- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 18 September 2017 10:14
- Hits: 4957
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์อิงขึ้นรับกระแสเงินทุนไหลเข้า-ราคาน้ำมันยังขึ้นต่อเนื่อง
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway up จากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้า และทิศทางราคาน้ำมันยังปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีเป็น upside กับกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ที่ผลประกอบการงวดไตรมาส 3/60 อาจจะออกมาดี อย่างไรก็ดี ตลาดฯปรับขึ้นมาพอควรแล้วจึงอาจมีแรงขายทำกำไร ทำให้หุ้นแกว่งระหว่างวันได้ แต่แนวโน้มยังคงซิกแซกขึ้นไปได้อยู่
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ยืนในแดนบวก ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการ พร้อมให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 19-20 ก.ย.นี้ ประเด็นแผนการปรับลดงบดุลของสหรัฐฯ และเส้นทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะยังคงเดิมหรือไม่ เพราะมีผลต่อกระแสเงินทุน
พร้อมให้แนวรับ 1,655-1,650 จุด ส่วนแนวต้าน 1,670 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (15 ก.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,268.34 จุด เพิ่มขึ้น 64.86 จุด (+0.29%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,448.47 จุด เพิ่มขึ้น 19.38 จุด (+0.30%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,500.23 จุด เพิ่มขึ้น 4.61 จุด (+0.18%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.11 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเพิ่มขึ้น 163.78 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 10.39 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.51 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 20.82 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 3.40 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 4.39 จุด
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันผู้สูงอายุ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (15 ก.ย.60) 1,660.53 จุด เพิ่มขึ้น 1.43 จุด (+0.09%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 4,270.51 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 ก.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (15 ก.ย.60) ปิดทรงตัวที่ระดับ 49.89 ดอลลาร์/บาร์เรล และตลอดทั้งสัปดาห์ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 5.1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (15 ก.ย.60) ที่ 9.03 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.10 แนวโน้มแกว่งกรอบแคบ จับตาผลประชุมเฟดกลางสัปดาห์นี้
- "แบงก์ชาติ"ย้ำกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อยังเหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย แต่อาจต้องปรับเพิ่มความยืดหยุ่นมองเงินเฟ้อต่ำเป้า แต่เศรษฐกิจยังโต ไม่น่าเป็นห่วง ส่วนเศรษฐกิจฐานรากยังอ่อนแอ ต้องใช้นโยบายการคลังช่วย เหตุตอบโจทย์ได้ดีกว่า เนื่องจากดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือดูแลเศรษฐกิจมหภาค
- ชาวบ้านเริ่มต่อต้าน "โรงไฟฟ้าขยะ" ที่จะสร้างความเดือดร้อนในวิถีชีวิต หลัง คสช.ใช้ ม. 44 ปลดล็อก ให้ก่อสร้างได้ โดยไม่ต้องศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และไม่สน กม. ผังเมือง ทำให้นักธุรกิจต่างมุ่งหน้าสู่กระทรวงมหาดไทย ที่เป็นเจ้าภาพใหญ่ "ภารกิจขยะ" ในวันนี้
- กทพ.เตรียมชง ทางด่วน N2 เข้า ครม.ปลายปีนี้ รอลุ้น สผ.อนุมัติ EIA เพิ่มเติม ยันตอม่อเกษตร-นวมินทร์ รองรับได้เฉพาะทางด่วน ส่วนรถไฟฟ้าหากมีจำเป็นต้องขยับแนวไปด้านข้าง พร้อมเตรียมเปิดรับฟังความเห็นประชาชน 26 ก.ย.นี้ เล็งเริ่มก่อสร้างปลายปี 61 ขณะที่บอร์ด กทพ. ล้มคัดเลือกที่ปรึกษาทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง เหตุยื่นซองรายเดียว เร่งเปิดใหม่
- การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะใช้แนวทางการร่วมทุนระหว่างภาครัฐบาลและเอกชน (พีพีพี) ในการประมูลโครงการพัฒนาพื้นที่มักกะสัน จำนวน 500 ไร่ โดยให้ระยะเวลาสัมปทานเบื้องต้น 30 ปี คล้ายให้เอกชนเช่าพัฒนาที่ดินเพื่อแบ่งรายได้ให้กับ รฟท.
- นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นไม่กระทบกับเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ เขื่อว่าเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในระยะสั้นๆ และไม่ปรับตัวสูงขึ้นไปกว่านี้มากนัก ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดี จากการส่งออก การบริโภคยังขยายตัวได้ดี และการลงทุนเอกชนก็เริ่มมีมากขึ้น รวมถึงรัฐบาลก็เร่งการใช้และการลงทุนอย่างต่อเนื่องขณะที่ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงที่ สศค.คาดการณ์ไว้ว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล จึงเชื่อว่าไม่กระทบกับเศรษฐกิจไทย
- วันนี้ (18 ก.ย.2560) ศาลล้มละลายกลางนัดพิจารณาคดีการขอยื่นฟื้นฟูกิจการของบริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน)EARTH เป็นวันแรกหลังจากที่ประสบปัญหาผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบีอี และลุกลามจนมีภาระหนี้สินสูง 47,480 ล้านบาท
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานทุนสำรองล่าสุด 8 ก.ย. 2560 อยู่ที่ระดับ 1.993 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6.591 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 3,100 ล้านดอลลาร์ ด้านฐานะซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิอยู่ที่ 3.23 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ทุนสำรองประเทศสุทธิที่รวมเงินสำรองระหว่างประเทศและฐานะซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิแล้วอยู่ที่ระดับ 2.316 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.39 หมื่นล้านดอลลาร์
*หุ้นเด่นวันนี้
- BA (ธนชาต) "ซื้อ"เป้า 22.50 บาท แม้จะปรับลดประมาณการกำไรลง 68-91% ในปี 2560-2562 จากความกังวลต่อการแข่งขันที่รุนแรงต่อเนื่อง แต่เห็นความเสี่ยงต่อราคาหุ้นของ BA ที่จำกัด เนื่องจากปัจจุบันซื้อขายที่ระดับต่ำกว่ามูลค่าของพอร์ตการลงทุนซึ่งไม่รวมมูลค่าธุรกิจสายการบิน
- EGCO (เอเอสแอล) "เก็งกำไร" เป้า 245 บาท เลือกเป็นหุ้นเด่นวันนี้ สาเหตุจากแผนขยายการลงทุนที่ดี โดยยังเชื่อว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิเติบโต 19%YoY ขณะที่โครงการใหม่ที่จะทยอยอเริ่มผลิตไฟฟ์าในปี 60 และ 62 ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 10.8%ต่อปี (ปี 60-61) เสริมมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของกำไรสุทธิในระยะยาว และคาดปันผล 3.1%
- PSL (ไอร่า) เป้า 13.50 บาท คาดในระยะสั้นได้รับปัจจัยบวกจาก BDI ที่ 1,385 จุดเป็นระดับสูงสุดใหม่ในรอบกว่า 2 ปี ภาพรวมเรือเทกองระยะยาวมีแนวโน้มฟื้นตัว คาด BDI ดีขึ้นช่วง 2H/60 ภายใต้การปลดระวางเรือมีแนวโน้มเร่งตัวในระยะกลางหลังข้อตกลงการจัดการน้ำถ่วงเรือเริ่มใช้ในเดือน ก.ย.คาด Supply กองเรือในปีนี้จะเพิ่มในอัตราต่ำราว 1-2% ขณะที่ปี 61 Supply อาจคงที่หรือลดลงเล็กน้อย ขณะที่ผลงานเข้าใกล้จุดคุ้มมากขึ้น 2Q60 ผลงานปกติดีกว่าคาด ขาดทุนลดลงราวครึ่งหนึ่ง QoQ เหลือ 33 ล้านบาทจากควบคุมต้นทุนดี พร้อมปรับประมาณการปี 60 คาดขาดทุน 183 ล้านบาท ดีขึ้นจากเดิมคาดขาดทุนเกือบ 600 ล้านบาท และคาดกลับมากำไรสุทธิในปี’61
- TKS (ฟินันเซีย ไซรัส) คาดว่าผลประกอบการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญใน 2H60 จากการปิดงานวางระบบที่ลาว และการผลิตแสตมป์ให้ร้านสะดวกซื้อรายหนึ่ง ขณะที่ ถ้าอิงตามราคา SYNEX จะคิดเป็นส่วนของ TKS (ถือหุ้น 38.51%) สูงถึง 12.19 บาท/หุ้น เท่ากับมูลค่าเฉพาะของ TKS ต่ำเพียง 1.61 บาท/หุ้น หากสมมติให้กำไรปีนี้ไม่โตและอิง PE ที่ 15-20 เท่า ราคาเหมาะสมจะอยู่ที่ 14.25-19 บาท
ตลาดหุ้นเอเชียบวกเช้านี้ ขานรับดาวโจนส์ทำนิวไฮต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากที่ดัชนีดาวโจนส์ปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่สี่เมื่อวันศุกร์ ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่เหนือระดับ 2,500 จุดเป็นครั้งแรก
ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,352.51 จุด ลดลง 1.11 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,971.37 จุด เพิ่มขึ้น 163.78 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,590.80 จุด เพิ่มขึ้น 10.39 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,390.58 จุด เพิ่มขึ้น 4.51 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,230.38 จุด เพิ่มขึ้น 20.82 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,782.93 จุด ลดลง 3.40 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,185.24 จุด เพิ่มขึ้น 4.39 จุด ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้เนื่องในวันผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ นักลงทุนต่างจับตาการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 19-20 ก.ย.นี้ โดยมีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมดังกล่าว แต่จะประกาศปรับลดงบดุลจากระดับ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นถึง 52.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดร่วง 79.92 จุด เหตุเงินปอนด์แข็งหลังจนท.แบงก์ชาติอังกฤษส่งสัญญาณขึ้นดบ.
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (15 ก.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากเงินปอนด์ที่แข็งค่า หลังจากเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ส่งสัญญาณว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับรายได้ที่ลดลงของบริษัทอังกฤษที่ดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,215.47 จุด ลดลง 79.92 จุด หรือ -1.10%
ตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงเนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับรายได้ของบริษัทอังกฤษที่มีฐานธุรกิจในต่างประเทศ โดยบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากในตลาดหุ้นอังกฤษมีรายได้ส่วนใหญ่จากการดำเนินงานในต่างประเทศ ดังนั้น การแข็งค่าของปอนด์จะส่งผลให้รายได้ของบริษัทดังกล่าวลดลง
ปัจจัยที่ทำให้เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อคืนนี้ มาจากการแสดงความเห็นของนายเกิร์ทแจน ลีจ กรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ BoE ซึ่งกล่าวว่า การขยายตัวของค่าแรง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่งก็ได้บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยนายลีจกล่าวว่า เวลาที่เหมาะสมสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะมาถึงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า
การแสดงความเห็นของของนายลีจสอดคล้องกับท่าทีของ BoE ที่ส่งสัญญาณในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า หากเศรษฐกิจมีการปรับตัวสอดคล้องกับการคาดการณ์ในรายงานเงินเฟ้อในเดือนส.ค.
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงเดินหน้าเทขาย หลังจากจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าโลหะรายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค. ขยายตัว 6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงหลังจากที่ขยายตัว 6.4% ในเดือนก.ค. โดยหุ้นริโอทินโต ร่วงลง 1.4% ส่วนหุ้นแองโกล อเมริกัน และหุ้นเกลนคอร์ ต่างก็ปรับตัวลงกว่า 2%
หุ้นคาร์นิวัล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเรือสำราญรายใหญ่ ร่วงลง 6.2% และเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดในแดนลบ หลังจากนักวิเคราะห์ของเครดิตสวิสได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นคานิวัล ลงสู่ระดับ "neutral" จากระดับ "outperform" โดยระบุว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศและผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคน อาจทำให้ความต้องการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญลดน้อยลง
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี หลังจากเกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากกรุงเปียงยางข้ามเกาะฮอกไกโด ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น และตกลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิค เมื่อเวลาประมาณ 07.16 น.ตามเวลาท้องถิ่นเมื่อวานนี้
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ หลังจนท.แบงก์ชาติอังกฤษส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (15 ก.ย.) นำโดยตลาดหุ้นลอนดอนที่ปิดร่วงลงกว่า 1% หลังจากเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ส่งสัญญาณว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลให้เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น และทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับรายได้ที่ลดลงของบริษัทอังกฤษที่ดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.3% ปิดที่ 380.71 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,213.91 จุด ลดลง 11.29 จุด หรือ -0.22% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,518.81 จุด ลดลง 21.64 จุด หรือ -0.17% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,215.47 จุด ลดลง 79.92 จุด หรือ -1.10%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างซบเซา โดยเฉพาะตลาดหุ้นลอนดอนที่ร่วงลงอย่างหนัก หลังจากนายเกิร์ทแจน ลีจ หนึ่งในกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ BoE กล่าวเมื่อวานนี้ว่า การขยายตัวของค่าแรง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่งก็ได้บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยนายลีจกล่าวว่า เวลาที่เหมาะสมสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะมาถึงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า
การแสดงความเห็นของของนายลีจสอดคล้องกับท่าทีของ BoE ที่ส่งสัญญาณในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า หากเศรษฐกิจมีการปรับตัวสอดคล้องกับการคาดการณ์ในรายงานเงินเฟ้อในเดือนส.ค.
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ BoE ส่งผลให้เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น และทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับรายได้ของบริษัทอังกฤษที่มีฐานธุรกิจในต่างประเทศ โดยบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากในตลาดหุ้นอังกฤษมีรายได้ส่วนใหญ่จากการดำเนินงานในต่างประเทศ ดังนั้น การแข็งค่าของปอนด์จะส่งผลใหรายได้ของบริษัทดังกล่าวลดลง
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ยังคงถูกเทขายอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าโลหะรายใหญ่ของโลก โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค. ขยายตัว 6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงหลังจากที่ขยายตัว 6.4% ในเดือนก.ค.
ทั้งนี้ หุ้นริโอทินโต ร่วงลง 1.4% ส่วนหุ้นแองโกล อเมริกัน และหุ้นเกลนคอร์ ต่างก็ปรับตัวลงกว่า 2%
หุ้นคาร์นิวัล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเรือสำราญรายใหญ่ของยุโรป ร่วงลง 6.2% และเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดในแดนลบ หลังจากนักวิเคราะห์ของเครดิตสวิสได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นคานิวัล ลงสู่ระดับ "neutral" จากระดับ "outperform" โดยระบุว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศและผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคน อาจทำให้ความต้องการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญลดน้อยลง
หุ้นเอบีเอ็น แอมโร ปรับตัวลง 0.7% หลังจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้ปรับลดการถือครองหุ้นในเอบีเอ็น แอมโร ลงเหลือ 56% จากเดิม 63%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 64.86 จุด รับหุ้นสื่อสาร,เทคโนโลยีพุ่ง
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (15 ก.ย.) หลังจากหุ้นกลุ่มสื่อสารและกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น ซึ่งช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่สี่ และพยุงดัชนี S&P500 ปิดที่เหนือระดับ 2,500 จุดเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นทั้งสองกลุ่มยังช่วยสกัดปัจจัยลบจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐ และข่าวการยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือ
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,268.34 จุด เพิ่มขึ้น 64.86 จุด หรือ +0.29% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,500.23 จุด เพิ่มขึ้น 4.61 จุด หรือ +0.18% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,448.47 จุด เพิ่มขึ้น 19.38 จุด หรือ +0.30%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 2.2% ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.4% และดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 1.6%
ตลาดหุ้นนิวอร์กได้รับปัจจัยบวกจากแรงซื้อที่ส่งเข้าหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้น Nvidia ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 6.32% หลังจากนักวิเคราะห์จากเอเวอร์คอร์ ไอเอสไอ ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้น Nvidia ขึ้นสู่ระดับ 250 ดอลลาร์ จากระดับ 180 ดอลลาร์ พร้อมกับปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้น Nvidia ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวด้านบวกจาก Nvidia ช่วยหนุนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นเฟซบุ๊ก เพิ่มขึ้น 0.4% หุ้นแอปเปิล ดีดตัวขึ้น 1.01% หุ้นอินเทล พุ่งขึ้นกว่า 1% และหุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี) พุ่งขึ้น 2.1%
ขณะที่หุ้นกลุ่มสื่อสารปรับตัวขึ้นและเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดปิดในแดนบวกเช่นกัน นำโดยหุ้นเอทีแอนด์ที พุ่งขึ้น 2.15% หุ้นเวอไรซอน ทะยานขึ้น 1.44% และหุ้นทีโมบาย ปรับตัวขึ้นกว่า 1%
หุ้นโบอิ้งพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดปิดตลาดเพิ่มขึ้น 1.53% เมื่อคืนนี้ หลังจากบริษัทเปิดเผยแผนการเพิ่มการผลิตเครื่องบิน 787 Dreamliner สู่ระดับ 14 ลำต่อเดือนในปี 2019 ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นของโบอิ้ง
ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มสื่อสารและกลุ่มเทคโนโลยีได้ช่วยสกัดปัจจัยลบจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐ โดยยอดค้าปลีกเดือนส.ค.ของสหรัฐร่วงลง 0.2% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% หลังจากยอดขายรถยนต์ปรับตัวลดลง ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.ลดลง 0.9% ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2009 และเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.ซึ่งสำรวจโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน ลดลงสู่ระดับ 95.3 จากระดับ 97.6 ในเดือนส.ค. เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์และเออร์มาพัดถล่มสหรัฐ
นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นทั้งสองกลุ่มยังสามารถสกัดปัจจัยลบจากข่าวการยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือ โดยเกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากกรุงเปียงยางข้ามเกาะฮอกไกโด ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น และตกลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิค เมื่อเวลาประมาณ 07.16 น.ตามเวลาท้องถิ่นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้นานาประเทศพากันวิตกกังวลว่าการกระทำอันยั่วยุของเกาหลีเหนืออาจทำให้สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
อินโฟเควสท์