- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 06 November 2017 11:41
- Hits: 1840
ดัชนีเช้านี้รีบาวด์ขานรับน้ำมันขึ้นหนุนกลุ่มพลังงาน,เก็งกำไรงบฯบจ.Q3/60
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้ม
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสรีบาวด์หลังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น โดยน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดทำสถิติสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีเมื่อวันศุกร์ ก็น่าจะช่วยให้มีแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะในกลุ่มต้นน้ำทั้ง PTTEP และ PTT เข้ามา ขณะที่ยังต้องติดตามการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/60 ของบจ.ไทยที่จะทยอยออกมาจนถึงสัปดาห์หน้า ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 8 พ.ย.นี้ คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.5% ต่อไป
ด้านปัจจัยต่างประเทศยังคงทรงตัว หลังจากที่ตลาดรับรู้เรื่องประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ และแผนปฏิรูปภาษีฉบับใหม่ของสหรัฐฯไปแล้ว โดยในช่วงนี้คงมีเพียงการประกาศผลประกอบการของบจ.ในต่างประเทศที่มีออกมา ซึ่งหากออกมาดีก็จะช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวขึ้น ขณะที่ยังต้องจับตาการ Rebalance ของดัชนี MSCI ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักการลงทุนของประเทศอย่างไร รวมถึงจำนวนหุ้นที่จะเข้าและออกอย่างไร โดย MSCI จะประกาศออกมาในวันที่ 14 พ.ย.ตามเวลาไทย
นายกิติชาญ เห็นว่าแม้ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยอาจจะถูกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ที่เลือกขายทำกำไรออกมาบ้าง แต่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะไม่ปรับตัวลงมากนักเพราะยังมีแรงซื้อจากเม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เข้ามาในช่วงปลายปีอย่างต่อเนื่อง
พร้อมให้แนวรับ 1,697 และ 1,687 จุด ส่วนแนวต้าน 1,707 และ 1,715 จุด
ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส คาดการณ์ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นไปได้ เป็นผลจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐส่วนใหญ่ออกมาเป็นบวก ขณะที่คาดแรงขายจากต่างชาติน่าจะลดลง ประกอบกับยังไม่มีปัจจัยลบเข้ามา โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามคือการที่รัฐบาลไทยจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้
ส่วนการซื้อขายในตลาดภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่เช้านี้เป็นบวกเล็กน้อย และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรง พร้อมให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยที่ 1,690-1,725 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (3 พ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,539.19 จุด เพิ่มขึ้น 22.93 จุด (+0.10%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,587.84 จุด เพิ่มขึ้น 7.99 จุด (+0.31%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,764.44 จุด เพิ่มขึ้น 49.49 จุด (+0.74%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 73.84 จุด ,ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.05 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 12.74 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 55.79 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 0.68 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 1.95 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.32 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 16.92 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (3 พ.ย.60) 1,701.47 จุด ลดลง 0.46 จุด (-0.03%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,313.51 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 พ.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (3 พ.ย.60) ปิดที่ระดับ 55.64 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.10 ดอลลาร์ หรือ 2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (3 พ.ย.60) ที่ 7.19 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.18 แนวโน้มอ่อนค่าหลังดอลล์แข็งค่า ตลาดจับตาประชุมกนง.กลางสัปดาห์นี้
- คลังจับตาเศรษฐกิจฐานราก"ทรงตัว"สวนทางภาพใหญ่ฟื้น สั่ง สศค.หามาตรการกระตุ้นเพิ่ม มุ่งลงทุนระดับท้องถิ่น จี้แก้ไขอุปสรรคใช้งบประมาณ คาดแล้วเสร็จใน 2 สัปดาห์ "ออมสิน"เผยดัชนีเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากขยับ อานิสงส์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐหนุน ด้านนักเศรษฐศาสตร์-ภาคเอกชนระบุธุรกิจปรับตัวดีขึ้น หวังปีหน้ากำลังซื้อขยายตัวชัดเจน
- คณะกรรมการอีอีซีรับเอกชนชะลอลงทุน เพราะรอความชัดเจนกฎหมาย ด้านกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.)เผย 10 เดือนแรกปีนี้ ยอดขอรง.4 ในพื้นที่ภาคตะวันออกวูบ 9%
- อานิสงส์เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ดันผลงานจัดเก็บรายได้"สรรพากร"เดือนแรกปีงบ 2561 ทะยานแตะ 1 แสนล้านบาท เกินเป้าหมาย 700 ล้านบาท มั่นใจทั้งปีรีดภาษีไม่พลาดเป้าหมายที่ 1.9 ล้านล้านบาท
- ส.อ.ท.อยู่ระหว่างประสานงานนำนักลงทุนสมาชิกเดินทางไปติดต่อเจรจาร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติที่มีเทคโนโลยีสูงให้เข้ามาลงทุนในไทยโดยตรง โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติจากเยอรมนี เม็กซิโก ฝรั่งเศส ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อิสราเอล ญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน เพื่อให้การลงทุนของภาคเอกชนมีความคืบหน้า ชัดเจนโดยเร็ว แม้ว่าที่ผ่านมาภาครัฐจะออกเดินสายโรดโชว์ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ เพื่อเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายแล้วก็ตาม
- แหล่งข่าวจากคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) เปิดเผยว่า การประชุมเมื่อวันที่ 31 ต.ค.เห็นชอบหลักการแนวทางการบริหารจัดการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและร่างระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องประมาณ 5 ประเด็นเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายให้ทันกำหนดลอยตัวราคาน้ำตาลทราย 1 ธ.ค.นี้ ซึ่งได้หารือกับทุกภาคส่วนแล้ว โดยการคำนวณราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานจะอ้างอิงราคาน้ำตาลทรายขาวตลาดลอนดอนนัมเบอร์ไฟว์บวกราคาไทยพรีเมียม ซึ่งพิจารณาราคาเฉลี่ยเป็นรายเดือน เบื้องต้นคาดว่าการลอยตัวจะส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 2-3 บาท/กิโลกรัม (กก.)
- อธิบดีกรมสรรพากร ยอมรับเตรียมนำมาตรการช็อปช่วยชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเร็วๆนี้ หักค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สุงสุด 15,000 บาท ด้านภาคเอกชนหลายรายมองว่าเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดี และหลายหน่วยงานปรับเป้าหมายจีดีพีของไทยปีนี้สูงขึ้น ทำให้หลายฝ่ายมองว่าอาจไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการช็อปช่วยชาติในช่วงปลายปีเป็นปีที่ 3
*หุ้นเด่นวันนี้
- NOK หลังหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1,135,999,882 หุ้น จะเข้าซื้อขายเป็นวันแรกในวันนี้ (6 พ.ย.) หลังเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ตั้งแต่วันที่ 16-20 ต.ค.60 ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 1.50 บาท
- IRPC (ทรีนีตี้) แนะ"ซื้อเก็งกำไร" ราคาเป้าหมาย 7 บาท/หุ้น หลังประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 ออกมามีกำไรสุทธิ 3,248 ล้านบาท +164% qoq , +149% yoy ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยปริมาณการกลั่นที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.01 แสนบาร์เรล/วัน เพิ่มจากไตรมาส 2 และค่าการกลั่นที่ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3 ขณะที่ Product to Feed Margin ดีขึ้น 2.5% จากSpread PP-Naphtha และ กลุ่ม Styrenics ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4 อ่อนตัวเล็กน้อย จากค่าการกลั่นที่ปรับตัวลดลง และ Spread กลุ่มปิโตรเคมีที่แคบลง แต่ยังได้แรงหนุนจากกำลังการกลั่นและการผลิตปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4
- INTUCH (ธนชาต) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 62 บาท/หุ้น จากส่วนใหญ่ของกำไรมาจาก ADVANC จึงมีกำไรฟื้นตัวดี เติบโต 10%y-y และ 2%q-q ตามคาด ปัจจัยหนุนการเติบโต ได้แก่ ส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC สูงขึ้น และภาษีจ่ายที่ลดลง ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น 16%y-y และ 3%q-q อัตราภาษีอยู่ที่ 2.4% เทียบกับ 2.2% ใน Q2/60 และ 3.4% ใน Q3/59 ด้านกำไรจาก THCOM ยังคงอ่อนแอ เนื่องจากรายได้จากไทยคม 4 ในออสเตรเลียและไทยที่ลดลง ตามการชะลอตัวลงของอุตสาหกรรม broadcasting ซึ่งทำให้ utilization rate ลดลง ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นและต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ โดยส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC จะยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่การดำเนินงานของ THCOM ยังคงต้องใช้เวลากว่าจะฟื้นตัว
ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ นักลงทุนจับตา ทรัมป์ เยือนประเทศเอเชีย
ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ในภารกิจเดินทางเยือนประเทศในเอเชียอย่างเป็นทางการรวม 11 วัน ซึ่งถือเป็นกำหนดการเยือนเอเชียที่ยาวนานที่สุดในรอบ 25 ปีของประธานาธิบดีสหรัฐ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,612.96 จุด เพิ่มขึ้น 73.84 จุด, +0.33% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,369.69 จุด ลดลง 2.05 จุด, -0.06% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,616.35 จุด เพิ่มขึ้น 12.74 จุด, +0.04% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,856.56 จุด เพิ่มขึ้น 55.79 จุด, +0.52% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,557.29 จุด ลดลง 0.68 จุด, -0.03% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,380.36 จุด ลดลง 1.95 จุด, -0.06% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,743.25 จุด เพิ่มขึ้น 2.32 จุด, +0.13% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,393.05 จุด เพิ่มขึ้น 16.92 จุด, +0.20%
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ ได้เดินทางถึงประเทศญี่ปุ่นเมื่อช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และได้พบกับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ โดยทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะยกระดับความเป็นพันธมิตรเพื่อร่วมแก้ไขวิกฤตคาบสมุทรเกาหลี
ผู้นำสหรัฐจะเดินทางต่อไปยังเกาหลีใต้ในวันอังคารที่ 7 พ.ย. เพื่อประชุมหารือกับประธานาธิบดีมูน แจอิน โดยคาดว่าหัวข้อหลักของการประชุมระหว่างสองผู้นำครั้งนี้จะครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: เงินปอนด์แข็งค่าสกัดฟุตซี่ปิดบวกเพียง 5.03 จุด แต่ยังทำนิวไฮ
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 พ.ย.) โดยดัชนี FTSE 100 ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถึงแม้ในระหว่างวัน แรงบวกในตลาดจะถูกสกัดจากสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 5.03 จุด หรือ +0.07% ปิดที่ 7,560.35 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ดัชนี FTSE 100 ถูกกดดันจากสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ภายหลังจากที่สหรัฐได้เปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค.ที่ต่ำกว่าคาด โดยเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.3072 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3058 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กในคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทั้งนี้รายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้น อยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ดังนั้นการแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 261,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 310,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราค่าแรงต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อนั้น ลดลง 1 เพนนี สู่ระดับ 26.53 ดอลลาร์/ชม.
หุ้นบริษัทข้ามชาติที่น่าจับตา หุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ส ร่วงลง 1% หุ้นคอนวาเทค กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีการแพทย์ระดับชั้นนำ ดิ่งลง 2.3% และหุ้นไชร์ ผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์รายใหญ่ ขยับลง 0.3%
หุ้นอินเตอร์เนชั่นแนล คอนโซลิเดทเต็ด แอร์ไลน์ส กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินบริติช แอร์เวย์ ปรับตัวลง 1.5% แม้ในระหว่างวันหุ้นจะดีดตัวขึ้นหลังจากที่บริษัทได้ประกาศปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้และปรับเป้าหมายระยะยาวของบริษัท
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของอังกฤษที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น มาร์กิต/ซีไอพีเอส เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหราชอาณาจักร อยู่ที่ระดับ 55.6 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน จากระดับ 53.6 ในเดือนก.ย. ด้วยแรงหนุนจากคำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้น
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวกจากอานิสงส์ยูโรอ่อนค่า
ตลาดหุ้นยุโรปปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 พ.ย.) โดยดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันและดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนต่างทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถึงแม้ในระหว่างวัน แรงบวกในตลาดหุ้นยุโรปจะถูกสกัดจากรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทจดทะเบียนยักษ์ใหญ่บางรายก็ตาม
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 1.12 จุด หรือ 0.28% ปิดที่ 396.06 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,517.97 จุด เพิ่มขึ้น 7.47 จุด หรือ +0.14% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,478.86 จุด เพิ่มขึ้น 37.93 จุด หรือ +0.28% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,560.35 จุด เพิ่มขึ้น 5.03 จุด หรือ +0.07%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับอานิสงส์จากการที่สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยค่าเงินยูโรร่วงลง -0.4118% สู่ระดับ 1.1605 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1658 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กในคืนวันพฤหัสบดี ส่วนภาพรวมตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ยูโรอ่อนค่าลงราว 0.1% เมื่อเทียบกับดอลลาร์
หุ้นโซซิเอเต เจเนอราล ร่วงลง 4.1% หลังธนาคารยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสรายนี้ เปิดเผยว่า กำไรในไตรมาส 3 ของทางธนาคารทรุดฮวบลง 15% สู่ระดับ 932 ล้านยูโร เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยต่ำและปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ
หุ้นเวสตัส วินด์ ซิสเต็มส์ บริษัทผู้ผลิตกังหันลมรายใหญ่ของเดนมาร์ก ดิ่งลง 8.8% หลังสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสสหรัฐได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงแผนปรับแก้กฎเกณฑ์การลดหย่อนภาษีสำหรับพลังงานหมุนเวียนด้วย โดยในตลาดหุ้นสเปน หุ้นซีเมนส์ กาเมสซา รีนิวเอเบิล อีเนอร์จี ผู้ผลิตกังหันลมรายใหญ่ของสเปน ร่วงลง 3.6%
หุ้นเรโนลต์ พุ่งขึ้น 3.9% หลังผู้ผลิตยานยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติฝรั่งเศสเปิดเผยว่า บริษัทได้ซื้อหุ้นบางส่วนของตนกลับคืนมาจากรัฐบาลแดนน้ำหอม
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 22.93 จุด รับผลประกอบการ แอปเปิล
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำนิวไฮเมื่อวันศุกร์ (3 พ.ย.) ด้วยปัจจัยบวกจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิล อิงค์ ซึ่งช่วยหนุนหุ้นแอปเปิลทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ หุ้นแอปเปิลยังหนุนดัชนี NASDAQ ปิดทำนิวไฮครั้งที่ 63 ของปีนี้ ซึ่งทุบสถิติเดิมที่เคยทำนิวไฮได้สูงสุดจำนวน 62 ครั้งในปี 2523
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,539.19 จุด เพิ่มขึ้น 22.93 จุด หรือ +0.10% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,764.44 จุด เพิ่มขึ้น 49.49 จุด หรือ +0.74% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,587.84 จุด เพิ่มขึ้น 7.99 จุด หรือ +0.31%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ ดัชนีดาวโจนส์, NASDAQ และ S&P500 ปิดทำนิวไฮในวันเดียวกันเป็นครั้งที่ 25 ของปีนี้ ด้วยแรงหนุนจากการทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นแอปเปิล หลังแอปเปิลเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรและรายได้ในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 4 ของปีงบการเงินของบริษัท ในระดับที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยหุ้นแอปเปิล อิงค์ พุ่งขึ้น 2.6 เมื่อคืนนี้
แอปเปิลระบุว่า บริษัทมีกำไร 2.07 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 1.87 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่รายได้ของแอปเปิลอยู่ที่ระดับ 5.26 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 5.07 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ แอปเปิลสามารถจำหน่าย iPhone รวม 46.7 ล้านเครื่องในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 46 ล้านเครื่อง โดยยอดขาย iPhone ในช่วงเวลาดังกล่าว รวมถึง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 22 ก.ย. แต่ไม่รวม iPhone X ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 3 พ.ย.
ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนบางส่วนจากข้อมูลภาคบริการที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคบริการของ ISM ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 60.1 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเปิดตัวดัชนีดังกล่าวในปี 2551 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงสู่ระดับ 58.5
ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 261,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งแม้จะต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 310,000 ตำแหน่ง แต่ก็เป็นการบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐยังคงมีการขยายตัว โดยนักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรอย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป
CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสกว่า 98% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.
ส่วนอัตราการว่างงานของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 4.1% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าจะทรงตัวที่ 4.2%
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนส.ค.
นอกจากนี้ ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ที่ไม่รวมหมวดอาวุธและเครื่องบิน พุ่งขึ้น 1.7% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่แล้ว หลังจากปรับตัวขึ้น 1.4% ในเดือนส.ค. โดยยอดสั่งซื้อดังกล่าวได้รับการจับตาว่าเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่น และแผนการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ
นักลงทุนยังจับตาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ สามารถผลักดันกฎหมายปฏิรูประบบภาษีได้เป็นผลสำเร็จ หลังจากที่สมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสได้เปิดเผยรายละเอียดร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับใหม่ ซึ่งรวมถึงเป้าหมายในการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 20% จากระดับ 35% ในปัจจุบัน
--อินโฟเควสท์
OO1966