WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

18ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ฟื้นต่อเนื่องรับ Sentiment บวกยืนเหนือ 1,700-คลายกังวลการเมืองสหรัฐฯ-น้ำมันรีบาวด์
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง แนวเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวกราว 0.2-0.3% หลังคลายความกังวลการเมืองในสหรัฐฯ จากที่สภาคองเกรสได้ผ่านร่างงบประมาณรายจ่ายไปอีก 2 สัปดาห์ ทำให้หน่วยงานรัฐบางแห่งไม่ต้องปิดทำการ
อนึ่ง สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯมีมติด้วยคะแนนเสียง 235-193 ให้ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐ ก่อนที่จะส่งต่อให้วุฒิสภาสหรัฐพิจารณา โดยผลปรากฏว่า วุฒิสภาสหรัฐได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 81-14 ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลมีงบประมาณใช้จ่ายไปจนถึงวันที่ 22 ธ.ค. ทั้งนี้ การลงมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันก่อนที่จะถึงกำหนดเส้นตายในช่วงเที่ยงคืนวันศุกร์ที่ 8 ธ.ค.ตามเวลาสหรัฐฯ
นายอภิชาติ กล่าวต่อว่า ราคาน้ำมันก็รีบาวด์ขึ้นด้วย ประกอบกับปัจจัยในประเทศก็คาดหวังเม็ดเงินจากองทุน LTF, RMF เข้ามาช่วยหนุนตลาดฯ รวมไปถึงดัชนีฯสามารถยืนเหนือระดับ 1,700 จุด ได้ ทำให้เป็น Sentiment บวกให้กับตลาดฯ
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยที่จะต้องติดตามดูคือ ร่างกฏหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ ที่ทางสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ได้อนุมัติแล้วจะมีการวมร่างกันอย่างไร ส่วนวันนี้ก็ให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจทั้งของจีน, ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ
พร้อมให้แนวรับ 1,690 จุด ส่วนแนวต้าน 1,705 ถัดไป 1,710-1,715 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (7 ธ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,211.48 จุด เพิ่มขึ้น 70.57 จุด (+0.29%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,636.98 จุด เพิ่มขึ้น 7.71 จุด (+0.29%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,812.84 จุด เพิ่มขึ้น 36.47 จุด (+0.54%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 129.92 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 8.11 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.23 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 50.59 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 6.25 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 96.82 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 1.28 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 7.57 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (7 ธ.ค.60) 1,703.37 จุด เพิ่มขึ้น 8.98 จุด (+0.53%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,094.66 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (7 ธ.ค.60) ปิดที่ระดับ 56.69ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 73 เซนต์ หรือ 1.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (7 ธ.ค.60) ที่ 7.05 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.64 อ่อนค่าจากดอลล์แข็งหลังสภาสหรัฐผ่านกม.ปฏิรูปภาษี-ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร
- สศช.แจงข้อมูลว่างงานเพิ่มสวนทางตัวเลขเศรษฐกิจโต เหตุปัญหาอุทกภัยภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรมยังใช้กำลังผลิตเดิมเชื่อปี 61 ตัวเลขจ้างงานฟื้นสอดคล้องเศรษฐกิจขยายตัว เตือน "เอไอ-หุ่นยนต์" เริ่มมีบทบาทมากขึ้นทั้งใน-นอกภาคเกษตร แนะเร่งปรับทักษะแรงงานรับเทรนด์เทคโนโลยีดิจิทัล
- ที่ประชุมขับเคลื่อนเอสเอ็มอีสู่ยุค 4.0 ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และภาคเอกชน เตรียมออกมาตรการพิเศษ 10 โครงการ สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มีศักยภาพ ผ่านการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี ทั้งมาตรการทางการเงินและมาตรการส่งเสริมที่ไม่ใช่การเงิน ซึ่งเป็นมาตรการพิเศษเป็นของขวัญปีใหม่ให้เอสเอ็มอี
- นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า รายงานแนวโน้มการเติบโตแบบมีส่วนร่วมของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในระยะยาว โดยธนาคารโลกได้สะท้อนว่าประเทศไทยอยู่ในระดับที่พ้นจากความยากจนมาแล้ว และกำลังก้าวสู่ความมั่งคั่งเหมือนประเทศมาเลเซีย
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เผยทิศทางตลาดเงินปี 2561 คาดว่ายังผันผวน ปัจจัยที่ต้องติดตามต่อเนื่อง ได้แก่ ความคืบหน้าแผนการปฏิรูปภาษีของสหรัฐ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยเดือนธันวาคมนี้ การเลือกตั้งในอิตาลีและเยอรมนี นโยบายของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดคนใหม่ ในไตรมาสแรก ส่วนไตรมาสสองติดตามครบวาระของประธานและรองประธานธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) รวมถึงแผนการลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และการเลือกตั้งในสหรัฐและไทยช่วงปลายปีหน้า ดังนั้น ครึ่งปีแรกค่าบาทมีทิศทางแข็งค่า ตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและผลจากเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง ทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้า
*หุ้นเด่นวันนี้
- HUMAN (บมจ.ฮิวแมนิก้า) เทรดวันนี้วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยราคา IPO 4 บาท บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินราคาเหมาะสมปี 61 ที่ 5.80 บาท อิง PEG 1 เท่า คาดการณ์กำไรสุทธิปี 61-63 โตเฉลี่ย 35% ต่อปี จากฐานพนักงานที่รับช่วงดูแลเพิ่มขึ้นปีละ 50,000 คนเป็นอย่างน้อย การเพิ่มขนาดของรายได้ ส่งผลให้จะยิ่งเพิ่ม Gross Margin ให้ปรับสูงขึ้นเพราะการมี High Operating Leverage และคาดอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิจะเพิ่มเป็น 40% และ 26% ในปี 62 ใกล้เคียงกับบริษัทระดับโลก
บริษัทฯ ประกอบธุรกิจ HR Outsourcing ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยศักยภาพการเติบโตของความต้องการใช้ Outsourcing ขององค์กรยุคใหม่ ทำให้ HUMAN ยังเหลือช่องว่างในการเติบโตอีกมาก
- RS (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 27 บาท คาดกำไรสุทธิปี 61-62 โตโดดเด่นสุดในกลุ่มที่ 1.5 เท่าตัว Y-Y และ 46% Y-Y ตามลำดับ จากความสามารถปรับขึ้นค่าโฆษณา 25% ตามเรทติ้งสูงขึ้น โดยเฉพาะซีรีย์อินเดีย, รายการข่าวเช้า, และรายการกีฬา ขณะที่ธุรกิจ Health & Beauty มีอัตรากำไรสุทธิสูง 20-30% ยังโตแข็งแกร่งจากการออกสินค้าและเพิ่มช่องทางขายใหม่ โดยเฉพาะการรุกตลาดต่างประเทศ คาดยอดขายปี 61-62 ของ H&B จะเพิ่มเป็น 2.1 พันลบ. และ 2.8 พันลบ.จากปีนี้ที่คาด 1.4 พันลบ.ด้านราคาหุ้นปรับฐานจน Upside เปิดกว้าง ทางเทคนิคยังเกิดรูปแบบ Bullish Engulfing และจิตวิทยาการลงทุนยังเป็นบวกจากการเข้าซื้อของผู้บริหาร 1.3 ล้านหุ้นที่ราคา 23 บาทด้วย
- BAFS (เอเอสแอล) เป้า 52 บาท เชื่อว่ากำไรสุทธิปี 61 จะกลับมาเติบโต 10.8%YoY ภายใต้สมมติฐานอัตราการเติบโตของปริมาณน้ำมันให้บริการเติบโตในระดับปกติที่ 3.5%YoY ขณะที่โครงการลงทุนยังคงเดินหน้าตามแผน จะเป็น Upside ของ BAFS ในระยะยาว ด้านเงินปันผลประเมินเงินปันผลสำหรับ 2H60 อีก 1 บาท ให้ผลตอบแทน 2.2% ขณะที่ปี 61 โดยคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 1.3 บาท ให้ผลตอบแทน 2.8%
- S11 (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 10.20 บาท หุ้น laggard ที่ตลาดมองข้าม คาดปี 61 กำไรจะเติบโตก้าวกระโดดที่ 527 ล้านบาท (EPS 0.86) เติบโต 28% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการขยาย Dealer, การออกรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ของ Honda และการเพิ่มของ NPL จะเริ่มชะลอลง ทำให้ไม่ต้องตั้งสำรองมากอย่างเช่นปี 60 ด้านราคาหุ้นปัจจุบันเทรดที่ FW PE 61 เพียง 9.47 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหุ้นในกลุ่ม Leasing ซึ่งเทรดที่ FW PE 61 ที่ 15 เท่า ในขณะที่ Div 61 สูงถึง 5.28%

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ ตามทิศทางวอลล์สตรีท นักลงทุนจับตาข้อมูลการค้าจีน
       ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐ รวมทั้งข้อมูลการค้าของจีนที่จะมีการเปิดเผยในช่วงเช้าวันนี้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,627.95 จุด เพิ่มขึ้น 129.92 จุด, +0.58%ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,470.09 จุด เพิ่มขึ้น 8.11 จุด, +0.33% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,721.28 จุด เพิ่มขึ้น 2.23 จุด, +0.13% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,406.35 จุด เพิ่มขึ้น 50.59 จุด, +0.49% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,394.39 จุด เพิ่มขึ้น 6.25 จุด, +0.18% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,400.01 จุด เพิ่มขึ้น 96.82 จุด, +0.34% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,176.21 จุด เพิ่มขึ้น 1.28 จุด, +0.02% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,264.48 จุด ลดลง 7.57 จุด, -0.23%
นักลงทุนรอดูการเปิดเผยยอดส่งออก ยอดนำเข้า และดุลการค้าของจีนประจำเดือนพ.ย.ในช่วงเช้าวันนี้
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยแล้วในวันนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ในวันนี้ โดยระบุว่า GDP ขยายตัว 2.5% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ขยายตัวเพียง 1.4%
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าในการผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี โดยสภาคองเกรสสหรัฐกำลังพิจารณารวมร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเป็นร่างเดียวกัน และให้การอนุมัติ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามเป็นกฎหมายต่อไป

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: เงินปอนด์แข็งค่า ฉุดฟุตซี่ปิดลบ 27.28 จุด
     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) ด้วยแรงกดดันจากสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและยูโร สืบเนื่องจากนักลงทุนกลับมามีความหวังว่า นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษ จะสามารถนำเสนอข้อตกลง Brexit ที่สร้างความพอใจแก่สหภาพยุโรป (EU) ได้ทันภายในกำหนดเส้นตายวันอาทิตย์นี้ (10 ธ.ค.)
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 27.28 จุด หรือ -0.37% ปิดที่ 7,320.75 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและยูโร โดยค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.3424 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ จากระดับ 1.3394 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กในคืนวันพุธ และแข็งค่าแตะระดับ 1.1383 ยูโร จากระดับ 1.1353 ยูโรในวันก่อนหน้า
สกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นหลังมีรายงานว่า สหภาพยุโรปได้ขีดเส้นตายแก่ผู้นำสหราชอาณาจักรจนถึงเวลาเที่ยงคืนของวันอาทิตย์นี้ (10 ธ.ค.) เพื่อหาทางออกในเรื่องเขตแดนของไอร์แลนด์หลังจากที่อังกฤษได้แยกตัวออกจาก EU ไปแล้ว โดยประเด็นดังกล่าวได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การเจรจา Brexit ระหว่างสองฝ่ายไม่มีความคืบหน้าและไม่สามารถเดินหน้าสู่การเจรจาขั้นต่อไปได้
ทั้งนี้ผู้นำ EU จะประชุมหารือกันที่กรุงบรัสเซลส์ในวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้ เพื่อพิจารณาดูว่า ในช่วงที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรมีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาในข้อตกลง Brexit เพื่อที่จะเดินหน้าสู่การเจรจาในขั้นตอนต่อไปหรือไม่
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลง โดยหุ้นริโอ ทินโต ลดลง 1.7% หุ้นแองโกล อเมริกัน ขยับลง 0.7% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ขยับลง 0.6%
หุ้นกลุ่มพลังงานที่น่าจับตา หุ้นบีพี บริษัทน้ำมันรายใหญ่ร่วงลง 1.2% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ลดลง 1% ถึงแม้ราคาน้ำมันดิบจะดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันพุธ

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับ GDP ยูโรโซนขยายตัวในไตรมาส 3
       ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) ขานรับรายงานของยูโรสแตทซึ่งระบุว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของกลุ่มยูโรโซนยังคงขยายตัวได้ดีในไตรมาส 3 อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของสกุลเงินปอนด์ได้ฉุดตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้น 0.03% ปิดที่ 386.42 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,045.15 จุด เพิ่มขึ้น 46.30 จุด หรือ +0.36% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,383.86 จุด เพิ่มขึ้น 9.51 จุด หรือ +0.18% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,320.75 จุด ลดลง 27.28 จุด หรือ -0.37%
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้น หลังจากยูโรสแตทรายงานว่า การประมาณการครั้งสุดท้ายของตัวเลข GDP ยูโรโซนในไตรมาส 3 ขยายตัวที่ระดับ 0.3% ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์
หุ้นสกาย พีแอลซี ดีดตัวขึ้น 0.9% หลังจากมีรายงานว่า หลังมีรายงานว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นของสกาย และทเวนตี้-เฟิร์สท์ เซนจูรี ฟ็อกซ์ ใกล้บรรลุข้อตกลงซื้อธุรกิจบางส่วนในบริษัทวอลท์ดิสนีย์
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่อ่อนแรงลง โดยหุ้นริโอ ทินโต ลดลง 1.7% หุ้นแองโกล อเมริกัน ขยับลง 0.7% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ขยับลง 0.6%
ส่วนตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบ ด้วยแรงกดดันจากสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและยูโร
นักลงทุนยังคงจับตาข้อตกลง Brexit ของอังกฤษอย่างใกล้ชิด โดยรายงานล่าสุดระบุว่า นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษ จะสามารถนำเสนอข้อตกลง Brexit ที่สร้างความพอใจแก่สหภาพยุโรป (EU) ได้ทันภายในกำหนดเส้นตายวันอาทิตย์นี้ (10 ธ.ค.)
ทั้งนี้ สหภาพยุโรปได้ขีดเส้นตายแก่ผู้นำสหราชอาณาจักรจนถึงเวลาเที่ยงคืนของวันอาทิตย์ที่ 10 ธ.ค. เพื่อหาทางออกในเรื่องเขตแดนของไอร์แลนด์หลังจากที่อังกฤษได้แยกตัวออกจาก EU ไปแล้ว โดยประเด็นดังกล่าวได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การเจรจา Brexit ระหว่างสองฝ่ายไม่มีความคืบหน้าและไม่สามารถเดินหน้าสู่การเจรจาขั้นต่อไปได้
รายงานระบุว่า ผู้นำ EU จะประชุมหารือกันที่กรุงบรัสเซลส์ในวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้ เพื่อพิจารณาดูว่า ในช่วงที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรมีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาในข้อตกลง Brexit เพื่อที่จะเดินหน้าสู่การเจรจาในขั้นตอนต่อไปหรือไม่

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: แรงซื้อหุ้นเทคโนโลยี หนุนดาวโจนส์ปิดบวก 70.57 จุด
    ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเดินหน้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งช่วยหนุนหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊กและอัลฟาเบทพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า จำนวนคนว่างงานในสหรัฐลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3 ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐ รวมทั้งการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาล หรือชัตดาวน์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,211.48 จุด เพิ่มขึ้น 70.57 จุด หรือ +0.29% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,812.84 จุด เพิ่มขึ้น 36.47 จุด หรือ +0.54% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,636.98 จุด เพิ่มขึ้น 7.71 จุด หรือ +0.29%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเริ่มกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังจากที่ถูกเทขายอย่างหนักในช่วงก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่า มาตรการปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ทะยานขึ้น 2.31% และหุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล พุ่งขึ้น 1.23%
หุ้นลูลูเลมอน แอธลีติกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดออกกำลังกายชื่อดัง พุ่งขึ้น 6.43% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีนี้
หุ้นบริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) ปรับตัวขึ้น 0.3% หลังจากบริษัทประกาศปลด 12,000 ตำแหน่งในธุรกิจผลิตไฟฟ้าทั่วโลก เพื่อรับมือกับอุปสงค์ที่ลดลงสำหรับโรงงานผลิตไฟฟ้าที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกันในสัปดาห์ที่แล้ว โดยลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 236,000 ราย
ข้อมูลดังกล่าวมีการเปิดเผยก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ย.ในวันนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนพ.ย.จะเพิ่มขึ้น188,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนพ.ย.จะขยับขึ้นสู่ระดับ 4.2% จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 4.1%
นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี และการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาล หรือชัตดาวน์ โดยรายงานล่าสุดระบุว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียง 235-193 ให้ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐ ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลมีงบใช้จ่ายจนถึงวันที่ 22 ธ.ค. โดยขณะนี้ร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวได้ถูกส่งให้กับวุฒิสภาสหรัฐ เพื่อพิจารณาเป็นลำดับต่อไป
ส่วนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีนั้น สภาคองเกรสสหรัฐกำลังพิจารณารวมร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเป็นร่างเดียวกัน และให้การอนุมัติ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามเป็นกฎหมายต่อไป
--อินโฟเควสท์
OO3288

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!