis) รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย. ปรับตัวขึ้น 1.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนต.ค.
หากเทียบเป็นรายเดือน ดัชนี CPI ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย. หลังจากที่ทรงตัวในเดือนต.ค.
นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟด ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดหุ้นยุโรปจะปิดทำการไปก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะแถลงมติการประชุม พร้อมกับจับตาถ้อยแถลงของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 80.63 จุด หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% ตามคาดในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกับปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐทั้งในปีนี้และปีหน้า อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ เนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง หลังจากคณะกรรมการเฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 3 ครั้งในปีหน้า ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,585.43 จุด เพิ่มขึ้น 80.63 จุด หรือ +0.33% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,875.80 จุด เพิ่มขึ้น 13.48 จุด หรือ +0.20% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,662.85 จุด ลดลง 1.26 จุด หรือ -0.05%
ดัชนีดาวโจนส์ยังคงเดินหน้าทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.25-1.50% ในการประชุมเมื่อวานนนี้ ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้
ขณะเดียวกัน เฟดได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐสู่ระดับ 2.5% ในปีนี้ จาก 2.4% ซึ่งเป็นตัวเลขคาดการณ์ในเดือนก.ย. ส่วนในปี 2561, 2562 และ 2563 อยู่ที่ระดับ 2.5%, 2.1% และ 2.0% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.1%, 2.0% และ 1.8% ตามลำดับ ขณะที่อัตราการขยายตัวในระยะยาวคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.8%
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภคพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นำโดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 3.6% ขณะที่หุ้น 3M ปรับตัวขึ้น 1.1%
หุ้นเซ็นจูรี่ลิงค์ ทะยานขึ้น 6.7% หลังจากนักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นดังกล่าว อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า รัฐเพนซิลวาเนียได้ทำสัญญา 5 ปีกับบริษัทเซ็นจูรี่ลิงค์ เพื่อให้บริษัทจัดหาข้อมูลด้านการบริการเครือข่ายให้กับพนักงานของรัฐ
อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ เนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง หลังจากเฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 3 ครั้งในปี 2561 และอีก 3 ครั้งในปี 2562 ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงอย่างหนักถึง 1.3% ขณะที่หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 1.6% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ดิ่งลง 1.3% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ปรับตัวลง 1.5%
นักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าในการผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกัน โดยล่าสุดนายออร์ริน แฮทช์ ประธานคณะกรรมาธิการการเงินประจำวุฒิสภาสหรัฐเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และวุฒิสภาสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีแล้ว ส่งผลให้สภาคองเกรสมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะบรรลุข้อตกลงปฏิรูปภาษีภายในปีนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย., ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนธ.ค.จากเฟดนิวยอร์ก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.
--อินโฟเควสท์
OO3562