- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Friday, 29 September 2017 13:31
- Hits: 2178
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับฐานช่วงสั้นคาด Fund Flow ชะลอหลังตปท.เล็งลดใช้นโยบายผ่อนคลายการเงิน
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยเช้านี้น่าจะยังมีความผันผวน แม้ภาพรวมจากปัจจัยภายในประเทศจะเป็นบวก ทั้งเรื่องที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับหลักการของร่างกฎหมายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือร่างกฎหมาย EEC แล้ว ,ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่มีแนวโน้มที่ดี ทำให้หลายฝ่ายมีการปรับคาดการณ์ GDP ในปีนี้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ด้านปัจจัยต่างประเทศยังเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลให้กับตลาด ทั้งในส่วนของสถานการณ์คาบสมุทรเกาหลี และแนวโน้มที่ทั่วโลกจะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินลดลงก็จะกดดันให้ Fund Flow ชะลอการลงทุนชั่วคราว โดยเมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติก็มียอดขายสุทธิออกมาค่อนข้างมาก ประกอบกับตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ก็อาจจะทำให้เกิดการปรับฐานได้ในระยะสั้น ขณะที่ตลาดหุ้นภูมิภาคเช้านี้มีทั้งบวกและลบสลับกันเคลื่อนไหวไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
พร้อมให้แนวรับ 1,660 จุด และแนวต้านที่ 1,680 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (28 ก.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,381.20 จุด เพิ่มขึ้น 40.49 จุด (+0.18%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,453.45 จุด เพิ่มขึ้น 0.19 จุด (+0.00%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,510.06 จุด เพิ่มขึ้น 3.02 จุด (+0.12%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 47.77 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 0.67 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 70.53 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 23.24 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 5.52 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 4.42 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.19 จุด ,ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 4.46 จุด และดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย เพิ่มขึ้น 14.03 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (28 ก.ย.60) 1,666.36 จุด ลดลง 3.91 จุด (-0.23%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,839.67 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 ก.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (28 ก.ย.60) ปิดที่ระดับ 51.56 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 58 เซนต์ หรือ 1.1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (28 ก.ย.60) ที่ 7.98 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.36/38 แนวโน้มแกว่งแคบในกรอบ 33.30-33.40 ตลาดรอปัจจัยใหม่
- สศค.มองเศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสโตได้ถึง 3.8% ตามคาดการณ์ใหม่แบงก์ชาติที่ระบุเติบโตตามแรงผลักดันจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคส่งออก ส่วนเศรษฐกิจเดือน ส.ค.60 ฟื้นต่อเนื่อง ส่งผลดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้านเศรษฐกิจโดยรวมขยับขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน เช่นเดียวกับปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศขยายตัว 6.1% สูงสุดในรอบ 17 เดือน ด้านส่งออกยังคงขยายตัว 13.2% โตต่อเนื่อง 6 เดือนติดต่อกัน และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมสูงขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน
- ธนาคารกสิกรไทย ระบุว่าแนวโน้มการส่งออกที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก จาก 3.8% อาจจะโตได้ถึง 7% มีความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจจากเดิม 3.4% เพราะส่งออกมูลค่าถึง 70% ของจีดีพี แต่ภาคการลงทุนและบริโภคเอกชนยังเปราะบางเนื่องจากหนี้ครัวเรือนสูงและขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนถือเป็นปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทย ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์ คาด กนง.จะตรึงดอกเบี้ย 1.5% ถึงสิ้นปี 61 และคาดค่าเงินบาทที่ 33.5-34 บาท/ดอลลาร์
- ธปท.เตือนภาคธุรกิจรับมือตลาดเงินผันผวนยากคาดเดา แนะผู้ประกอบการปิดความเสี่ยง จับมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการช่วย"เอสเอ็มอี"เฮดจิ้งค่าเงินให้สิทธิล็อกอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าฟรี วงเงิน 3 หมื่นบาทต่อราย คาดช่วยเอสเอ็มอีได้กว่า 1.7 หมื่นราย
- ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 รัฐบาลมีรายได้ 2.08 ล้านล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 2.67 ล้านล้านบาท รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 4.62 แสนล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน ส.ค.60 มี จำนวน 3.15 แสนล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.2 หมื่นล้านบาท สะท้อนฐานะการคลังเข้มแข็งและพอเพียงสำหรับดำเนินนโยบายการคลังเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงต่อไป
- ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเอกฉันท์ 175 คะแนน รับหลักการร่าง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ... ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ และตั้งคณะกรรมาธิการสามัญ 30 คน พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ก่อนส่งกลับให้ สนช.ลงมติอีกครั้ง
*หุ้นเด่นวันนี้
- BEAUTY (ธนชาต) แนะ"ซื้อ"เป้า 19 บาท มองกำไร Q3/60 ทำจุดสูงสุดใหม่เติบโตทั้ง y-y และ q-q ที่ 299 ล้านบาท ปรับกำไรทั้งปีขึ้นเป็น 1.08 พันล้านบาท +65% y-y และเติบโตต่อเนื่อง 35% y-y ในปี 61 มองราคาปัจจุบันยังไม่สะท้อนการเติบโตแข็งแกร่งจากธุรกิจในต่างประเทศเต็มที่ ทางเทคนิคทำจุดสูงสุดใหม่ และมีเป้าหมายระยะสั้นที่ 16.60 บาท
- ZIGA (เออีซี) ให้ราคาเป้าหมาย 9 บาท ช่วง Q3/60 คาดกำไรโตทั้ง QoQ และ YoY จากดีมานด์เหล็ก Pre-Zinc ที่ขยายตัวดีหลังราคาเหล็กในประเทศสูงขึ้นบวกกับมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่เลื่อนมาจากช่วง Q2/60 ส่วนช่วง Q4/60 คาดโตต่อเนื่อง QoQ หลังมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ Super Ziga ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงหนุนให้ทั้งปี 60 คาดมีกำไรสุทธิ 291 ล้านบาท โต 28.8%YoY + มี Upside 31.4%
- ITEL (ฟินันเซีย ไซรัส) ราคาเป้าหมาย 7.20 บาท มองการเซ็นสัญญาเน็ตชายขอบเฟส 1 พื้นที่ภาคกลางและใต้ มูลค่า 1.8 พันล้านบาทอย่างเป็นทางการหนุน Backlog เพิ่มเป็น 3.1 พันล้านบาท คาดว่าจะเริ่มประมูลเฟส 2 ใน Q1/61 เพื่อให้ประเทศไทยได้ใช้บอร์ดแบนด์ 100% สิ้นปี 61 ตามนโยบายของกระทรวงดีอี ถ้าได้งานเพิ่มจะเป็น Upside เพิ่มต่อประมาณการ ที่คาดกำไรสุทธิปีนี้ +96% Y-Y และ +56% Y-Y ในปีหน้า ส่วนกำไร Q3/60 คาด +28% Q-Q อยู่ที่ 32 ล้านบาท
ตลาดหุ้นเอเชียบวกเช้านี้ หลังตลาดวอลล์สตรีทดีดตัวรับแผนปฏิรูปภาษีทรัมป์
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากที่ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งความคาดหวังว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์จะสามารถผลักดันแผนปฏิรูปภาษีฉบับนี้ให้ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสได้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 20,315.34 จุด ลดลง 47.77 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,340.31 จุด เพิ่มขึ้น 0.67 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,492.13 จุด เพิ่มขึ้น 70.53 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,319.69 จุด เพิ่มขึ้น 23.24 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,378.66 จุด เพิ่มขึ้น 5.52 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,222.72 จุด ลดลง 4.42 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,760.25 จุด เพิ่มขึ้น 2.19 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,151.58 จุด ลดลง 4.46 จุด, ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียเปิดวันนี้ที่ 5,855.08 จุด เพิ่มขึ้น 14.03 จุด
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้แถลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า เขาจะเสนอให้มีการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ระดับ 35% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดลงสู่ระดับ 35% จากปัจจุบันที่ 39.6% โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ
นอกเหนือจากการเสนอให้ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว แผนปฏิรูประบบภาษีฉบับใหม่นี้ยังเสนอให้มีการเพิ่มเงินลดหย่อนภาษีเพื่อสงเคราะห์บุตร รวมถึงใช้ระบบจัดเก็บภาษีภายในเขตแดนกับบริษัทอเมริกันทั่วโลก เพื่อดึงดูดองค์กรธุรกิจสหรัฐให้กลับมาดำเนินงานในสหรัฐ
นอกจากนี้ จะมีการเสนอให้เรียกเก็บภาษีจากผลกำไรในต่างประเทศของบริษัทข้ามชาติสหรัฐในอัตราลดหย่อน เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทเหล่านั้นโยกย้ายผลกำไรไปยังที่พักหลบภาษีในต่างแดน (tax haven)
ทั้งนี้ นักลงทุนคาดหวังว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์จะสามารถผลักดันแผนปฏิรูปภาษีฉบับนี้ให้ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสได้ โดยล่าสุดนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงคลังสหรัฐ กล่าวว่า แผนปฏิรูปภาษีซึ่งเสนอโดยพรรครีพับลิกันนั้น เป็นข้อเสนอที่ไม่สามารถต่อรองได้
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 9.31 จุด จากแรงหนุนหุ้นแบงก์หลัง BoE ส่งสัญญาณเล็งขึ้นดบ.
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) ด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขานรับกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 9.31 จุด หรือ +0.13% ปิดที่ 7,322.82 จุด
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้เป็นไปอย่างเงียบเหงา แต่หุ้นกลุ่มธนาคารได้ปัจจัยบวก หลังจากที่นายแอนดี ฮาลเดน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางอังกฤษ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์สกายนิวส์ว่า อังกฤษไม่ควรวิตกกังวลกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร คำกล่าวของฮาลเดนนับเป็นการส่งสัญญาณว่า BoE อาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีในอีกไม่ช้านี้
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารยังได้แรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งในเดือนธ.ค.นี้ หลังจากที่นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดได้ส่งสัญญาณสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐจะยังอยู่ในทิศทางที่ไม่แน่นอนก็ตาม
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า โดยหุ้นบาร์เคลย์ส เพิ่มขึ้น 1% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่งขึ้น 1.1% หุ้นเอชเอสบีซี ขยับขึ้น 0.2%
หุ้นซีอาร์เอช บริษัทซัพพลายเออร์วัสดุก่อสร้างชั้นนำ พุ่งขึ้น 2.4% ขณะที่หุ้นแอชเทด ผู้ให้บริการเช่าอุปกรณ์รายใหญ่ เพิ่มขึ้น 2.2% ขานรับแผนปฏิรูประบบภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ซึ่งส่งผลดีต่อภาคธุรกิจ
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก รับหุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) โดยหุ้นกลุ่มธนาคารยังคงได้รับแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัด เนื่องจากกระแสการตอบรับมาตรการปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ เริ่มแผ่วลง
ดัชนี Stoxx Europe ปิดบวก 0.2% แตะที่ระดับ 386.36 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,293.77 จุด เพิ่มขึ้น 11.81 จุด หรือ +0.22% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,704.65 จุด เพิ่มขึ้น 47.24 จุด หรือ +0.37% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,322.82 จุด เพิ่มขึ้น 9.31 จุด หรือ +0.13%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น โดยหุ้นดอยซ์ แบงก์ พุ่งขึ้น 2.7% หุ้นบังโค ซานตานเดร์ ปรับขึ้น 0.5% หุ้นโซซิเอเต เจเนอรัล ขยับขึ้น 0.4% และหุ้นบาร์เคลย์ส พุ่งขึ้น 1%
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารได้รับแรงหนุนหลังจากถ้อยแถลงครั้งล่าสุดของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ซึ่งมีขึ้นที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอเมื่อวันอังคารที่ผ่านมานั้น ได้กระตุ้นให้เกิดกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ โดยเยลเลนกล่าวว่า เฟดจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ทิศทางของเงินเฟ้อยังคงไม่แน่นอนก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัด เนื่องจากกระแสการตอบรับมาตรการปฏิรูปภาษีของปธน.ทรัมป์เริ่มลดน้อยลง เนื่องจากหลายฝ่ายกังวลว่า มาตรการดังกล่าวอาจเอื้อประโยชน์กับกลุ่มคนรวยในสหรัฐ
ทั้งนี้ื เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทรัมป์ได้เปิดเผยมาตรการปฏิรูปภาษี โดยเสนอให้มีการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ระดับ 35% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดลงสู่ระดับ 35% จากปัจจุบันที่ 39.6%
หุ้น H&M ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่น ร่วงลง 5.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาส 3 ทรุดฮวบลง 30% เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับลดราคาสินค้า
หุ้นไรอันแอร์ ร่วงลง 3.7% หลังจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินของอังกฤษเตรียมดำเนินคดีทางกฎหมายกับสายการบินไรอันแอร์ หลังจากทางสายการบินได้ยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมากทั่วยุโรป
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 40.49 จุด รับความหวังแผนปฏิรูปภาษีคืบหน้า
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) โดยตลาดยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งความคาดหวังว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์จะสามารถผลักดันแผนปฏิรูปภาษีฉบับนี้ให้ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสได้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มสุขภาพ และราคาหุ้นแมคโดนัลด์ที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบกว่า 2 เดือน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,381.20 จุด เพิ่มขึ้น 40.49 จุด หรือ +0.18% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,510.06 จุด เพิ่มขึ้น 3.02 จุด หรือ +0.12% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,453.45 จุด เพิ่มขึ้น 0.19 จุด หรือ +0.00%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงขานรับแผนปฏิรูปภาษีซึ่งปธน.ทรัมป์ได้แถลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งทรัมป์ระบุว่า เขาจะเสนอให้มีการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ระดับ 35% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดลงสู่ระดับ 35% จากปัจจุบันที่ 39.6% โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ
นอกเหนือจากการเสนอให้ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคลลแล้ว แผนปฏิรูประบบภาษีฉบับใหม่นี้ยังเสนอให้มีการเพิ่มเงินลดหย่อนภาษีเพื่อสงเคราะห์บุตร รวมถึงใช้ระบบจัดเก็บภาษีภายในเขตแดนกับบริษัทอเมริกันทั่วโลก เพื่อดึงดูดองค์กรธุรกิจสหรัฐให้กลับมาดำเนินงานในสหรัฐ
นอกจากนี้ จะมีการเสนอให้เรียกเก็บภาษีจากผลกำไรในต่างประเทศของบริษัทข้ามชาติสหรัฐในอัตราลดหย่อน เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทเหล่านั้นโยกย้ายผลกำไรไปยังที่พักหลบภาษีในต่างแดน (tax haven)
ทั้งนี้ นักลงทุนคาดหวังว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์จะสามารถผลักดันแผนปฏิรูปภาษีฉบับนี้ให้ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสได้ โดยล่าสุดนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงคลังสหรัฐ กล่าวว่า แผนปฏิรูปภาษีซึ่งเสนอโดยพรรครีพับลิกันนั้น เป็นข้อเสนอที่ไม่สามารถต่อรองได้
ดัชนี หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น 0.12% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ปรับตัวขึ้น 0.27% เนื่องจากตลาดเชื่อว่า ธุรกิจการเงินและธุรกิจขนาดเล็กจะได้รับประโยชน์จากมาตรการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ของทรัมป์
หุ้นแมคโดนัลด์ พุ่งขึ้น 2.23% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบกว่า 2 เดือน และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวก โดยราคาหุ้นแมคโดนัลด์พุ่งขึ้นหลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นแมคโดนัลด์
หุ้นกลุ่มสุขภาพปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้น AbbVie พุ่งขึ้น 4.97% หลังจากทางบริษัทบรรลุข้อตกลงทางกฎหมายกับบริษัท Amgen ขณะที่หุ้นแอ๊บบอต ทะยานขึ้น 2.86% หลังจากคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ได้อนุมัติการจำหน่ายอุปกรณ์ตรวจวัดน้ำตาลกลูโคสของแอ๊บบอต
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดและมีผลต่อความเคลื่อนไหวในตลาดระหว่างวัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2560 ในการประมาณการครั้งสุดท้าย ระบุ GDP ขยายตัว 3.1% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ที่ระดับ 3.0%
ส่วนในวันนี้ ทางการสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค. ในเวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย
อินโฟเควสท์