- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 28 September 2017 14:02
- Hits: 2903
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์เล็งแรงหนุนกลุ่ม Domestic Plays หลังแบงก์ชาติปรับเพิ่ม GDP
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์เล็งแรงหนุนจากกลุ่ม Domestic Plays อย่างกลุ่มแบงก์, อสังหาริมทรัพย์ที่น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจ (GDP) ขึ้นเป็น 3.8% และกลุ่มแบงก์ก็จะเป็นกลุ่มแรกที่รายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 3/60 ออกมาด้วย โดยรวมตลาดฯคงจะแกว่งไซด์เวย์และเลือกซื้อหุ้นเป็นรายตัว
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้แกว่งตัวอิงลบเล็กน้อย เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งในปีนี้ ประกอบกับเมื่อคืนนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐเปิดเผยมาตรการปฏิรูปภาษี โดยปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ 35% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดลงสู่ระดับ 35% จากปัจจุบันที่ 39.6%
โดยแนะนำหุ้นเด่นของวันนี้คือ หุ้น SCB และ TPIPL เนื่องจากยัง Laggard พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,665-1,675 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (27 ก.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,340.71 จุด เพิ่มขึ้น 56.39 จุด (+0.25%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,453.26 จุด เพิ่มขึ้น 73.10 จุด (+1.15%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,507.04 จุด เพิ่มขึ้น 10.20 จุด (+0.41%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 131.58 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.43 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 18.84 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 24.74 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 1.53 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 6.80 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.59 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (27 ก.ย.60) 1,670.27 จุด เพิ่มขึ้น 0.52 จุด (+0.03%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 53.90 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27 ก.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (27 ก.ย.60) ปิดที่ระดับ 52.14 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ หรือ 0.5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (27 ก.ย.60) ที่ 8.28 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.30/32 แนวโน้มอ่อนค่าสอดคล้องภูมิภาค มองกรอบวันนี้ 33.25-33.40
- มติ กนง.เอกฉันท์คงดอกเบี้ย1.5% เมินแรงกดดันจากคลัง พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์ "จีดีพี" ปีนี้โต 3.8% ส่งออก 8% เหตุแนวโน้มเศรษฐกิจโตเกินคาด ยอมรับห่วงกำลังซื้อกลุ่มฐานราก มองบาทแข็งค่าไม่กระทบส่งออก ย้ำจับตาดูสถานการณ์ค่าเงินใกล้ชิด ด้าน"สมคิด"ลั่น"สมคิดแฟ็กเตอร์"ดันเศรษฐกิจโต
- กระทรวงคมนาคม จัดทำแผนยุทธศาสตร์การขนส่งทางน้ำของประเทศตามนโยบายเชื่อมโยงรูปแบบการขนส่งของประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันและลดต้นทุนโลจิสติกส์ของชาติ เน้นขยายขีดความสามารถและพัฒนาคุณภาพขนส่งเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค ใช้วงเงินลงทุนทั้งสิ้น 46,286 ล้านบาท
- 'พิเชฐ'ยันเดินหน้าโครงการเน็ตประชารัฐลดความเหลื่อมล้ำ ตั้งเป้าปี'61 อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงครอบคลุม 7.5 หมื่นหมู่บ้านทั่วประเทศ ปลื้มงานดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบงสำเร็จ เล็งจัดต่างจังหวัดอีก 4 แห่ง ด้านเอสซีจีชี้นวัตกรรมสำคัญแนะเอกชนทำอาร์แอนด์ดี คาดปีหน้างบวิจัยพุ่งแสนล้าน
- ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3 นักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศลดลง 20% และในไตรมาส 4 นักท่องเที่ยวไทยก็ยังคงวางแผนเดินทางท่องเที่ยวเพียง 25% เท่านั้นถือว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ำมากหากเทียบตั้งแต่ปี 56-58 โดยสาเหตุหลัก คือ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังคงซบเซา ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวไทยยังต้องระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยและการเดินทางท่องเที่ยว
*หุ้นเด่นวันนี้
- EGCO (ธนชาต) "ซื้อ" เป้า 260 บาท ด้วยการเติบโตกำไรเฉลี่ย 13% ต่อปีช่วง 2H60-2563 จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 930MW น่าสนใจมากที่สุดเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่อื่น ๆ มอง PE ปัจจุบันที่ 11x และ PEG 0.75x "ไม่แพง" เทียบกับกลุ่มที่ 1.4-2.8x
- BR (ไอร่า) เป้า 9.30 บาท แนวโน้ม 2H/60 เติบโตต่อเนื่องภายใต้ราคาขายเป็ดคาดทรงตัวดีในครึ่งปีหลัง และต่อยอดไปธุรกิจอาหารแปรรูปคาดเปิดโรงงานได้ Q3/60 พร้อมรับออร์เดอร์ล่วงหน้าส่วนหนึ่งจากลูกค้าต่างประเทศแล้ว นอกจากนี้ ตรียมพร้อมรองรับการขยายตัวธุรกิจปลายน้ำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเข้าร่วมทุน BTS ขยายธุรกิจร้านอาหารจีน“Chef Man"เชื่อเป็นจุดเริ่มต้นพัฒนาธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมไปยังธุรกิจอาหารที่สร้างกำไรได้มากกว่า พร้อมคาดทั้งปี 60 โตได้อย่างก้าวกระโดด
- TTCL (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "เก็งกำไร" ราคาหุ้นปรับลงจากต้นปีกว่า 20% สะท้อนผลงานครึ่งปีแรกน่าผิดหวังจากการหยุดโรงไฟฟ้าและเลื่อนบันทึกโครงการในลาวไปแล้ว คาดครึ่งปีหลังจะค่อยๆฟื้นตัวและจะเด่นใน Q1 จากรับรู้ 2 โครงการใหญ่ ปัจจุบันอยู่ระหว่าง Bid งานใหญ่ในต่างประเทศโอกาสชนะสูงและรู้ผลในเร็วนี้ คาดปีนี้จะได้งานใหม่รวมกว่า +/-27,000 ล้านบาท มี Upside จาก MOA โรงไฟฟ้ากะฉิ่นเร็วกว่าคาด มีโอกาสได้งานก่อสร้างกว่าหมื่นล้านบาท พร้อมเป็น Operator 30 ปี
- KKP (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ" เป้า 79 บาท ระยะสั้นคาดได้แรงหนุนการเติบโตของสินเชื่อ ส.ค.60 ที่ดีสุดในกลุ่มและแนวโน้มกำไร Q3/60 ฟื้น 34% Q-Q เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายพิเศษหลายรายการใน Q2/60 ที่ไม่น่าจะเกิดซ้ำใน Q3/60 โดยคงคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ที่ 5.77 พันลบ.+4% Y-Y และคาดกำไรสุทธิปีหน้า 5.9 พันลบ.+3% Y-Y ส่วนผลตอบแทนจากปันผลคาดยังสูง 7.2% ต่อปี
ตลาดหุ้นเอเชียบวกเช้านี้ ขานรับ ทรัมป์ เผยแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่
ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นเช้านี้ สอดคล้องกับทิศทางของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกเมื่อคืน ขานรับแผนการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยทรัมป์เชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 20,398.63 จุด เพิ่มขึ้น 131.58 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,343.84 จุด ลดลง 1.43 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,661.27 จุด เพิ่มขึ้น 18.84 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,351.42 จุด เพิ่มขึ้น 24.74 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,374.10 จุด เพิ่มขึ้น 1.53 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,242.95 จุด เพิ่มขึ้น 6.80 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,765.83 จุด เพิ่มขึ้น 1.59 จุด
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้เปิดเผยมาตรการปฏิรูปภาษีเมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐ โดยทรัมป์เสนอให้มีการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ระดับ 35% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดลงสู่ระดับ 35% จากปัจจุบันที่ 39.6% โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ กระตุ้นการจ้างงาน และสนับสนุนกลุ่มคนทำงานและภาคครัวเรือนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การเปิดเผยมาตรการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่สุดในรอบ 30 ปีครั้งนี้ มีขึ้นในระหว่างที่ปธน.ทรัมป์กล่าวปราศรัยที่เมืองอินเดียนาโพลิส โดยนอกเหนือจากการเสนอให้ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคลลแล้ว ปธน.ทรัมป์ยังได้เปิดเผยแผนการปรับลดภาษีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และยกเลิกนโยบายลดหย่อนภาษีสำหรับบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งรวมถึงกลุ่มบุคคลที่ได้ประโยชน์จากนโยบายลดหย่อนภาษีในรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 27.77 จุด จากอานิสงส์ปอนด์อ่อนค่า, หุ้นเหมืองแร่พุ่ง
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) หลังจากที่ปรับตัวลงติดต่อกันสองวันทำการก่อนหน้านี้ ด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดยังได้อานิสงส์จากการที่สกุลเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 27.77 จุด หรือ +0.38% ปิดที่ 7,313.51 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ได้ปัจจัยบวกจากการที่นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา ได้ออกมาประสานเสียงสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ถึงแม้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐจะยังอยู่ในทิศทางที่ไม่แน่นอนก็ตาม ส่งผลให้เกิดกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งในปีนี้
นักวิเคราะห์จากแอคเซนโด มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า การส่งสัญญาณสนับสนุนให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยของเจ้าหน้าที่เฟด ทำให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับปอนด์และยูโรเมื่อคืนนี้ ซึ่งช่วยกระตุ้นผลกำไรของบริษัทข้ามชาติและบริษัทส่งออกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นอันโตฟากาสตา เพิ่มขึ้น 1.3% และหุ้นริโอ ทินโต ขยับขึ้น 0.2%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มผู้ผลิตแร่ทองคำปรับตัวลงสวนทางตลาด จากแรงกดดันของราคาแร่โลหะมีค่าที่ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส ร่วงลง 2.3% และหุ้นเฟรสนิลโล ลดลง 1.6%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก หลังหุ้นกลุ่มแบงก์พุ่งรับคาดการณ์เฟดขึ้นดอกเบี้ย
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) โดยหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นขานรับกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทอัลสตอม หลังจากอัลสตอมและซีเมนส์ประกาศควบรวมกิจการรถไฟในยุโรป
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.4% ปิดที่ 385.62 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค.ปีนี้
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,281.96 จุด เพิ่มขึ้น 13.20 จุด หรือ +0.25% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,657.41 จุด เพิ่มขึ้น 52.21 จุด หรือ +0.41% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,313.51 จุด เพิ่มขึ้น 27.77 จุด หรือ +0.38%
ดัชนี หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น 2% หลังจากถ้อยแถลงครั้งล่าสุดของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ซึ่งมีขึ้นเมื่อที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ได้กระตุ้นให้เกิดกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ โดยเยลเลนกล่าวว่า เฟดจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ทิศทางของเงินเฟ้อยังคงไม่แน่นอนก็ตาม
หุ้นอัลสตอม พุ่งขึ้น 4.3% และหุ้นซีเมนส์ ดีดตัวขึ้น 1.2% หลังจากบริษัทซีเมนส์ของเยอรมนี และบริษัทอัลสตอมของฝรั่งเศส ประกาศควบรวมกิจการรถไฟในยุโรปของทั้ง 2 บริษัท เพื่อสร้างบริษัทผู้นำในธุรกิจรถไฟในยุโรป และในระดับโลก โดยบริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่จะใช้ชื่อว่า "ซีเมนส์ อัลสตอม" ซึ่งทั้งซีเมนส์ และอัลสตอมจะถือหุ้นในบริษัทใหม่จำนวน 50/50
ทั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่า การควบรวมกิจการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสกัดการครองตลาดของบริษัท CRRC ซึ่งเป็นบริษัทรถไฟของจีน อย่างไรก็ตาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซีเมนส์ และอัลสตอม ต่างยืนยันว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้มีเป้าหมายทางธุรกิจ และไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง
หุ้นเทเลโฟนิกา พุ่งขึ้น 3% หลังจากนักวิเคราะห์ของบาเรนเบิร์กได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเทเลโฟนิกา ขณะที่หุ้นไรอันแอร์ โฮลดิงส์ ดีดตัวขึ้น 3.9% หลังจากที่ราคาหุ้นร่วงลงก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากข่าวการยกเลิกเที่ยวบิน
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นอันโตฟากาสตา เพิ่มขึ้น 1.3% และหุ้นริโอ ทินโต ขยับขึ้น 0.2%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจของยุโรปในวันนี้ โดย GfK จะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนต.ค.ของเยอรมนี และทางการเยอรมนีจะเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย. นอกจากนี้ จะมีการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจประจำเดือนก.ย.ของยูโรโซนในวันนี้เช่นกัน
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 56.39 จุด รับ ทรัมป์ เผยแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) ขานรับแผนการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยทรัมป์เชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มการเงินที่ดีดตัวขึ้น หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐพุ่งขึ้นขานรับกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,340.71 จุด เพิ่มขึ้น 56.39 จุด หรือ +0.25% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,507.04 จุด เพิ่มขึ้น 10.20 จุด หรือ +0.41% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,453.26 จุด เพิ่มขึ้น 73.10 จุด หรือ +1.15%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากปธน.ทรัมป์ได้เปิดเผยมาตรการปฏิรูปภาษีเมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐ โดยทรัมป์เสนอให้มีการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ระดับ 35% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดลงสู่ระดับ 35% จากปัจจุบันที่ 39.6% โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ กระตุ้นการจ้างงาน และสนับสนุนกลุ่มคนทำงานและภาคครัวเรือนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การเปิดเผยมาตรการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่สุดในรอบ 30 ปีครั้งนี้ มีขึ้นในระหว่างที่ปธน.ทรัมป์กล่าวปราศรัยที่เมืองอินเดียนาโพลิส โดยนอกเหนือจากการเสนอให้ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคลลแล้ว ปธน.ทรัมป์ยังได้เปิดเผยแผนการปรับลดภาษีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และยกเลิกนโยบายลดหย่อนภาษีสำหรับบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งรวมถึงกลุ่มบุคคลที่ได้ประโยชน์จากนโยบายลดหย่อนภาษีในรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต
หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.42% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ดีดตัวขึ้น 2.1% หุ้นเจพีมอร์แกน พุ่งขึ้น 1.58%
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.291% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี เพิ่มขึ้นแตะระดับ 2.843% เมื่อคืนนี้ สืบเนื่องมาจากถ้อยแถลงครั้งล่าสุดของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ซึ่งมีขึ้นเมื่อที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ได้กระตุ้นให้เกิดกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้
CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 80% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งระบุว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนส.ค. โดยได้ปัจจัยหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์ และรถยนต์
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยและหุ้นกลุ่มบริษัทที่อยู่ในระหว่างการจ่ายเงินปันผล ต่างก็ปรับตัวลง โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ร่วงลง 0.84% ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภค ปรับตัวลง 0.73% และดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ร่วงลง 1.34%
หุ้นไนกี้ ร่วงลง 1.92% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายไตรมาสล่าสุดปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 7 ปี นอกจากี้ ทางบริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายจะปรับตัวลงอีก เนื่องจากผลประกอบการที่อ่อนแอของธุรกิจในอเมริกาเหนือ
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2/2560, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนส.ค. และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค.
อินโฟเควสท์