- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 27 November 2017 13:36
- Hits: 1359
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้อ่อนลง เหตุ Sentiment เสียหลังหลุด 1,700 และปัจจัยขับเคลื่อนไม่ค่อยมี
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะอ่อนตัวลง เนื่องจาก Sentiment ตลาดเสียหลังหลุดแนว 1,700 จุด และปัจจัยขับเคลื่อนก็ยังไม่ค่อยมี อีกทั้งยังต้องติดตามเหตุการณ์สำคัญในรอบสัปดาห์นี้ด้วย อย่างเรื่องความเห็นของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนปัจจุบันที่จะพูดในวันพุธนี้ และถ้อยแถลงของประธานเฟดคนใหม่ที่จะพูดในวันอังคาร
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามตัวเลข GDP ของสหรัฐฯงวดไตรมาส 3/60 ที่จะประกาศครั้งที่ 2 ในวันที่ 29 พ.ย.นี้ และให้ติดตามตัวเลข PMI ของสหรัฐฯ, ยุโรป และจีน ที่จะทยอยประกาศออกมาในสัปดาห์นี้เช่นกัน รวมไปถึงติดตามร่างกฏหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯที่วุฒิสภาจะพิจารณา-โหวตเสียงในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.นี้ด้วย เพราะจะมีผลต่อตลาดฯ
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบ อาจเป็นแรงขายอันเป็นผลจากความไม่แน่นอนในหลายปัจจัย พร้อมให้แนวรับ 1,690 ถัดไป 1,680-1,685 จุด ซึ่งหากดัชนีฯอ่อนตัวลงมาแถว 1,680-1,685 จุด มีโอกาสที่จะรีบาวด์ได้ ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,700 ถัดไป 1,707-1,710 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (24 พ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,557.99 จุด เพิ่มขึ้น 31.81 จุด (+0.14%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,602.42 จุด เพิ่มขึ้น 5.34 จุด (+0.21%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,889.16 จุด เพิ่มขึ้น 21.80 จุด (+0.32%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 106.23 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 7.16 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 8.67 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 17.27 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 0.41 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 0.74 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.14 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (24 พ.ย.60) 1,695.84 จุด ลดลง 11.54 จุด (-0.68%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 724.41 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 พ.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (24 พ.ย.60) ปิดที่ระดับ 58.95 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 93 เซนต์ หรือ 1.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (24 พ.ย.60) ที่ 7.30 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.67 แนวโน้มยังแข็งค่าต่อจากแรงขายดอลล์ มองกรอบ 32.65-32.75
- "สภาพัฒน์" เตรียมชง ครม.สัญจร "พัฒนาภูมิภาคด้ามขวาน" เน้นรักษาชื่อเสียงการท่องเที่ยวระดับโลก พร้อมกันไปกับการพัฒนาทุกภาคส่วนให้เป็นมาตรฐานสากล ดัน "แปรรูปเกษตรควบคู่การอนุรักษ์-เชื่อมโยงการค้า การลงทุน กับภูมิภาคอื่นทั่วโลก ส่วนการพัฒนาชายแดน เน้นขยายผลเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
- สำนักงานก.ล.ต.เตรียมใช้เกณฑ์ให้ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนรายงานซื้อขายดีดับบลิวต้นปีหน้า ด้านผู้บริหารบจ.พร้อมปฏิบัติตามแต่ขอรอดูแนวทางการเปิดเผยข้อมูลด้านเคจีไอประเมินผู้ลงทุนถือครองดีดับบลิวระยะยาวขึ้น
- แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคมเปิดเผยถึงกรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กำลังพิจารณาข้อเสนอของบริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) ที่ขอปรับปรุงการใช้งานคลื่น 2300 เมกะเฮิรตซ์ รองรับบริการ บรอดแบนด์ ไวร์เลส แต่กลับนำคลื่นความถี่ออกไปให้บริษัทเอกชนนำไปให้บริการต่อในลักษณะ MVNO หากข้อตกลงเป็นคู่ค้าพันธมิตรทีโอทีและเอกชนผ่านมีหวังแผนการประมูลคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ และ 1800 เมกะเฮิรตซ์ที่ กสทช.หวังดึงเม็ดเงินจากการประมูลเข้ารัฐนับแสนล้านบาท มีหวังไม่เป็นไปตามแผน
- ในวันที่ 27 พ.ย. นี้หอการค้าภาคใต้ จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดภาคใต้ พิจารณาแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาคใต้มูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาท เพื่อเชื่อมโยงกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เนื่องจากภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพแต่ไม่ได้มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่มาหลายปีแล้ว
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะอ่อนตัวลง เนื่องจาก Sentiment ตลาดเสียหลังหลุดแนว 1,700 จุด และปัจจัยขับเคลื่อนก็ยังไม่ค่อยมี อีกทั้งยังต้องติดตามเหตุการณ์สำคัญในรอบสัปดาห์นี้ด้วย อย่างเรื่องความเห็นของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนปัจจุบันที่จะพูดในวันพุธนี้ และถ้อยแถลงของประธานเฟดคนใหม่ที่จะพูดในวันอังคาร
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามตัวเลข GDP ของสหรัฐฯงวดไตรมาส 3/60 ที่จะประกาศครั้งที่ 2 ในวันที่ 29 พ.ย.นี้ และให้ติดตามตัวเลข PMI ของสหรัฐฯ, ยุโรป และจีน ที่จะทยอยประกาศออกมาในสัปดาห์นี้เช่นกัน รวมไปถึงติดตามร่างกฏหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯที่วุฒิสภาจะพิจารณา-โหวตเสียงในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.นี้ด้วย เพราะจะมีผลต่อตลาดฯ
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบ อาจเป็นแรงขายอันเป็นผลจากความไม่แน่นอนในหลายปัจจัย พร้อมให้แนวรับ 1,690 ถัดไป 1,680-1,685 จุด ซึ่งหากดัชนีฯอ่อนตัวลงมาแถว 1,680-1,685 จุด มีโอกาสที่จะรีบาวด์ได้ ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,700 ถัดไป 1,707-1,710 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (24 พ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,557.99 จุด เพิ่มขึ้น 31.81 จุด (+0.14%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,602.42 จุด เพิ่มขึ้น 5.34 จุด (+0.21%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,889.16 จุด เพิ่มขึ้น 21.80 จุด (+0.32%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 106.23 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 7.16 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 8.67 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 17.27 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 0.41 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 0.74 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.14 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (24 พ.ย.60) 1,695.84 จุด ลดลง 11.54 จุด (-0.68%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 724.41 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 พ.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (24 พ.ย.60) ปิดที่ระดับ 58.95 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 93 เซนต์ หรือ 1.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (24 พ.ย.60) ที่ 7.30 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.67 แนวโน้มยังแข็งค่าต่อจากแรงขายดอลล์ มองกรอบ 32.65-32.75
- "สภาพัฒน์" เตรียมชง ครม.สัญจร "พัฒนาภูมิภาคด้ามขวาน" เน้นรักษาชื่อเสียงการท่องเที่ยวระดับโลก พร้อมกันไปกับการพัฒนาทุกภาคส่วนให้เป็นมาตรฐานสากล ดัน "แปรรูปเกษตรควบคู่การอนุรักษ์-เชื่อมโยงการค้า การลงทุน กับภูมิภาคอื่นทั่วโลก ส่วนการพัฒนาชายแดน เน้นขยายผลเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
- สำนักงานก.ล.ต.เตรียมใช้เกณฑ์ให้ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนรายงานซื้อขายดีดับบลิวต้นปีหน้า ด้านผู้บริหารบจ.พร้อมปฏิบัติตามแต่ขอรอดูแนวทางการเปิดเผยข้อมูลด้านเคจีไอประเมินผู้ลงทุนถือครองดีดับบลิวระยะยาวขึ้น
- แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคมเปิดเผยถึงกรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กำลังพิจารณาข้อเสนอของบริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) ที่ขอปรับปรุงการใช้งานคลื่น 2300 เมกะเฮิรตซ์ รองรับบริการ บรอดแบนด์ ไวร์เลส แต่กลับนำคลื่นความถี่ออกไปให้บริษัทเอกชนนำไปให้บริการต่อในลักษณะ MVNO หากข้อตกลงเป็นคู่ค้าพันธมิตรทีโอทีและเอกชนผ่านมีหวังแผนการประมูลคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ และ 1800 เมกะเฮิรตซ์ที่ กสทช.หวังดึงเม็ดเงินจากการประมูลเข้ารัฐนับแสนล้านบาท มีหวังไม่เป็นไปตามแผน
- ในวันที่ 27 พ.ย. นี้หอการค้าภาคใต้ จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดภาคใต้ พิจารณาแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาคใต้มูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาท เพื่อเชื่อมโยงกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เนื่องจากภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพแต่ไม่ได้มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่มาหลายปีแล้ว
*หุ้นเด่นวันนี้
- BJC (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 68 บาท คาดกำไร Q4/60 สูงสุดของปี เนื่องจากทั้ง 3 ธุรกิจของ BJC เติบโตดี อีกทั้ง BIGC มีกำไรเพิ่มขึ้นโดย SSSG เป็นบวกต่อเนื่องและเปิดสาขาเพิ่มขึ้น ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการขาย มีการขยายกำลังการผลิตขวดแก้ว และอาจได้ผลบวกจากเครดิตภาษีจากการปรับโครงสร้างบริษัท ส่วนในปีหน้าคาดกำไรเติบโตได้จากทุกธุรกิจเช่นกัน โดยมีการเปิดสาขาต่อเนื่อง ขยายฐานลูกค้า และเพิ่มกำลังการผลิตขวดแก้ว
- TASCO (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้า 25.25 บาท ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิในปี 2560-2562 ลง10.1%/5.1%/2.4% ตามลำดับโดยเหตุผลหลักมาจากการปรับลดปริมาณยอดขายลง 7%/4.7%/2.4% เพื่อสะท้อนปัญหาจากการปิดโรงกลั่นยางมะตอยที่มาเลเซียช่วงไตรมาส 4/60 จากการขาดแคลนวัตถุดิบ (น้ำมันดิบหนัก) อย่างไรก็ตามมองกำไรสุทธิจะฟื้นตัวได้ดีในปี 61-62 ที่ 20.5%/19.2% จากปริมาณอุปสงค์ยางมะตอยทั้งในและต่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงแนวโน้มการเพิ่มสูงขึ้นของราคายางมะตอย โดยมองปัญหาการปิดโรงกลั่นที่มาเลเซียจะเป็นเพียงปัจจัยที่กดดันผลการดำเนินงานในระยะสั้นเท่านั้น
- MODERN (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6.80 บาท ได้รับมุมมองที่ดีจากผู้บริหารต่อการฟื้นตัวของกำไรใน Q4/60 ซึ่งจะได้แรงหนุนทั้งจากการกลับมาโตของตลาดออฟฟิตสร้างใหม่ ตลาดค้าปลีกให้กับกลุ่มครัวเรือนที่ได้แรงผลักดันจากช็อปช่วยชาติ และการรับรู้รายได้ตกแต่งห้องผ่าตัดของโมเดิร์นฟอร์มแฮลท์แอนด์แคร์ที่มีงานในมือกว่า 400 ล้านบาท เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิ Q4/60 ที่ 75 ล้านบาท ชะลอลง Q-Q เพราะ 3Q60 มีกำไรพิเศษ 20 ล้านบาท หากหักออก กำไรปกติจะทรงตัว Q-Q แต่โต 12% Y-Y ถ้าเป็นตามนี้ กำไรทั้งปีจะเกินคาดที่ 193 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% Y-Y ส่วนปีหน้าคาดโตสูง 47% Y-Y จากการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์, การขยายตลาดใหม่เช่น งานราชการ, การควบคุมต้นทุน, และกำไรของโมเดิร์นฟอร์มแฮลท์แอนด์แคร์ที่จะเร่งตัว ก่อนเข้า MAI ใน Q4/61
- IRPC (ยูโอบี เคย์เฮียน) ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และยังมีแนวโน้มแข็งแกร่งจากส่วนต่างราคาปิโตรเคมี แม้ช่วงสั้นราคาพลังงานที่ขึ้นอาจทำให้ส่วนต่างของ IRPC ที่ใช้แนฟทา เด่นน้อยกว่าปิโตรเคมีอื่นก็ตาม แต่ยังได้อานิสงส์จากโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพต่าง ๆ
- TASCO (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้า 25.25 บาท ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิในปี 2560-2562 ลง10.1%/5.1%/2.4% ตามลำดับโดยเหตุผลหลักมาจากการปรับลดปริมาณยอดขายลง 7%/4.7%/2.4% เพื่อสะท้อนปัญหาจากการปิดโรงกลั่นยางมะตอยที่มาเลเซียช่วงไตรมาส 4/60 จากการขาดแคลนวัตถุดิบ (น้ำมันดิบหนัก) อย่างไรก็ตามมองกำไรสุทธิจะฟื้นตัวได้ดีในปี 61-62 ที่ 20.5%/19.2% จากปริมาณอุปสงค์ยางมะตอยทั้งในและต่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงแนวโน้มการเพิ่มสูงขึ้นของราคายางมะตอย โดยมองปัญหาการปิดโรงกลั่นที่มาเลเซียจะเป็นเพียงปัจจัยที่กดดันผลการดำเนินงานในระยะสั้นเท่านั้น
- MODERN (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6.80 บาท ได้รับมุมมองที่ดีจากผู้บริหารต่อการฟื้นตัวของกำไรใน Q4/60 ซึ่งจะได้แรงหนุนทั้งจากการกลับมาโตของตลาดออฟฟิตสร้างใหม่ ตลาดค้าปลีกให้กับกลุ่มครัวเรือนที่ได้แรงผลักดันจากช็อปช่วยชาติ และการรับรู้รายได้ตกแต่งห้องผ่าตัดของโมเดิร์นฟอร์มแฮลท์แอนด์แคร์ที่มีงานในมือกว่า 400 ล้านบาท เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิ Q4/60 ที่ 75 ล้านบาท ชะลอลง Q-Q เพราะ 3Q60 มีกำไรพิเศษ 20 ล้านบาท หากหักออก กำไรปกติจะทรงตัว Q-Q แต่โต 12% Y-Y ถ้าเป็นตามนี้ กำไรทั้งปีจะเกินคาดที่ 193 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% Y-Y ส่วนปีหน้าคาดโตสูง 47% Y-Y จากการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์, การขยายตลาดใหม่เช่น งานราชการ, การควบคุมต้นทุน, และกำไรของโมเดิร์นฟอร์มแฮลท์แอนด์แคร์ที่จะเร่งตัว ก่อนเข้า MAI ใน Q4/61
- IRPC (ยูโอบี เคย์เฮียน) ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และยังมีแนวโน้มแข็งแกร่งจากส่วนต่างราคาปิโตรเคมี แม้ช่วงสั้นราคาพลังงานที่ขึ้นอาจทำให้ส่วนต่างของ IRPC ที่ใช้แนฟทา เด่นน้อยกว่าปิโตรเคมีอื่นก็ตาม แต่ยังได้อานิสงส์จากโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพต่าง ๆ
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าลดลง หลังตลาดหุ้นเกาหลีใต้-จีนอ่อนแรง
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวลงในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนเดินหน้าเทขายหุ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่ยังคงเคลื่อนไหวในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการควบคุมความเสี่ยงทางการเงินของรัฐบาลจีน ขณะที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวลง เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นซัมซุง อิเลคโทรนิคส์
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 29,737.45 จุด ลดลง 128.87 จุด หรือ -0.43% ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียเปิดวันนี้ที่ 33,640.51 จุด ลดลง 38.73 จุด หรือ -0.11% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 22,474.98 จุด ลดลง 75.87 จุด หรือ -0.34% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,713.49 จุด ลดลง 3.74 จุด หรือ -0.22%
นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการควบคุมความเสี่ยงทางการเงินของจีน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลด้านการธนาคารของจีนได้ออกร่างมาตรการเพื่อกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์บริหารจัดการความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย และกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ทำการทดสอบภาวะวิกฤต (stress tests) ของอัตราดอกเบี้ย พร้อมทั้งประเมินภาวะความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียได้รับปัจจัยกดดันหลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของอินเดียไว้ที่ระดับ BBB-/A-3 และคงแนวโน้มความน่าเชื่อถือที่ระดับ "มีเสถียรภาพ" แม้เศรษฐกิจอินเดียยังคงมีการขยายตัวที่แข็งแกร่ง และความน่าเชื่อถือด้านการเงินเริ่มฟื้นตัวขึ้นก็ตาม
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศเอเชียที่มีการเปิดเผยในช่วงเช้านี้ สำนักงานสถิติแห่งประเทศจีน (NBS) เปิดเผยว่า กำไรของบริษัทขนาดใหญ่ในภาคอุตสหกรรม พุ่งขึ้น 23.3% ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบเป็นรายปี เพิ่มขึ้น 22.8% จากช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้
ส่วนในเดือนต.ค.เพียงเดือนเดียว กำไรของบริษัทขนาดใหญ่ในภาคอุตสาหกรรม พุ่งขึ้น 25.1% เมื่อเทียบรายปี
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: หุ้นค้าปลีกร่วง ฉุดฟุตซี่ปิดลบ 7.60 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (24 พ.ย.) โดยตลาดปรับตัวลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากราคาหุ้นค้าปลีกร่วงลง ประกอบกับนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองของอังกฤษ
ดัชนี FTSE 100 ร่วงลง 7.60 จุด หรือ -0.10% ปิดที่ 7,409.64 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 หลังจากราคาหุ้นกลุ่มสุขภาพและกลุ่มค้าปลีกได้ปรับตัวลง โดยหุ้นเน็กซ์ ร่วงลง 1.8% หุ้นมาร์ก แอนด์ สเปนเซอร์ ปรับตัวลง 0.3% และหุ้นคิงฟิชเชอร์ ดิ่งลง 1.4%
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มค้าปลีกมีแนวโน้มฟื้นตัวในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลช็อปปิ้ง
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกฉุดจากความวิตกกังวลด้านการเมือง หลังนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้พูดคุยกับนายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานคณะมนตรียุโรป ที่กรุงบรัสเซล โดยมีรายงานว่าอังกฤษอาจต้องจ่ายเงินให้กับสหภาพยุโรป (อียู) เป็นจำนวนเงิน 4 หมื่นล้านยูโร สำหรับการแยกตัวออกจากอียู โดยอียูกล่าวว่าการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษจะเดินหน้าต่อไปได้ก็ต่อเมื่อบรรลุการเจรจาดังกล่าวได้
ส่วนแพดดี้ เพาเวอร์ เบทแฟร์ ซึ่งเป็นบริษัทพนันออนไลน์ เพิ่มขึ้น 3.2% หลังมีรายงานว่าแพดดี้ เพาเวอร์ เบทแฟร์ ได้เข้าไปเจรจาควบรวมกิจการของบริษัทในเครือ กับคลาวด์เบ็ทซึ่งเป็นบริษัทพนันของออสเตรเลีย
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ นักลงทุนวิตกการเมืองเยอรมนี-อังกฤษ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (24 พ.ย.) ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถาการณ์การเมืองในเยอรมนี ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.13% ปิดที่ 386.63 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,409.64 จุด ลดลง 7.60 จุดหรือ -0.10% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,390.46 จุด เพิ่มขึ้น 10.92 จุด หรือ +0.20% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,059.84 จุด เพิ่มขึ้น 51.29 จุด หรือ +0.39%
นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในเยอรมนี หลังจากพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) ของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล คว้าน้ำเหลวในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม 3 ฝ่ายเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า เยอรมนีอาจจัดการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนด
อย่างไรก็ดี นางแมร์เคิลยืนยันว่า ตนพร้อมจะเป็นผู้นำพรรค CDU ในการชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หากมีการเลือกตั้งใหม่ หลังจากที่การประชุมซึ่งนำโดยนางแมร์เคิลจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม (CDU/CSU), พรรค FDP และพรรคกรีน (Green Party) ยังคงไม่สามารถหาข้อสรุปได้ หลังที่ประชุมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือใหม่ของพรรครัฐบาลผสมภายใต้ชื่อ "กรอบความร่วมมือจาไมก้า" (Jamaica Coalition)
นอกจากนี้ ตลาดยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองของอังกฤษ หลังนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้พูดคุยกับนายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานคณะมนตรียุโรป ที่กรุงบรัสเซล โดยมีรายงานว่าอังกฤษอาจต้องจ่ายเงินให้กับสหภาพยุโรป (อียู) เป็นจำนวนเงิน 4 หมื่นล้านยูโร สำหรับการแยกตัวออกจากอียู โดยอียูกล่าวว่าการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษจะเดินหน้าต่อไปได้ก็ต่อเมื่อบรรลุการเจรจาดังกล่าวได้
หุ้นบีที กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมชั้นนำ ร่วงลง 1% หลังมีรายงานว่าธนาคารดอยซ์แบงก์ได้ปรับลดราคาเป้าหมายของหุ้นดังกล่าวลงจาก 2.68 ยูโร เหลือเพียง 2.38 ยูโร
ขณะที่หุ้นของแพดดี้ เพาเวอร์ เบทแฟร์ ซึ่งเป็นบริษัทพนันออนไลน์ เพิ่มขึ้น 3.2% หลังมีรายงานว่าแพดดี้ เพาเวอร์ เบทแฟร์ ได้เข้าไปเจรจาควบรวมกิจการของบริษัทในเครือ กับคลาวด์เบ็ทซึ่งเป็นบริษัทพนันของออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตาม ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดในแดนบวก หลังจาก Ifo ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนี เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 117.5 ในเดือนพ.ย. จากระดับ 116.7 ในเดือนต.ค. ซึ่งสูงกว่าระดับที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 31.81 จุด หลังหุ้นค้าปลีกพุ่งรับยอดใช้จ่ายช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศกร์ (24 พ.ย.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดทำนิวไฮ โดยตลาดได้รับปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีก หลังจากมีรายงานว่า ชาวสหรัฐได้ออกมาจับจ่ายซื้อสินค้าอย่างคึกคักในช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า ส่งผลให้ราคาหุ้นเด่นๆ เช่นหุ้นอเมซอน ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,557.99 จุด เพิ่มขึ้น 31.81 จุด หรือ +0.14% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,889.16 จุด เพิ่มขึ้น 21.80 จุด หรือ +0.32% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,602.42 จุด เพิ่มขึ้น 5.34 จุด หรือ +0.21%
ตลาดหุ้นสหรัฐเปิดทำการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ที่ 24 พ.ย. หลังจากที่ปิดทำการวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า
นักลงทุนยังคงจับตายอดขายของบริษัทค้าปลีกในช่วงแบล็กฟรายเดย์ หรือวันศุกร์หลังจากวันขอบคุณพระเจ้า รวมทั้งวันไซเบอร์มันเดย์ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้
อะโดบี อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า ชาวอเมริกันได้ใช้จ่ายผ่านระบบออนไลน์เป็นจำนวนเงินมากกว่า 1.52 พันล้านดอลลาร์ ณ เวลา 17.00 น.เมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐ ซึ่งเป็นวันขอบคุณพระเจ้า
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การจับจ่ายในช่วงวันแบล็กฟรายเดย์ปีนี้ อาจจะแซงตัวเลขการจับจ่ายในช่วงวันไซเบอร์มันเดย์ ซึ่งเป็นวันที่มีการใช้จ่ายผ่านระบบออนไลน์มากที่สุด นอกจากนี้ คาดว่าผู้บริโภคจะยังคงซื้อสินค้าอย่างคึกคักในช่วงเช้าของวัน "สมอล บิสซิเนส แชทเทอร์เดย์" หรือวันเสาร์ถัดจากวันแบล็กฟรายเดย์
ทางด้านสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐ (NRF) คาดการณ์ว่า ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเดือนพ.ย.และธ.ค.ปีนี้ อาจแตะระดับ 6.558 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 2.5% ในช่วงเวลา 10 ปี และสูงกว่าค่าเฉลี่ย 3.4% ในช่วง 7 ปีนับตั้งแต่ปี 2552 ที่เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว
หุ้นอเมซอนทะยานขึ้น 2.6% ส่วนหุ้นวอลมาร์ทปรับตัวขึ้น 0.2% ขณะที่หุ้นทาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐกลับร่วงลง 2.8% และหุ้นอีเบย์ปรับตัวลง 0.3% สวนทางตลาด
หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (GE) ดีดตัวขึ้น 0.3% หลังคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ออกมาเปิดเผยว่า นายเจมส์ ทิสช์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกบอร์ดบริหาร ได้เข้ามาซื้อไปจำนวน 3 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 53.7 ล้านดอลลาร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ขณะที่นายจอห์น แฟลนเนอรี ประธานบริหารคนใหม่ และนายฟรานซิสโก ดีซูซา คณะกรรมการบอร์ด ก็ได้ซื้อหุ้นไปเป็นมูลค่าราว 2 ล้านดอลลาร์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากราคาหุ้น GE ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง เมื่อวันที่ 21 พ.ย. จากการที่นักลงทุนผิดหวังต่อแผนการปรับโครงสร้างบริษัทและการปรับลดการจ่ายเงินปันผล โดย GE แถลงว่า ทางบริษัทจะปรับลดการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสลง 50% สู่ระดับ 12 เซนต์/หุ้น จากเดิมที่ 24 เซนต์/หุ้น โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนธ.ค.
OO2838
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศกร์ (24 พ.ย.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดทำนิวไฮ โดยตลาดได้รับปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีก หลังจากมีรายงานว่า ชาวสหรัฐได้ออกมาจับจ่ายซื้อสินค้าอย่างคึกคักในช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า ส่งผลให้ราคาหุ้นเด่นๆ เช่นหุ้นอเมซอน ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,557.99 จุด เพิ่มขึ้น 31.81 จุด หรือ +0.14% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,889.16 จุด เพิ่มขึ้น 21.80 จุด หรือ +0.32% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,602.42 จุด เพิ่มขึ้น 5.34 จุด หรือ +0.21%
ตลาดหุ้นสหรัฐเปิดทำการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ที่ 24 พ.ย. หลังจากที่ปิดทำการวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า
นักลงทุนยังคงจับตายอดขายของบริษัทค้าปลีกในช่วงแบล็กฟรายเดย์ หรือวันศุกร์หลังจากวันขอบคุณพระเจ้า รวมทั้งวันไซเบอร์มันเดย์ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้
อะโดบี อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า ชาวอเมริกันได้ใช้จ่ายผ่านระบบออนไลน์เป็นจำนวนเงินมากกว่า 1.52 พันล้านดอลลาร์ ณ เวลา 17.00 น.เมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐ ซึ่งเป็นวันขอบคุณพระเจ้า
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การจับจ่ายในช่วงวันแบล็กฟรายเดย์ปีนี้ อาจจะแซงตัวเลขการจับจ่ายในช่วงวันไซเบอร์มันเดย์ ซึ่งเป็นวันที่มีการใช้จ่ายผ่านระบบออนไลน์มากที่สุด นอกจากนี้ คาดว่าผู้บริโภคจะยังคงซื้อสินค้าอย่างคึกคักในช่วงเช้าของวัน "สมอล บิสซิเนส แชทเทอร์เดย์" หรือวันเสาร์ถัดจากวันแบล็กฟรายเดย์
ทางด้านสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐ (NRF) คาดการณ์ว่า ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเดือนพ.ย.และธ.ค.ปีนี้ อาจแตะระดับ 6.558 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 2.5% ในช่วงเวลา 10 ปี และสูงกว่าค่าเฉลี่ย 3.4% ในช่วง 7 ปีนับตั้งแต่ปี 2552 ที่เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว
หุ้นอเมซอนทะยานขึ้น 2.6% ส่วนหุ้นวอลมาร์ทปรับตัวขึ้น 0.2% ขณะที่หุ้นทาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐกลับร่วงลง 2.8% และหุ้นอีเบย์ปรับตัวลง 0.3% สวนทางตลาด
หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (GE) ดีดตัวขึ้น 0.3% หลังคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ออกมาเปิดเผยว่า นายเจมส์ ทิสช์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกบอร์ดบริหาร ได้เข้ามาซื้อไปจำนวน 3 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 53.7 ล้านดอลลาร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ขณะที่นายจอห์น แฟลนเนอรี ประธานบริหารคนใหม่ และนายฟรานซิสโก ดีซูซา คณะกรรมการบอร์ด ก็ได้ซื้อหุ้นไปเป็นมูลค่าราว 2 ล้านดอลลาร์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากราคาหุ้น GE ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง เมื่อวันที่ 21 พ.ย. จากการที่นักลงทุนผิดหวังต่อแผนการปรับโครงสร้างบริษัทและการปรับลดการจ่ายเงินปันผล โดย GE แถลงว่า ทางบริษัทจะปรับลดการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสลง 50% สู่ระดับ 12 เซนต์/หุ้น จากเดิมที่ 24 เซนต์/หุ้น โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนธ.ค.
OO2838