- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Tuesday, 21 November 2017 09:43
- Hits: 3665
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ อิงขาขึ้น หลังศก.ไทยดี-เล็งเม็ดเงิน LTF,RMF เข้าต่อเนื่อง-ต่างชาติชะลอขาย
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway up เนื่องจากเศรษฐกิจไทยดี โดยดูจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) งวดไตรมาส 3/60 ที่ออกมาดีกว่าตลาดคาดไว้ อีกทั้งเชื่อว่าเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) น่าจะเข้ามาต่อเนื่อง ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติได้ชะลอการขาย หลังเงินบาทแข็งค่าหลุดแนว 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดี
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างอยู่ในแดนบวกกันทั่วหน้า นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากเงินเยนอ่อนค่าหลังเงินดอลลาร์สหรัฐฯเช้านี้เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง อันเป็นผลจากเงินยูโรอ่อนค่า จากความไม่แน่นอนทางการเมืองในเยอรมนี ที่ยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้
ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะต้องติดตามคืนนี้เป็นถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยให้รอดูทิศทางนโยบายดอกเบี้ย และแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นอกจากนี้ให้ติดตามการเมืองในเยอรมนีต่อไปด้วย รวมถึงแผนการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ ที่วุฒิสภาจะพิจารณาในสัปดาห์นี้
พร้อมให้แนวรับ 1,710-1,712 จุด ส่วนแนวต้าน 1,720-1,726 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (20 พ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,430.33 จุด เพิ่มขึ้น 72.09 จุด (+0.31%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,582.14 จุด เพิ่มขึ้น 3.29 จุด (+0.13%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,790.71 จุด เพิ่มขึ้น 7.92 จุด (+0.12%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 195.03 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 10.04 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 109.38 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 23.67 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.18 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 7.57 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.47 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 17.83 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (20 พ.ย.60) 1,714.38 จุด เพิ่มขึ้น 5.00 จุด (+0.29%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 371.57 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 พ.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (20 พ.ย.60) ปิดที่ระดับ 56.09 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 46 เซนต์ หรือ 0.8%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (20 พ.ย.60) ที่ 7.18 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.85/86 แนวโน้มวันนี้อ่อนค่าตามยูโรจากความกังวลสถานการณ์การเมืองในเยอรมนี
- สศช.เผยเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 โต 4.3% สูงสุดรอบ 18 ไตรมาส อานิสงส์ส่งออกขยายตัว 12.5% พร้อมปรับ คาดการณ์ "จีดีพี" ปีนี้เป็น 3.9% เชื่อปีหน้า โตแตะ 4% ด้าน "สมคิด" เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นหวังฐานรากแข็งแรง ขณะธปท.จ่อปรับคาดการณ์ปีนี้เพิ่ม ด้านนักวิเคราะห์ชี้โตเกินคาด มองการบริโภคเริ่มฟื้นหนุนภาพรวมดีขึ้น
- สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) ได้ประกาศรายการสินค้าที่อาจจะถูกปลดออกจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) จำนวน 11 รายการ เนื่องจากมีระดับมูลค่าการนำเข้าใน ช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) 2560 เกินกว่าเพดานที่สหรัฐกำหนด และเปิดโอกาสให้แหล่งนำเข้าสินค้าดังกล่าวยื่นเรื่องขอให้พิจารณาขอบเขตจำกัดความจำเป็นต้องได้รับที่เป็นด้านการแข่งขัน (Competitive Need Limitations) ภายในวันที่ 5 ธ.ค.2560 นี้
- ตลาดหลักทรัพย์ เร่งเจาะฐาน นักลงทุนต่างชาติ เน้นกลุ่มประเทศที่ลงทุนไทยน้อย หวังเพิ่มสัดส่วน เน้นสร้างความรู้จักดึงเข้าไอพีโอ แจงสัดส่วนนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยสมดุล ขณะที่การซื้อขายโกลด์ดีที่เริ่มเปิดซื้อขาย ได้รับการตอบรับดีแจงมาตรการภาษีหนุน
- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC SCB) ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2560 เป็นเติบโต 3.8% จากเดิมที่ 3.6% หลังจากรายงานตัวเลขจีดีพีของไทยไตรมาส 3 ปี 2560 ของ สศช. ที่ขยายตัวที่ 4.3% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า หรือเติบโต 1.0% หากเทียบกับไตรมาสก่อนแบบปรับฤดูกาล ทำให้ GDP ของไทยในช่วง 9 เดือนแรกขยายตัวได้ที่ 3.8%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ตามเศรษฐกิจโลกที่เติบโตได้ดีเกินคาดอย่างต่อเนื่อง ช่วยหนุนการส่งออกสินค้าให้เติบโตได้ต่อในช่วงที่เหลือของปี โดยเศรษฐกิจคู่ค้าหลักทั้ง สหรัฐฯ ยูโรโซน ญี่ปุ่น และจีน ที่มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ ตลอดจนปีหน้า
- ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดเดือน ต.ค. 2560 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 1.83 แสนล้านบาท ขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 4.28 แสนล้านบาท รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 4.06 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน ต.ค. 2560 มี 3.04 แสนล้านบาท
- ต่างชาติขนเงินเข้าไทยแล้ว 2.89 แสนล้านบาท คาดสิ้นปีทะลัก 3 แสนล้านบาท ดัน'บาท'แข็งโป๊ก สูงสุดรอบ 30 เดือน ยังไร้แววปัจจัยกดอ่อนค่า เหตุเศรษฐกิจ-ส่งออกดี ปีหน้ามีเลือกตั้ง ลุ้น กฎหมายภาษีใหม่สหรัฐ 27 พ.ย.นี้ หากไม่ผ่าน ได้เห็น 32.50 บาท/ดอลล์ ธปท.ยังนิ่งปล่อยตามกลไกตลาด
*หุ้นเด่นวันนี้
- CENTEL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 54 บาท ปรับกำไรปี 2561 ขึ้น 5% หลังจาก CENTEL ชนะประมูลสิทธิการเช่าโรงแรมและศูนย์ประชุมที่ศูนย์ราชการเป็นเวลา 20 ปีเข้าในประมาณการ ทำให้กำไรปี 2561 โต 15% Y-Y เติบโตสูงกว่าเดิมที่คาด +9% Y-Y ส่วนกำไรปี 2560 คงประมาณการเดิมที่คาด +10% Y-Y โดยแนวโน้ม Q4/60 ได้รับอานิสงส์จาก High season ของธุรกิจโรงแรมและอาหาร และยิ่งได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปช่วยชาติ
- WICE (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) เป้า 6.10 บาท ปัจจุบันเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอย่าง จีน,ฮ่องกง,สหรัฐอเมริกา (ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงกว่า 28% ของการค้าประเทศไทย) ฟื้นตัวส่งผลบวกทางอ้อมต่อการนำเข้า-ส่งออกสินค้ากับประเทศไทยโดยมองว่าหุ้น Logistic อย่าง Freight fowarder จะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากเรื่องนี้ พร้อมปรับประมาณการกำไรปี 2561 ขึ้น 11% จากการรวมธุรกิจ UWT (Freight fowarder ที่ประเทศฮ่องกง,จีน) ในขณะที่สินค้าหลักอย่างชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (คิดเป็นสัดส่วนสูงกว่า 43% ของบริษัท) ยังคงเป็นพระเอกของการส่งออกไทย ส่งผลให้มองว่าทิศทางธุรกิจของ WICE ยังคงสดใสต่อ ทำให้คาดกำไรปี 2561 ใหม่ที่ 151 ล้านบาท เติบโต 32%YoY สะท้อน PEG 0.68x เทียบเท่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม
- BANPU (เอเอสแอล) "ซื้อ"เป้า 23 บาท ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของธุรกิจถ่านหิน โดยตลาดเอเซียแปซิฟิค ยังคงถูกคาดหมายว่าการเติบโตของความต้องการใช้ถ่านหินยังคงอยู่ในระดับสูง และปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่ากำลังผลิตใหม่ ทำให้ปัจจุบันราคาถ่านหินในภูมิภาคยังปรับเพิ่มต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน มุมมองต่อราคาถ่านหินที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ BANPU ยังมีความน่าสนใจในการลงทุน
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway up เนื่องจากเศรษฐกิจไทยดี โดยดูจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) งวดไตรมาส 3/60 ที่ออกมาดีกว่าตลาดคาดไว้ อีกทั้งเชื่อว่าเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) น่าจะเข้ามาต่อเนื่อง ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติได้ชะลอการขาย หลังเงินบาทแข็งค่าหลุดแนว 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดี
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างอยู่ในแดนบวกกันทั่วหน้า นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากเงินเยนอ่อนค่าหลังเงินดอลลาร์สหรัฐฯเช้านี้เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง อันเป็นผลจากเงินยูโรอ่อนค่า จากความไม่แน่นอนทางการเมืองในเยอรมนี ที่ยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้
ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะต้องติดตามคืนนี้เป็นถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยให้รอดูทิศทางนโยบายดอกเบี้ย และแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นอกจากนี้ให้ติดตามการเมืองในเยอรมนีต่อไปด้วย รวมถึงแผนการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ ที่วุฒิสภาจะพิจารณาในสัปดาห์นี้
พร้อมให้แนวรับ 1,710-1,712 จุด ส่วนแนวต้าน 1,720-1,726 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (20 พ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,430.33 จุด เพิ่มขึ้น 72.09 จุด (+0.31%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,582.14 จุด เพิ่มขึ้น 3.29 จุด (+0.13%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,790.71 จุด เพิ่มขึ้น 7.92 จุด (+0.12%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 195.03 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 10.04 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 109.38 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 23.67 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.18 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 7.57 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.47 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 17.83 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (20 พ.ย.60) 1,714.38 จุด เพิ่มขึ้น 5.00 จุด (+0.29%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 371.57 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 พ.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (20 พ.ย.60) ปิดที่ระดับ 56.09 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 46 เซนต์ หรือ 0.8%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (20 พ.ย.60) ที่ 7.18 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.85/86 แนวโน้มวันนี้อ่อนค่าตามยูโรจากความกังวลสถานการณ์การเมืองในเยอรมนี
- สศช.เผยเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 โต 4.3% สูงสุดรอบ 18 ไตรมาส อานิสงส์ส่งออกขยายตัว 12.5% พร้อมปรับ คาดการณ์ "จีดีพี" ปีนี้เป็น 3.9% เชื่อปีหน้า โตแตะ 4% ด้าน "สมคิด" เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นหวังฐานรากแข็งแรง ขณะธปท.จ่อปรับคาดการณ์ปีนี้เพิ่ม ด้านนักวิเคราะห์ชี้โตเกินคาด มองการบริโภคเริ่มฟื้นหนุนภาพรวมดีขึ้น
- สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) ได้ประกาศรายการสินค้าที่อาจจะถูกปลดออกจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) จำนวน 11 รายการ เนื่องจากมีระดับมูลค่าการนำเข้าใน ช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) 2560 เกินกว่าเพดานที่สหรัฐกำหนด และเปิดโอกาสให้แหล่งนำเข้าสินค้าดังกล่าวยื่นเรื่องขอให้พิจารณาขอบเขตจำกัดความจำเป็นต้องได้รับที่เป็นด้านการแข่งขัน (Competitive Need Limitations) ภายในวันที่ 5 ธ.ค.2560 นี้
- ตลาดหลักทรัพย์ เร่งเจาะฐาน นักลงทุนต่างชาติ เน้นกลุ่มประเทศที่ลงทุนไทยน้อย หวังเพิ่มสัดส่วน เน้นสร้างความรู้จักดึงเข้าไอพีโอ แจงสัดส่วนนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยสมดุล ขณะที่การซื้อขายโกลด์ดีที่เริ่มเปิดซื้อขาย ได้รับการตอบรับดีแจงมาตรการภาษีหนุน
- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC SCB) ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2560 เป็นเติบโต 3.8% จากเดิมที่ 3.6% หลังจากรายงานตัวเลขจีดีพีของไทยไตรมาส 3 ปี 2560 ของ สศช. ที่ขยายตัวที่ 4.3% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า หรือเติบโต 1.0% หากเทียบกับไตรมาสก่อนแบบปรับฤดูกาล ทำให้ GDP ของไทยในช่วง 9 เดือนแรกขยายตัวได้ที่ 3.8%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ตามเศรษฐกิจโลกที่เติบโตได้ดีเกินคาดอย่างต่อเนื่อง ช่วยหนุนการส่งออกสินค้าให้เติบโตได้ต่อในช่วงที่เหลือของปี โดยเศรษฐกิจคู่ค้าหลักทั้ง สหรัฐฯ ยูโรโซน ญี่ปุ่น และจีน ที่มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ ตลอดจนปีหน้า
- ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดเดือน ต.ค. 2560 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 1.83 แสนล้านบาท ขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 4.28 แสนล้านบาท รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 4.06 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน ต.ค. 2560 มี 3.04 แสนล้านบาท
- ต่างชาติขนเงินเข้าไทยแล้ว 2.89 แสนล้านบาท คาดสิ้นปีทะลัก 3 แสนล้านบาท ดัน'บาท'แข็งโป๊ก สูงสุดรอบ 30 เดือน ยังไร้แววปัจจัยกดอ่อนค่า เหตุเศรษฐกิจ-ส่งออกดี ปีหน้ามีเลือกตั้ง ลุ้น กฎหมายภาษีใหม่สหรัฐ 27 พ.ย.นี้ หากไม่ผ่าน ได้เห็น 32.50 บาท/ดอลล์ ธปท.ยังนิ่งปล่อยตามกลไกตลาด
*หุ้นเด่นวันนี้
- CENTEL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 54 บาท ปรับกำไรปี 2561 ขึ้น 5% หลังจาก CENTEL ชนะประมูลสิทธิการเช่าโรงแรมและศูนย์ประชุมที่ศูนย์ราชการเป็นเวลา 20 ปีเข้าในประมาณการ ทำให้กำไรปี 2561 โต 15% Y-Y เติบโตสูงกว่าเดิมที่คาด +9% Y-Y ส่วนกำไรปี 2560 คงประมาณการเดิมที่คาด +10% Y-Y โดยแนวโน้ม Q4/60 ได้รับอานิสงส์จาก High season ของธุรกิจโรงแรมและอาหาร และยิ่งได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปช่วยชาติ
- WICE (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) เป้า 6.10 บาท ปัจจุบันเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอย่าง จีน,ฮ่องกง,สหรัฐอเมริกา (ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงกว่า 28% ของการค้าประเทศไทย) ฟื้นตัวส่งผลบวกทางอ้อมต่อการนำเข้า-ส่งออกสินค้ากับประเทศไทยโดยมองว่าหุ้น Logistic อย่าง Freight fowarder จะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากเรื่องนี้ พร้อมปรับประมาณการกำไรปี 2561 ขึ้น 11% จากการรวมธุรกิจ UWT (Freight fowarder ที่ประเทศฮ่องกง,จีน) ในขณะที่สินค้าหลักอย่างชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (คิดเป็นสัดส่วนสูงกว่า 43% ของบริษัท) ยังคงเป็นพระเอกของการส่งออกไทย ส่งผลให้มองว่าทิศทางธุรกิจของ WICE ยังคงสดใสต่อ ทำให้คาดกำไรปี 2561 ใหม่ที่ 151 ล้านบาท เติบโต 32%YoY สะท้อน PEG 0.68x เทียบเท่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม
- BANPU (เอเอสแอล) "ซื้อ"เป้า 23 บาท ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของธุรกิจถ่านหิน โดยตลาดเอเซียแปซิฟิค ยังคงถูกคาดหมายว่าการเติบโตของความต้องการใช้ถ่านหินยังคงอยู่ในระดับสูง และปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่ากำลังผลิตใหม่ ทำให้ปัจจุบันราคาถ่านหินในภูมิภาคยังปรับเพิ่มต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน มุมมองต่อราคาถ่านหินที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ BANPU ยังมีความน่าสนใจในการลงทุน
ตลาดหุ้นเอเชียดีดตัวขึ้นเช้านี้ ตามทิศทางวอลล์สตรีท
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกเมื่อคืน ขานรับดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนต.ค.
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,456.79 จุด เพิ่มขึ้น 195.03 จุด, +0.88% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,382.36 จุด ลดลง 10.04 จุด, -0.30% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 29,369.69 จุด เพิ่มขึ้น 109.38 จุด, +0.37% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,688.22 จุด เพิ่มขึ้น 23.67 จุด, +0.22% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,533.85 จุด เพิ่มขึ้น 6.18 จุด, +0.24% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,394.16 จุด เพิ่มขึ้น 7.57 จุด, +0.22% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,718.83 จุด เพิ่มขึ้น 0.47 จุด, +0.03% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,339.81 จุด เพิ่มขึ้น 17.83 จุด, +0.21%
ทั้งนี้ Conference Board ระบุว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ประจำเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 1.2% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นเพียง 0.6%
ดัชนี LEI ถือเป็นดัชนีบ่งชี้ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยคำนวณจากตัวเลขเศรษฐกิจ 10 รายการ ซึ่งรวมถึง คำสั่งซื้อใหม่ของภาคการผลิต, ราคาหุ้น และตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนต.ค.จากเฟดชิคาโก และยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค.
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกเมื่อคืน ขานรับดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนต.ค.
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,456.79 จุด เพิ่มขึ้น 195.03 จุด, +0.88% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,382.36 จุด ลดลง 10.04 จุด, -0.30% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 29,369.69 จุด เพิ่มขึ้น 109.38 จุด, +0.37% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,688.22 จุด เพิ่มขึ้น 23.67 จุด, +0.22% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,533.85 จุด เพิ่มขึ้น 6.18 จุด, +0.24% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,394.16 จุด เพิ่มขึ้น 7.57 จุด, +0.22% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,718.83 จุด เพิ่มขึ้น 0.47 จุด, +0.03% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,339.81 จุด เพิ่มขึ้น 17.83 จุด, +0.21%
ทั้งนี้ Conference Board ระบุว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ประจำเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 1.2% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นเพียง 0.6%
ดัชนี LEI ถือเป็นดัชนีบ่งชี้ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยคำนวณจากตัวเลขเศรษฐกิจ 10 รายการ ซึ่งรวมถึง คำสั่งซื้อใหม่ของภาคการผลิต, ราคาหุ้น และตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนต.ค.จากเฟดชิคาโก และยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค.
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: เงินปอนด์แข็งค่า สกัดฟุตซี่ปิดขยับขึ้นเพียง 8.78 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (20 พ.ย.) โดยแรงบวกในตลาดถูกสกัดจากปัจจัยสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและยูโร ซึ่งกดดันหุ้นกลุ่มส่งออกให้ปรับตัวลดลง
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 8.78 จุด หรือ +0.12% ปิดที่ 7,389.46 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ถูกกดดันจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในเยอรมนี หลังพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) ของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล คว้าน้ำเหลวในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม 3 ฝ่ายเมื่อวานนี้ ส่งผลให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า เยอรมนีอาจจัดการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนด
เมื่อคืนนี้ สกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นที่ระดับ 1.3241 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับระดับ 1.3216 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนวันศุกร์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับยูโรที่ระดับ 1.1285 ยูโร จากระดับ 1.1207 ยูโร
ทั้งนี้การแข็งค่าของสกุลเงินปอนด์จะส่งผลกระทบต่อหุ้นบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน เนื่องจากบริษัทเหล่านี้จะมีเงินรายได้จากการดำเนินงานในต่างประเทศลดลง หากมีการนำเงินสกุลต่างประเทศไปแลกเป็นเงินปอนด์
หุ้นบริษัทข้ามชาติที่น่าจับตา หุ้นสเมอร์ฟิต แคปปา กรุ๊ป ขยับลง 0.4% และหุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ส ลดลง 0.7%
อย่างไรก็ตาม ดัชนี FTSE 100 ได้รับแรงหนุนให้ปิดบวกจากหุ้นกลุ่มสร้างบ้านที่ปรับตัวขึ้นกันทั้งกระดานเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นบาร์ราตต์ เดเวลลอปเมนต์ส พุ่งขึ้น 1% หุ้นเทย์เลอร์ วิมปีย์ เพิ่มขึ้น 0.4% และหุ้นเพอร์ซิมมอน ขยับขึ้น 0.3%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (20 พ.ย.) โดยแรงบวกในตลาดถูกสกัดจากปัจจัยสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและยูโร ซึ่งกดดันหุ้นกลุ่มส่งออกให้ปรับตัวลดลง
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 8.78 จุด หรือ +0.12% ปิดที่ 7,389.46 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ถูกกดดันจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในเยอรมนี หลังพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) ของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล คว้าน้ำเหลวในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม 3 ฝ่ายเมื่อวานนี้ ส่งผลให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า เยอรมนีอาจจัดการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนด
เมื่อคืนนี้ สกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นที่ระดับ 1.3241 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับระดับ 1.3216 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนวันศุกร์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับยูโรที่ระดับ 1.1285 ยูโร จากระดับ 1.1207 ยูโร
ทั้งนี้การแข็งค่าของสกุลเงินปอนด์จะส่งผลกระทบต่อหุ้นบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน เนื่องจากบริษัทเหล่านี้จะมีเงินรายได้จากการดำเนินงานในต่างประเทศลดลง หากมีการนำเงินสกุลต่างประเทศไปแลกเป็นเงินปอนด์
หุ้นบริษัทข้ามชาติที่น่าจับตา หุ้นสเมอร์ฟิต แคปปา กรุ๊ป ขยับลง 0.4% และหุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ส ลดลง 0.7%
อย่างไรก็ตาม ดัชนี FTSE 100 ได้รับแรงหนุนให้ปิดบวกจากหุ้นกลุ่มสร้างบ้านที่ปรับตัวขึ้นกันทั้งกระดานเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นบาร์ราตต์ เดเวลลอปเมนต์ส พุ่งขึ้น 1% หุ้นเทย์เลอร์ วิมปีย์ เพิ่มขึ้น 0.4% และหุ้นเพอร์ซิมมอน ขยับขึ้น 0.3%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขณะตลาดถูกกดดันจากปัจจัยการเมืองเยอรมนี
ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (20 พ.ย.) เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโรช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทส่งออก อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในเยอรมนี หลังจากพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) ของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล คว้าน้ำเหลวในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม
ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้น 0.7% ปิดที่ 386.39 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,058.66 จุด เพิ่มขึ้น 64.93 จุด หรือ +0.50% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,340.45 จุด เพิ่มขึ้น 21.28 จุด หรือ +0.40% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,389.46 จุด เพิ่มขึ้น 8.78 จุด หรือ +0.12%
สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนบริษัทข้ามชาติและบริษัทที่ต้องพึ่งพาการส่งออก โดยหุ้นโรช โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ ทะยานขึ้น 5.9% ส่วนหุ้น RWE พุ่งขึ้น 2.8% หลังจากบริษัทประกาศลดสัดส่วนการถือครองหุ้นในบริษัท Innogy ซึ่งเป็นในเครือ
หุ้นกลุ่มสร้างบ้านปรับตัวขึ้น โดยหุ้นบาร์ราตต์ เดเวลลอปเมนต์ส พุ่งขึ้น 1% หุ้นเทย์เลอร์ วิมปีย์ เพิ่มขึ้น 0.4% และหุ้นเพอร์ซิมมอน ขยับขึ้น 0.3%
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในเยอรมนี หลังจากพรรค CDU ของนายกรัฐมนตรีแมร์เคิล คว้าน้ำเหลวในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม 3 ฝ่าย ขณะที่นายแฟรงก์-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีเยอรมนี ได้ออกมาเรียกร้องให้พรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาในรัฐสภา ร่วมมือกันในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อเห็นแก่ประเทศชาติ
ทั้งนี้ การประชุมร่วมระหว่างพรรครัฐบาลผสมซึ่งนำโดยนางแมร์เคิลจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม (CDU/CSU), พรรค FDP และพรรคกรีน (Green Party) ยังคงไม่สามารถหาข้อสรุปได้ หลังที่ประชุมไม่สามารถหาข้อตกลงเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือใหม่ของพรรครัฐบาลผสมภายใต้ชื่อ "กรอบความร่วมมือจาไมก้า" (Jamaica Coalition) เนื่องจากมีความขัดแย้งกันในประเด็นผู้อพยพและสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม นางแมร์เคิลกล่าวว่า ตนพร้อมจะเป็นผู้นำพรรค CDU ในการชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หากมีการเลือกตั้งใหม่ หลังจากที่ประสบความล้มเหลวในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม 3 ฝ่ายเมื่อวานนี้
กฎหมายของเยอรมนีระบุว่า หากพรรคการเมืองต่างๆไม่สามารถเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ก็จะต้องมีการยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่
ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (20 พ.ย.) เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโรช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทส่งออก อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในเยอรมนี หลังจากพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) ของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล คว้าน้ำเหลวในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม
ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้น 0.7% ปิดที่ 386.39 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,058.66 จุด เพิ่มขึ้น 64.93 จุด หรือ +0.50% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,340.45 จุด เพิ่มขึ้น 21.28 จุด หรือ +0.40% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,389.46 จุด เพิ่มขึ้น 8.78 จุด หรือ +0.12%
สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนบริษัทข้ามชาติและบริษัทที่ต้องพึ่งพาการส่งออก โดยหุ้นโรช โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ ทะยานขึ้น 5.9% ส่วนหุ้น RWE พุ่งขึ้น 2.8% หลังจากบริษัทประกาศลดสัดส่วนการถือครองหุ้นในบริษัท Innogy ซึ่งเป็นในเครือ
หุ้นกลุ่มสร้างบ้านปรับตัวขึ้น โดยหุ้นบาร์ราตต์ เดเวลลอปเมนต์ส พุ่งขึ้น 1% หุ้นเทย์เลอร์ วิมปีย์ เพิ่มขึ้น 0.4% และหุ้นเพอร์ซิมมอน ขยับขึ้น 0.3%
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในเยอรมนี หลังจากพรรค CDU ของนายกรัฐมนตรีแมร์เคิล คว้าน้ำเหลวในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม 3 ฝ่าย ขณะที่นายแฟรงก์-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีเยอรมนี ได้ออกมาเรียกร้องให้พรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาในรัฐสภา ร่วมมือกันในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อเห็นแก่ประเทศชาติ
ทั้งนี้ การประชุมร่วมระหว่างพรรครัฐบาลผสมซึ่งนำโดยนางแมร์เคิลจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม (CDU/CSU), พรรค FDP และพรรคกรีน (Green Party) ยังคงไม่สามารถหาข้อสรุปได้ หลังที่ประชุมไม่สามารถหาข้อตกลงเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือใหม่ของพรรครัฐบาลผสมภายใต้ชื่อ "กรอบความร่วมมือจาไมก้า" (Jamaica Coalition) เนื่องจากมีความขัดแย้งกันในประเด็นผู้อพยพและสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม นางแมร์เคิลกล่าวว่า ตนพร้อมจะเป็นผู้นำพรรค CDU ในการชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หากมีการเลือกตั้งใหม่ หลังจากที่ประสบความล้มเหลวในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม 3 ฝ่ายเมื่อวานนี้
กฎหมายของเยอรมนีระบุว่า หากพรรคการเมืองต่างๆไม่สามารถเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ก็จะต้องมีการยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 72.09 จุด รับแรงซื้อหุ้นเทคโนฯ,ข้อมูลศก.สดใส
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 พ.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นเวอไรซอน คอมมิวนิเคชั่น ที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากได้รับการปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนจากนักวิเคราะห์ของธนาคารเวลส์ ฟาร์โก นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนต.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,430.33 จุด เพิ่มขึ้น 72.09 จุด หรือ+0.31% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,582.14 จุด เพิ่มขึ้น 3.29 จุด หรือ +0.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,790.71 จุด เพิ่มขึ้น 7.92 จุด หรือ +0.12%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นเวอไรซอน พุ่งขึ้น 1.7% หลังจากนักวิเคราะห์ของธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเวอไรซอน ขณะที่หุ้นไมโครซอฟท์ ขยับขึ้น 0.2%
ส่วนหุ้น Cavium Inc ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเซมิคอนดัคเตอร์รายใหญ่ ทะยานขึ้น 11% หลังจากมีรายงานว่า บริษัทมาร์เวลล์ เทคโนโลยี ได้ลงนามในข้อตกลงซื้อกิจการ Cavium Inc มูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์ โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นมาร์เวลล์ เทคโนโลยี พุ่งขึ้น 6.4%
หุ้นอาลีบาบา ปรับตัวขึ้น 1.6% หลังจากอาลีบาบาประกาศแผนลงทุนมูลค่า 2.87 พันล้านดอลลาร์ ด้วยการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 36.2% ในบริษัทซัน อาร์ท รีเทล กรุ๊ป ธุรกิจไฮเปอร์มาร์ทชั้นนำของจีน ซึ่งนับเป็นความพยายามของอาลีบาบาที่จะรุกคืบสู่ธุรกิจออฟไลน์
หุ้นเดลฟี ออโตโมทีฟ พุ่งขึ้น 3.5% หลังจากนักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา ได้แนะนำให้นักลงทุน "ซื้อ" หุ้นดังกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ประจำเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 1.2% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นเพียง 0.6%
ทั้งนี้ ดัชนี LEI ถือเป็นดัชนีบ่งชี้ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยคำนวณจากตัวเลขเศรษฐกิจ 10 รายการ ซึ่งรวมถึง คำสั่งซื้อใหม่ของภาคการผลิต, ราคาหุ้น และตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
นักลงทุนยังคงจับตาดูว่าร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐจะผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาได้หรือไม่ หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้มีมติผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม มีกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตจะไม่สนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับดังกล่าว เนื่องจากวุฒิสมาชิกรีพับลิกันได้สร้างเงื่อนไขใหม่ที่เป็นอุปสรรคต่อการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว ด้วยการพ่วงการยกเลิกเนื้อหาส่วนหนึ่งของกฎหมายโอบามาแคร์เข้ากับแผนการปฏิรูปภาษี
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนต.ค.จากเฟดชิคาโก และยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค.
--อินโฟเควสท์
OO2566
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 พ.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นเวอไรซอน คอมมิวนิเคชั่น ที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากได้รับการปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนจากนักวิเคราะห์ของธนาคารเวลส์ ฟาร์โก นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนต.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,430.33 จุด เพิ่มขึ้น 72.09 จุด หรือ+0.31% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,582.14 จุด เพิ่มขึ้น 3.29 จุด หรือ +0.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,790.71 จุด เพิ่มขึ้น 7.92 จุด หรือ +0.12%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นเวอไรซอน พุ่งขึ้น 1.7% หลังจากนักวิเคราะห์ของธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเวอไรซอน ขณะที่หุ้นไมโครซอฟท์ ขยับขึ้น 0.2%
ส่วนหุ้น Cavium Inc ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเซมิคอนดัคเตอร์รายใหญ่ ทะยานขึ้น 11% หลังจากมีรายงานว่า บริษัทมาร์เวลล์ เทคโนโลยี ได้ลงนามในข้อตกลงซื้อกิจการ Cavium Inc มูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์ โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นมาร์เวลล์ เทคโนโลยี พุ่งขึ้น 6.4%
หุ้นอาลีบาบา ปรับตัวขึ้น 1.6% หลังจากอาลีบาบาประกาศแผนลงทุนมูลค่า 2.87 พันล้านดอลลาร์ ด้วยการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 36.2% ในบริษัทซัน อาร์ท รีเทล กรุ๊ป ธุรกิจไฮเปอร์มาร์ทชั้นนำของจีน ซึ่งนับเป็นความพยายามของอาลีบาบาที่จะรุกคืบสู่ธุรกิจออฟไลน์
หุ้นเดลฟี ออโตโมทีฟ พุ่งขึ้น 3.5% หลังจากนักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา ได้แนะนำให้นักลงทุน "ซื้อ" หุ้นดังกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ประจำเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 1.2% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นเพียง 0.6%
ทั้งนี้ ดัชนี LEI ถือเป็นดัชนีบ่งชี้ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยคำนวณจากตัวเลขเศรษฐกิจ 10 รายการ ซึ่งรวมถึง คำสั่งซื้อใหม่ของภาคการผลิต, ราคาหุ้น และตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
นักลงทุนยังคงจับตาดูว่าร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐจะผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาได้หรือไม่ หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้มีมติผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม มีกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตจะไม่สนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับดังกล่าว เนื่องจากวุฒิสมาชิกรีพับลิกันได้สร้างเงื่อนไขใหม่ที่เป็นอุปสรรคต่อการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว ด้วยการพ่วงการยกเลิกเนื้อหาส่วนหนึ่งของกฎหมายโอบามาแคร์เข้ากับแผนการปฏิรูปภาษี
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนต.ค.จากเฟดชิคาโก และยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค.
--อินโฟเควสท์
OO2566