WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

5 ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์หลังทะลุ 1,650 รับผลบวกเงินไหลเข้า-ราคาน้ำมันขึ้น,จับตาสถานการณ์เกาหลีเหนือ

      นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway up เนื่องจากดัชนีฯสามารถทะลุผ่านแนว 1,650 จุดขึ้นไปได้ทำให้เป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดฯ และกระแสเงินทุนต่างชาติก็ไหลเข้ามาด้วย รวมถึงราคาน้ำมันก็ปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์

        อย่างไรก็ดีให้ติดตามสถานการณ์ในต่างประเทศด้วย หลังจากที่เช้านี้เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธ ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบ สำหรับการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เมื่อวานนี้ ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.25% อยู่ แต่ได้ส่งสัญญาณจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทำให้หุ้นโลกปิดค่อนข้างกระจาย เพราะต้องประเมินทิศทางโลกกันใหม่ และตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯก็ปรับตัวขึ้นกว่าที่คาดไว้ ทำให้ความน่าจะเป็นที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสมากขึ้น

พร้อมให้แนวรับ 1,655-1,650 จุด ส่วนแนวต้าน 1,668-1,670 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

     - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 ก.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,203.48 จุด เพิ่มขึ้น 45.30 จุด (+0.20%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,429.08 จุด ลดลง 31.10 จุด (-0.48%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,495.62 จุด ลดลง 2.75 จุด (-0.11%)

     - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 13.64 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 6.28 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 40.60 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 3.25 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 9.22 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 9.68 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.62 จุด

       - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 ก.ย.60) 1,659.10 จุด เพิ่มขึ้น 16.16 จุด (+0.98%)

      - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,027.65 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 ก.ย.60

       - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 ก.ย.60) ปิดที่ 49.89 ดอลลาร์/บาร์เรล  เพิ่มขึ้น 59 เซนต์ หรือ 1.2% ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ หรือตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.

      - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 ก.ย.60) ที่ 9.07 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

       - เงินบาทเปิด 33.06/07 แข็งค่าจากวานนี้ วิตกข่าวเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธเช้านี้

       - 'แบงก์ชาติ'สั่งจับตาทุนนอกไหลเข้าบอนด์ เบื้องต้นเชื่อกระทบค่าเงินน้อย ลั่นไม่ต้อนรับเงินร้อนที่เข้ามาเก็งกำไร เตรียมเครื่องมือดูแลไว้พร้อม ย้ำลดดอกเบี้ยแก้บาทอ่อนได้แค่ชั่วคราว ด้าน "ไทยบีเอ็มเอ" ชี้เดือนก.ย.เงินไหลเข้าบอนด์อื้อ เน้นเข้าตัวสั้นหวังฟันส่วนต่างค่าเงินบาท

      - รมว.คลัง เผยไม่เห็นด้วยที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับกรอบเงินเฟ้อในปีนี้ใหม่ เพราะการกำหนดกรอบเงินเฟ้อปกติทำปีละครั้ง และเมื่อถึงสิ้นปี ธปท. ก็ต้องรายงานให้คลังทราบว่าทำได้หรือไม่

        - รมว.พลังงาน เร่งเปิดประมูล 2 แหล่งปิโตรเลียมที่จะหมดอายุทั้งบงกช-เอราวัณ มีความล่าช้า หลังกฤษฎีกาตรวจละเอียด ขณะที่ยังคาดรู้ผลในเม.ย.61 ขณะที่ยืนยันไฟฟ้าพอใช้ในอีอีซี ลั่นหากญี่ปุ่นลงทุนเพิ่ม สร้างสายส่งทันแน่นอน ด้าน สนพ. แนะรัฐวิสาหกิจต้องปรับตัว เหตุเทรนด์เปิดกว้างประชาชนเลือกซื้อพลังงานได้มากขึ้น

       - กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยเศรษฐกิจไทยยังสดใส คนแห่จดตั้งบริษัทเพิ่มต่อเนื่องสูงสุดในรอบ 4 ปี มูลค่าเพิ่ม 145% หรือเกือบ 3 หมื่นล้านบาท คาดทั้งปีขยายตัว 7% จากนโยบายเมกะโปรเจ็กต์รัฐบาล อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ท่องเที่ยว-ส่งออก ทำให้การบริโภคภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัว

*หุ้นเด่นวันนี้

       - ICN (บมจ.อินฟอร์เมชั่น แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น เน็ทเวิร์คส) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยราคาขาย IPO 1.84 บาท/หุ้น ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินราคาที่เหมาะสมปี 2560 โดยอิงค่าเฉลี่ย PE ของกลุ่ม SI ที่ 19 เท่า ได้ 2.90 บาท คาดกำไรปี 2560-2561 โตเฉลี่ยสูงถึง 97% ต่อปี

        บริษัทฯดำเนินธุรกิจออกแบบและวางระบบไอที (SI) อย่างครบวงจรทั้งงานรับเหมา และจำหน่ายอุปกรณ์ รวมถึงบำรุงรักษา หลังสิ้น 2Q60 มีงานในมือ 600-700 ล้านบาท และด้วยอุตสาหกรรมที่เป็นขาขึ้น กอปรกับ ภาครัฐฯ สนับสนุนการลงทุนด้าน Digital

      - PTT (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดได้รับแรงผลักดันจากโมเมนตัมตลาดที่มีทิศทางปรับขึ้น ประกอบกับ performance ด้านราคาที่ยัง Laggard หุ้นลูกทั้งปิโตรเคมีและโรงกลั่น

       - GLOBAL (ธนชาต) "ซื้อ"เป้า 18 บาท ข้อมูลที่ได้จาก CEO ได้ยืนยันมุมมองการเติบโตของ EPS ได้แตะจุดต่ำสุดแล้วใน 2Q60 และจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ 2H60F เนื่องจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม การขยายสาขา และการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น แม้จะปรับลดประมาณการกำไรลง 4-5% สะท้อนผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดใน 2Q60 แต่คาดว่ากำไรของ GLOBAL จะเติบโต 14% y-y ใน 2H60F เทียบกับ -5% y-y ใน 1H60 ก่อนที่จะเติบโต 19% และ 23% ในปี 2561-2562F แม้ปรับลดประมาณการกำไรลง

       - TCAP (เคทีบี) "ซื้อ"เป้า 56 บาท สินเชื่อเดือน ส.ค. 60 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง 0.6% MoM และ 3.1% YoY หรือคิดเป็น 1.6% YTD โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อเช่าซื้อที่เติบโตได้ตามยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น โดยยังชอบในแง่ของการเติบโตของกำไรสุทธิที่ทำได้โดดเด่นกว่ากลุ่ม ประกอบกับมีหนี้เสียที่อยู่ในระดับต่ำ

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลง วิตกข่าวเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธเช้านี้

     ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากที่เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธพิสัยกลางข้ามเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่น ไปตกในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีทวีความรุนแรงมากขึ้น

      ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,793.80 จุด ลดลง 13.64 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,365.15 จุด ลดลง 6.28 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,736.60 จุด ลดลง 40.60 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,556.82 จุด เพิ่มขึ้น 3.25 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,368.44 จุด ลดลง 9.22 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,211.27 จุด ลดลง 9.68 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,783.99 จุด เพิ่มขึ้น 2.62 จุด

      ทั้งนี้ นายโยชิฮิเดะ ซูกะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น แถลงต่อสื่อมวลชนว่า เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธก่อนเวลา 07.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น โดยขีปนาวุธเคลื่อนตัวอยู่บนอากาศเป็นเวลาประมาณ 20 นาที ก่อนที่จะตกลงห่างจากแหลมเอริโมะออกไปประมาณ 2,200 กิโลเมตร ในเวลา 07.16 น.ตามเวลาท้องถิ่น

        ทางด้านนายทาโร่ โคโนะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เขาเชื่อว่าขีปนาวุธที่เกาหลีเหนือยิงในช่วงเช้าวันนี้ เป็นขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) เมื่อพิจารณาจากระยะทางในการร่อนบินของขีปนาวุธ

      ส่วนทางกองทัพของเกาหลีใต้ได้ออกมายืนยันว่า เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธในช่วงเช้านี้ โดยยิงจากเขตซูนาน ในกรุงเปียงยาง ไต่ระดับที่ความสูง 770 กิโลเมตรจากพื้นดิน และเคลื่อนตัวอยู่กลางอากาศเป็นระยะทางประมาณ 3,700 กิโลเมตร

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดร่วง 84.31 จุด หลัง BoE ส่งสัญญาณเตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ย

     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงกว่า 1.1% เมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) จากแรงกดดันของสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเป็นอย่างมาก ภายหลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

       ดัชนี FTSE 100 ลดลง 84.31 จุด หรือ -1.14% ปิดที่ 7,295.39 จุด

      ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมกำหนดนโยบายการเงินเมื่อวานนี้ โดย BoE มีมติด้วยคะแนนเสียง 7-2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะเดียวกันก็มีมติให้คงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 4.35 แสนล้านปอนด์ และคงวงเงินซื้อหุ้นกู้ในภาคเอกชนที่ระดับ 1 หมื่นล้านปอนด์

        นอกจากนี้ รายงานการประชุมของ BoE ยังระบุด้วยว่า บรรดาผู้กำหนดนโยบายต่างเห็นว่า การถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงินบางส่วนในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า น่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะสม เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างมากในเดือนส.ค. ให้ปรับตัวลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ของ BoE

        ค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้นขานรับรายงานการประชุมของ BoE โดยสกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 1.3399 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3206 ดอลลาร์ ซึ่งการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้ฉุดหุ้นกลุ่มบริษัทข้ามชาติปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่

       หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลงจากแรงกดดันของข้อมูลภาคการผลิตที่น่าผิดหวังของจีน โดยหุ้นริโอ ทินโต ร่วงลง 3.4% และหุ้นเกลนคอร์ ร่วง 3.3%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดขยับขึ้น แต่แรงบวกถูกสกัดหลังแบงก์ชาติอังกฤษส่งสัญญาณขึ้นดบ.

       ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) โดยตลาดได้ปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า ยอดขายรถยนต์ในสหภาพยุโรป (EU) ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนส.ค. อย่างไรก็ตาม แรงบวกได้ถูกสกัดลง หลังจากธนาคารกลางอังกฤษส่งสัญญาณว่า ธนาคารกลางอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง หลังจากทางการจีนเปิดเผยว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวลง

       ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.1% ปิดที่ 381.79 จุด

       ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,225.20 จุด เพิ่มขึ้น 7.61 จุด หรือ +0.15% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,540.45 จุด ลดลง 13.12 จุด หรือ -0.10% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,295.39 จุด ลดลง 84.31 จุด หรือ -1.14%

       ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป (ACEA) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ในสหภาพยุโรป (EU) เดือนส.ค. ปรับตัวขึ้น 5.6% สู่ระดับ 865,047 คัน จากอานิสงส์ยอดขายรถยนต์ในตลาดใหญ่ๆ ที่ยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ACEA ระบุว่า เดือนส.ค.ถือเป็นเดือนที่มียอดขายรถยนต์สูงที่สุดในรอบ 10 ปี

      หุ้นเฟียต ไครสเลอร์ ออโต้โมบิลส์ พุ่งขึ้น 2.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายรถยนต์ในตลาดยุโรปเพิ่มขึ้น 9.8% ในเดือนส.ค.

       อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างผันผวน โดยดัชนีตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงกว่า 1% หลังจากธนาคารกลางอังกฤษส่งสัญญาณว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

       "สมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินทั้งหมดเห็นพ้องกันว่า ถ้าหากเศรษฐกิจมีการปรับตัวสอดคล้องกับการคาดการณ์ในรายงานเงินเฟ้อในเดือนส.ค. ก็จำเป็นต้องมีการคุมเข้มนโยบายการเงินเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้" ธนาคารกลางอังกฤษแถลงภายหลังการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวานนี้

       สำหรับ การประชุมในครั้งนี้ คณะกรรมการธนาคารกลางอังกฤษมีมติด้วยคะแนนเสียง 7-2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และให้คงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 4.35 แสนล้านปอนด์ และคงวงเงินซื้อหุ้นกู้ในภาคเอกชนที่ระดับ 1 หมื่นล้านปอนด์

      หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานเมื่อวานนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค. ขยายตัว 6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงหลังจากที่ขยายตัว 6.4% ในเดือนก.ค.

        ทั้งนี้ หุ้นเกลนคอร์ ร่วงลง 3.3% หุ้นริโอทินโต ดิ่งลง 3.4% อาร์เซลอร์มิททัล ร่วงลง 1.3%

        หุ้นสวิส รี ปิดตลาดขยับขึ้น 0.1% หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักในระหว่างวัน จากการที่บริษัทได้ออกมาปรับลดคาดการณ์ผลกำไรในปี 2560 เนื่องจากผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนเออร์มาและฮาร์วีย์

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 45.30 จุด รับหุ้นโบอิ้งพุ่งแรง

      ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) โดยได้รับปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นโบอิ้ง หลังจากบริษัทประกาศแผนเพิ่มการผลิตเครื่องบิน 787 Dreamliner ซึ่งช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่สาม อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดในเดือนส.ค. อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

      ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,203.48 จุด เพิ่มขึ้น 45.30 จุด หรือ +0.20% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,429.08 จุด ลดลง 31.10 จุด หรือ -0.48% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,495.62 จุด ลดลง 2.75 จุด หรือ -0.11%

      หุ้นโบอิ้ง ซึ่งเป็นหุ้นที่มีทุนจดทะเบียนสูงในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดพุ่งขึ้น 1.36% หลังจากบริษัทเปิดเผยแผนการเพิ่มการผลิตเครื่องบิน 787 Dreamliner สู่ระดับ 14 ลำต่อเดือนในปี 2019

       หุ้นแลตทิซ เซมิคอนดัคเตอร์ ปรับตัวขึ้น 0.5% หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาคัดค้านความพยายามของบริษัทจีนที่ต้องการครอบครองแลตทิซ เซมิคอนดัคเตอร์ของสหรัฐ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ

       ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น 0.39% หลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น ภายหลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันทั่วโลก

       อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนลบ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีCPI ดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนก.ค.

      ทั้งนี้ ดัชนี CPI ที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าว บ่งชี้ถึงภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ หลังจากปรับขึ้นในเดือนมี.ค. และมิ.ย.

      CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นถึง 52.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้

       หุ้นเบด บาธ แอนด์ บียอนด์ ร่วงลง 1.7% หลังจากนักวิเคราะห์ของยูบีเอสได้ปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นเบด บาธ แอนด์ บียอนด์ ลงสู่ระดับ 30 ดอลลาร์ จากระดับ 33 ดอลลาร์

       หุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 0.9% เนื่องจากความกังวลที่ว่า การที่บริษัทแอปเปิล อิงค์กำหนดเวลาการวางจำหน่ายไอโฟนเท็น ในวันที่ 3 พ.ย. ซึ่งล่าช้ากว่าการวางจำหน่ายไอโฟน 8 และไอโฟน 8 พลัส จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลประกอบการในไตรมาส 4 ของแอปเปิล

       สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐซึ่งมีผลต่อความเคลื่อนไหวในตลาดเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 284,000 ราย สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 300,000 ราย

     นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนส.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

         อินโฟเควสท์ 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!