WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

12 ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ แต่ยังมีลุ้นบวกจากหุ้นพลังงานหนุน,จับตาประชุมกนง.บ่ายนี้

     นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ โดยต่างรอดูการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงบ่ายนี้ ซึ่งก็เป็นปัจจัยหลักของบ้านเรา

      โดยตลาดฯคาดการณ์ว่ากนง.จะคงอัตราดอกเบี้ย แต่ถ้ามี Surprise ก็คือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็จะทำให้หุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ไม่ดี แต่ก่อนหน้านี้ทางกระทรวงการคลังได้ส่งสัญญาณต้องการให้ลดดอกเบี้ย เพราะเงินเฟ้อก็ยังอยู่ระดับต่ำ และทางอินโดนีเซียก็ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไป 2 ครั้งแล้วภายใน 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนบางส่วนเก็งว่ากนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย และได้เข้าไปเล่นหุ้นที่ได้ประโยชน์จาการลดอัตราดอกเบี้ย ดังนั้น หากกนง.ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็อาจทำให้มีแรงขายในส่วนนี้ออกมา ทำให้มองว่าหลังจากผลประชุมกนง.ออกมา ตลาดฯมีโอกาสผันผวนได้

      อย่างไรก็ดี มองว่าในช่วงเช้าตลาดฯยังมีโอกาสที่จะแกว่งตัวอยู่ในแดนบวกได้บ้าง เนื่องจากราคาน้ำมันเช้านี้รีบาวด์ และมองว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานปลอดภัยที่จะลงทุนในช่วงนี้ที่ราคาน้ำมันยังปรับตัวขึ้นได้

      ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยยังต้องติดตามสถานการณ์ในเกาหลีเหนือ และรอดูแผนการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯจะทำได้หรือไม่ หลังจากที่แผนประกันสุขภาพคงจะไม่ผ่านแล้วในปีนี้

พร้อมให้แนวรับ 1,660 จุด ส่วนแนวต้าน 1,675 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

      - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (26 ก.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,284.32 จุด ลดลง 11.77 จุด (-0.05%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,380.16 จุด เพิ่มขึ้น 9.57 จุด (+0.15%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,496.84 จุด เพิ่มขึ้น 0.18 จุด (+0.01%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 60.37 จุด ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 9.96 จุด ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 4.74 จุด ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.76 จุด ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 10.96 จุด ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 65.42 จุด ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.03 จุด ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 2.57 จุด

      - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (26 ก.ย.60) 1,669.75 จุด เพิ่มขึ้น 2.16 จุด (+0.13%)

      - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 149.66 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 ก.ย.60

      - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (26 ก.ย.60) ปิดที่ระดับ 51.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 34 เซนต์ หรือ 0.7%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (26 ก.ย.60) ที่ 8.21 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

      - เงินบาทเปิด 33.23 อ่อนค่าต่อจากวานนี้หลังดอลล์แข็ง-คาดกนง.วันนี้คงดอกเบี้ย

      - "แบงก์ชาติ" ประกาศเกณฑ์ใหม่ เน้นกำกับดูแลสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ที่อาจจะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจ เข้มงวดเพิ่มขนาดเงินกองทุนขั้นต่ำ อีก 1% ภายในปี 63 เผยมี 5 แบงก์ใหญ่เข้าตามเกณฑ์ ไร้ผลกระทบ เหตุทุกแบงก์เงินกองทุนสูงกว่าเกณฑ์ ขณะนายแบงก์ยันฐานะแกร่ง เงินกองทุนสูง

      - ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบกรอบลงทุนประจำปี งบประมาณ 2561 ของรัฐวิสาหกิจทั้ง 55 แห่ง วงเงิน 846,337 ล้านบาท

      - ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2560 ขยายตัว 3.5% ตามประมาณการในเดือน เม.ย. 2560 ขณะที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2561 จะขยายตัวในระดับ 3.6% ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 7.0% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ภาคการส่งออกในปี 2560 คาดการณ์ว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 5.0%

       - ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการเข้าครอบครองหรือใช้พื้นที่อสังหาริมทรัพย์เพื่อดำเนินการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์และเข้าใช้พื้นที่เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสามสาย วงเงินรวมกว่า 1.8 แสนล้านบาท ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) วงเงิน 7.9 หมื่นล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี วงเงิน 5.4 หมื่นล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง วงเงิน 5.2 หมื่นล้านบาท

*หุ้นเด่นวันนี้

      - SSP (บมจ.เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น) เทรดวันนี้วันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยราคาขาย IPO ที่ 7.70 บาท/หุ้น ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินราคาเหมาะสมตามปี 2560 (หลังเพิ่มทุน) ที่ 8.95 บาท ด้วยวิธี SOTP คิดเป็น Implied PE ปี 2560 ที่ 19.0 เท่า และปี 2561 ที่ 15.8 เท่า โดยคาดว่ากำไรปกติในปี 2561 จะโต 20.5% Y-Y และโตเฉลี่ย 16.4% ต่อปีใน 3 ปีข้างหน้า (2560-2563)

      บริษัทฯเป็นผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่จะมีกำลังผลิตไฟเพิ่มจากปัจจุบัน 3.4 เท่าตัว ภายในปี 2563 โดยหลักมาจากโครงการใหม่ในญี่ปุ่น หากการดำเนินงานเป็นไปตามแผน

       - TICON (ธนชาต) "ซื้อ" เป้า 19 บาท กำลังเข้าสู่การเติบโตรอบใหม่ ด้วยการเติบโตกำไร 240% ปี 2561 และ 16% ปี 2562 จากพื้นที่เช่าที่เพิ่มขึ้น และการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนเพิ่มขึ้นเป็น 252,000 ตร.ม.ในปี 2561-2562 จาก 59,350 ในปีนี้ และ 170,000 ตร.ม./ปี ช่วง 2557-2559

     - PTTGC (ไอร่า) เป้า 82 บาท คาดผลการดำเนินงานของ PTTGC จะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นในช่วง 3Q/60 จากการกลับมาผลิตเต็มกำลังของหลายโรงงาน หลังหยุดซ่อมบำรุงจำนวนมากเมื่อช่วง 2Q/60 ขณะที่การเข้าซื้อหุ้นและรับโอนสิทธิบริษัทที่ประกอบธุรกิจปิโตรเคมีจากปตท. เสร็จสิ้นแล้วเมื่อ 3 ก.ค. 2560 คาดสามารถรับรู้ผลกำไรได้ตั้งแต่ช่วง 3Q/60 เป็นต้นไป โดยการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้จะส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจของ PTTGC มีความสมบูรณ์และครบวงจรมากขึ้น เบื้องต้นคาด PTTGC จะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้จำนวนประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมคาดผลการดำเนินงานของ PTTGC ในปี 60 จะฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง และได้รับประโยชน์จากการเข้าซื้อกิจการปิโตรเคมีที่เป็นเดิมของ PTT โดยคาดกำไรสุทธิ 30,971 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21%

       - TISCO (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 89 บาท คาดการณ์กำไรสุทธิ 3Q60 ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ราว 1.57 พันล้านบาท +4.5% Q-Q, +26% Y-Y จากการตั้งสำรองหนี้สูญที่ลดลง, รายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจหลักทรัพย์ (นายหน้าและ IB), และคาด Spread อยู่ในระดับสูงที่ 4.8% จากส่วนผสมของสินเชื่อที่เป็น High-yield loan ขณะที่ สินเชื่องวด ส.ค. 60 เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ เป็นสัญญาณที่ดีของการกระจายตัวของสินเชื่อ โดยคงคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้และปีหน้า +20% Y-Y และ +11% Y-Y

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ หลัง เยลเลน ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย,วิตกสถานการณ์เกาหลีเหนือ

     ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ หลังจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมายืนยันว่า เฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เกาหลีเหนือ

      ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 20,269.82 จุด ลดลง 60.37 จุด, -0.30% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,503.05 จุด ลดลง 9.96 จุด, -0.04% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,207.30 จุด ลดลง 4.74 จุด, -0.15% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,340.82 จุด ลดลง 2.76 จุด, -0.08% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,159.18 จุด ลดลง 10.96 จุด, -0.13% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,322.44 จุด เพิ่มขึ้น 65.42 จุด, +0.64% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,767.62 จุด เพิ่มขึ้น 2.03 จุด, +0.11% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,376.89 จุด เพิ่มขึ้น 2.57 จุด, +0.11%

      นางเยลเลน ประธานเฟดได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอเมื่อวานนี้ว่า ถึงแม้เงินเฟ้อยังอยู่ในทิศทางที่ไม่แน่นอน แต่ก็จะเป็นการไม่เหมาะสมที่เฟดจะคงนโยบายการเงินไว้จนกระทั่งอัตราเงินเฟ้อแตะระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2%

      ทั้งนี้ ถ้อยแถลงของนางเยลเลน ทำให้เกิดกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ โดย CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึง 78% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 40% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา

    สำหรับ สถานการณ์เกาหลีเหนือล่าสุดนั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า สหรัฐได้มีการ 'เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่' ในการใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อเกาหลีเหนือ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น เพื่อรับมือกับประเด็นนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

    ทางด้านกระทรวงการคลังสหรัฐได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรธนาคารรวม 8 แห่ง และบุคคลอีก 26 รายที่มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายทางการเงินของเกาหลีเหนือ เพื่อลงโทษเกาหลีเหนือที่ยังคงเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง อันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 15.55 จุด นลท.วิตกความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี

     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบติดต่อกันสองวันทำการเมื่อคืนนี้ (26 ก.ย.) จากแรงกดดันของสถานการณ์ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี หลังจากที่รัฐมนตรีต่างประเทศของเกาหลีเหนือระบุว่า สหรัฐได้ประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือแล้ว และเกาหลีเหนือก็มีสิทธิที่จะตอบโต้อย่างเต็มที่ ซึ่งรวมถึงการยิงทำลายเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐที่บินเข้าใกล้น่านฟ้าของเกาหลีเหนือด้วย

      ดัชนี FTSE 100 ลดลง 15.55 จุด หรือ -0.21% ปิดที่ 7,285.74 จุด

      ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ถูกกดดันจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ในคาบสมุทรเกาหลี โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่า การที่เกาหลีเหนือประกาศอ้างสิทธิในการยิงทำลายเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐในน่านฟ้าสากลนั้น ถือเป็นพฤติการณ์ยั่วยุที่สหรัฐควรพินิจพิเคราะห์อย่างจริงจัง

      นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงกดดันจากการที่ค่าเงินสกุลปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับยูโรนับตั้งแต่เดือนก.ค. ที่ 1.1423 ยูโร เมื่อคืนนี้ ซึ่งการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้ส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน โดยหุ้นโรลส์-รอยซ์ โฮลดิงส์ ลดลง 1.1% และหุ้นเบอร์เบอร์รี กรุ๊ป ร่วงลง 1.4%

     หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นอีซีเจ็ท พุ่งขึ้น 1.6% ขานรับกระแสคาดการณ์ที่ว่า สายการบินต้นทุนต่ำรายนี้อาจได้รับประโยชน์จากการล้มละลายของแอร์เบอร์ลิน ซึ่งเป็นสายการบินคู่แข่ง

     นักวิเคราะห์กล่าวว่า "หุ้นอีซีเจ็ททะยานขึ้นถึง 3.2% ในระหว่างวัน ในขณะที่การเจรจาเพื่อขอซื้อสินทรัพย์จากแอร์เบอร์ลิน ซึ่งรวมถึงเครื่องบิน 27-30 ลำนั้น มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก"

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : เงินยูโรอ่อนหนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก ขณะนักลงทุนยังกังวลสถานการณ์เกาหลีเหนือ

       ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (26 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโร หลังจากผลการเลือกตั้งเยอรมนีระบุว่า พรรคพันธมิตรของนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภาได้อย่างเด็ดขาด ขณะที่บรรยากาศการซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เกาหลีเหนือ

      ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้น 0.03% ปิดที่ 384.03 จุด

      ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,268.76 จุด เพิ่มขึ้น 1.63 จุด หรือ +0.03% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,605.20 จุด เพิ่มขึ้น 10.39 จุด หรือ +0.08% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,285.74 จุด ลดลง 15.55 จุด, -0.21%

      ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยหนุนจากสกุลเงินยูโรที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากพรรคพันธมิตรของนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภาได้อย่างเด็ดขาดในการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยได้จำนวนเก้าอี้ในสภาเพียง 33% จากเดิมในปี 2013 ซึ่งกวาดที่นั่งได้ถึง 41.5% โดยผลการเลือกตั้งครั้งนี้นับเป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดของพรรคพันธมิตรของนางแมร์เคิล นับตั้งแต่ปี 1949

      หุ้นเนสท์เล่ พุ่งขึ้น 1.8% หลังจากบริษัทประกาศแผนเพิ่มการซื้อคืนหุ้น พร้อมกับยืนยันเป้าหมายการเติบโตของบริษัทในปี 2563

      หุ้นคาร์นิวัล ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเรือสำราญ พุ่งขึ้น 2.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ที่แข็งแกร่งเกินคาด

      อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ โดยล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า สหรัฐได้มีการ "เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่" ในการใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อเกาหลีเหนือ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น เพื่อรับมือกับประเด็นนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

      ความเคลื่อนไหวล่าสุดของปธน.ทรัมป์ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอบโต้นายรี ยอง โฮ รมว.ต่างประเทศเกาหลีเหนือที่ออกมากล่าวอ้างเมื่อเร็วๆนี้ว่า สหรัฐได้ประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือ และเกาหลีเหนือมีสิทธิที่จะยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐ แม้ว่าเครื่องบินเหล่านั้นไม่ได้บินเหนือน่านฟ้าของเกาหลีเหนือก็ตาม

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 11.77 จุด หลัง เยลเลน พูดชัดเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย

       ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (26 ก.ย.) หลังจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมายืนยันว่า เฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป แม้ทิศทางเงินเฟ้อยังคงไม่แน่นอนก็ตาม โดยถ้อยแถลงล่าสุดของนางเยลเลนส่งผลให้มีกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้

     ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,284.32 จุด ลดลง 11.77 จุด หรือ -0.05% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,496.84 จุด เพิ่มขึ้น 0.18 จุด, +0.01% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,380.16 จุด เพิ่มขึ้น 9.57 จุด หรือ +0.15%

       ดัชนี ดาวโจนส์ปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. โดยปัจจัยล่าสุดที่สนับสนุนกระแสคาดการณ์ดังกล่าวนั้น มาจากการที่นางเยลเลน ประธานเฟดได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอเมื่อวานนี้ว่า ถึงแม้เงินเฟ้อยังอยู่ในทิศทางที่ไม่แน่นอน แต่ก็จะเป็นการไม่เหมาะสมที่เฟดจะคงนโยบายการเงินไว้จนกระทั่งอัตราเงินเฟ้อแตะระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2%

       "แม้ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานมากพอที่จะบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของเงินเฟ้อจนทำให้เฟดต้องหันเหออกจากแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เฟดก็จำเป็นต้องเปิดกว้างต่อความเป็นไปได้ดังกล่าว"เยลเลนกล่าว

      CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึง 78% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 40% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา

       ขณะเดียวกัน ตลาดได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ โดยล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า สหรัฐได้มีการ 'เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่' ในการใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อเกาหลีเหนือ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น เพื่อรับมือกับประเด็นนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

      นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ของสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาด โดยรายงานล่าสุดระบุว่าบรรดาสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสประกาศว่า วุฒิสภาจะไม่จัดการลงมติต่อร่างกฎหมาย "คาสซิดี-เกรแฮม" เนื่องจากวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกัน 3 คนแสดงการคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งได้แก่ นางซูซาน คอลลินส์, นายจอห์น แมคเคน และนายแรนด์ พอล

     ทั้งนี้ การที่วุฒิสภาไม่จัดการลงมติต่อร่างกฎหมายคาสซิดี-เกรแฮมเมื่อวานนี้ ได้ส่งผลให้สภาคองเกรสไม่มีโอกาสที่จะปฏิรูปกฎหมายประกันสุขภาพในปีนี้ เนื่องจากหลังจากนี้ สภาคองเกรสจะหันหน้ามาพิจารณากฎหมายปฏิรูปภาษี

      ตลาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐเมื่อคืนนี้ด้วย ซึ่งรวมถึงยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค.ร่วงลง 3.4% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 560,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ขณะที่ผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลง สู่ระดับ 119.8 ในเดือนก.ย. อันเนื่องมาจากผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ และเออร์มา

     อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ดีดขึ้นปิดตลาดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้น 0.4% นำโดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 1.7%

      นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนส.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2/2560, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนส.ค. และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค.

  อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!