WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

3ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งแคบ-Wait & See รอประเด็นใหม่ หวั่นแรงกดดันจากราคาน้ำมันร่วง

       นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งแคบ ในลักษณะ Wait & See รอประเด็นใหม่ที่จะเข้ามา เนื่องจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ปรับตัวลงถึงทรงตัว  ภายหลังจากราคาน้ำมันดิบเมื่อคืนที่ผ่านมาปรับตัวลงแรงกว่า 4%

      โดยปัจจัยที่จะต้องติดตามเป็นตัวเลขการจ้างงานที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ และการประชุม G20 ที่จะมีขึ้นในปลายสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี คงจะโฟกัสไปที่แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/60 มากกว่า ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง และนักลงทุนคงจะเลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัวตามประเด็นที่เกิดขึ้น

พร้อมให้แนวรับ 1,570-1,560 จุด ส่วนแนวต้าน 1,577-1,585 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

       - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (5 ก.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,478.17 จุด ลดลง 1.10 จุด (-0.01%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,150.86 จุด เพิ่มขึ้น 40.80 จุด (+0.67%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,432.54 จุด เพิ่มขึ้น 3.53 จุด (+0.15%)

       - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 19.95 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.27 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 52.60 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 24.13 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 1.96 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 0.18 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.16 จุด

      - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (5 ก.ค.60) 1,575.02 จุด เพิ่มขึ้น 0.91 จุด (+0.06%)

       - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 32.03 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 ก.ค.60

      - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (5 ก.ค.60) ปิดที่ 45.13 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.94 ดอลลาร์ หรือ 4.1%

       - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (5 ก.ค.60) ที่ 6.76 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

       - เงินบาทเปิด 34.03 แนวโน้มอ่อนค่า หลังดอลล์แข็งขานรับรายงานการประชุมเฟด

       - กนง.มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีนี้ขึ้นเป็น 3.5% จากคาดการณ์เดิม 3.4% และในปี 2561 จีดีพีโต 3.7% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้น ส่งผลให้การส่งออกขยายตัวดี คาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 5% ในปีนี้

       - บอร์ดกสทช.ยกเลิกลงทะเบียนโอทีทีเดิม วางแนวทางใหม่จัดทำร่างประกาศฯ เสนอบอร์ดใน 30 วัน ก่อนประชาพิจารณ์ คาดแล้วเสร็จ 60 วัน ส่งประกาศราชกิจจาฯ "ฐากร" มั่นใจทำงานทัน ก่อนกรรมการหมดวาระ 6 ต.ค.นี้

       - ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) ได้เห็นชอบรับร่างระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านฯ ว่าด้วยการบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ พ.ศ. 2560 หรือโครงการ 1.5 หมื่นล้านบาท หลังจากระเบียบผ่านการอนุมัติแล้ว

       - กรอ.เผยยอดขอร.ง. 4 ช่วง 6 เดือนแรกของปีหดจากปีก่อน 2.03% ชี้เอกชนยังรอดูสถานการณ์ครึ่งปีหลัง ฟาก กนอ.ติดตามสถานการณ์ฝน หวั่นกระทบนิคมอุตสาหกรรม

       - กกร.ปรับเป้าส่งออกเพิ่มเป็นปีนี้โต 3.5-4.5% ขณะที่เอกชนพอใจ คสช. ใช้ม.44 ยืดใช้ พ.ร.ก.แรงงานใหม่ออกไป 180 วัน เพื่อให้ดำเนินการให้ถูกต้องแต่ยังไม่ชัวร์ว่าจะเพียงพอหรือไม่

*หุ้นเด่นวันนี้

       - NCL-W2 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ (NCL)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 63,635,200 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ :  1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 1.50 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 12 เดือนนับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (วันที่ 30 มิถุนายน 2560) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 29 ธ.ค. 2560 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 29 มิ.ย. 2561

      - SAWAD (เคทีบี) "ซื้อ"เป้า 59 บาท มีแนวโน้มขยายสินเชื่อเชิงรุก ทั้งการขยายสาขาในประเทศ การขยายสินเชื่อเข้าสู่กลุ่มประเทศ CLMV และการควบรวม BFIT ที่ก่อให้เกิดโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคต ทั้งประเภทสินเชื่อที่นำเสนอ และต้นทุนทางการเงินที่คาดว่าจะต่ำลง คาดกำไรปี 2560 อยู่ที่  2,636 ล้านบาท +32.3%YoY

      - KKP (ฟินันเซีย ไซรัส) ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงเป็นโอกาสซื้อเพื่อรับปันผล คาดขึ้น XD งวด 1H60 ช่วงต้น ก.ย. ถ้าจ่ายเท่า 1H59 ที่ 2 บาทต่อหุ้น จะคิดเป็นผลตอบแทน 3% โดยทั้งปีคาดจ่ายไม่น้อยกว่าปีก่อนที่ 6 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนเกือบ 9% ต่อปี พร้อมคาดกำไร 2Q60 +5%Q-Q, +24%Y-Y จากสินเชื่อที่โต 5%YTD แรงกว่ากลุ่มที่โตเพียง 1%YTD ขณะที่ 2H60 จะมีการรับรู้งาน IB ทั้ง IPO หุ้นใหญ่และ Thailand Futures Fund รวมถึงกำไรจากการขาย NPA และเดือนที่ผ่านมา ราคา KKP แกว่ง Underperform กลุ่มอยู่ 5% ซึ่งเป็นระดับที่มักฟื้นกลับตามพฤติกรรมช่วง 1 ปีที่ผ่านมาด้วยความน่าจะเป็น 90%

       - CPF (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 32 บาท คาดกำไร 2Q60 ที่ 3,017 ลบ. +28%Q-Q จากปริมาณไก่ส่งออกที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจกุ้งฟื้น และอาการสัตว์ที่ปรับตัวลง แต่เมื่อเทียบ Y-Y คาด -36% จากธุรกิจหมูที่แย่ทั้งไทยและเวียดนาม โดยคาดกำไรกลับมาโดดเด่นใน 2H60 เพราะ 3Q60 เป็น High Season และคาดธุรกิจหมูในเวียดนามจะขาดทุนลดลง ส่วนดีลซื้อกิจการ 2 แห่ง แม้ขนาดไม่ใหญ่แต่จะเป็นใบเบิกทางสู่ยุโรป

       - MGT (โกลเบล็ก) "ซื้อ"เป้า 3.47 บาท คาดกำไรปี 60 ที่ 52 ลบ. (+58%YoY)  โดยได้แรงหนุนจากการตลาดเชิงรุกและลูกค้าอุตสาหกรรมพลาสติกยังคงขยายตัวได้ดีกว่าอุตสาหกรรมอื่น ขณะที่คาดว่าจะสามารถรักษาระดับกำไรขั้นต้นได้ที่ 27%จากลดการขายผ่านตัวแทนและขายผ่านสาขาตัวเอง นอกจากนี้ต้นทุนบริหารจัดการส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ทำให้มี economy of scale เมื่อมีการเพิ่มยอดขาย

ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ หลังเฟดส่งสัญญาณปรับลดงบดุล, จับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐ

        ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในช่วงเช้าวันนี้ หลังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะเริ่มปรับลดงบดุลในเร็วๆนี้ ขณะเดียวกัน นักลงทุนกำลังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้

       ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 20,061.68 จุด ลดลง 19.95 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,203.86 จุด ลดลง 3.27 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,574.57 จุด เพิ่มขึ้น 52.60 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,380.66 จุด ลดลง 24.13 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,390.31 จุด เพิ่มขึ้น 1.96 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,248.89 จุด เพิ่มขึ้น 0.18 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,768.00 จุด ลดลง 0.16 จุด

       รายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ของเฟดระบุว่า กรรมการหลายคนของเฟดได้สนับสนุนให้เริ่มปรับลดงบดุลบัญชีของเฟดซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่า เฟดจะเริ่มดำเนินการปรับลดการถือครองหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ รวมถึงตราสารหนี้ของหน่วยงานรัฐบาล และหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) หลังจากที่เฟดได้ถือครองหลักทรัพย์ดังกล่าวมาเป็นเวลานาน เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

       นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนมิ.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นราว 174,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้นเพียง 138,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. และคาดว่า อัตราว่างงานเดือนมิ.ย.จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.4% จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 4.3%

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 10.37 จุด นลท.ชะลอซื้อขายจากข้อมูลศก.ที่อ่อนแอของอังกฤษ

     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ (5 ก.ค.) ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่เป็นไปอย่างระมัดระวัง สืบเนื่องจากข้อมูลภาคบริการที่อ่อนแอของอังกฤษ รวมถึงปัจจัยความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หลังจากที่เกาหลีเหนือได้ประกาศความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) เป็นครั้งแรก

       ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 10.37 จุด หรือ +0.14% แตะที่ 7,367.60 จุด

       ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้เป็นไปอย่างผันผวน ก่อนที่จะปิดขยับขึ้นเล็กน้อย โดยค่าเงินสกุลปอนด์ร่วงลง 0.0464% หลุดระดับ 1.29 ดอลลาร์ ภายหลังจากมาร์กิต/ซีไอพีเอสเปิดเผยข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหราชอาณาจักร ซึ่งชะลอตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 53.4 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 53.8 ในเดือนพ.ค. โดยถือเป็นการขยายตัวช้าที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.

     นักวิเคราะห์ตลาด กล่าวว่า นักลงทุนได้ระมัดระวังการซื้อขายเพื่อรอดูรายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีการเปิดเผยภายหลังจากตลาดหุ้นลอนดอนปิดทำการ โดยเฟดได้ส่งสัญญาณที่จะเดินหน้าปรับลดงบดุลบัญชีของเฟด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์

      หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวผันผวน โดยหุ้นเกลนคอร์ เพิ่มขึ้น 1.3% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ขยับขึ้น 0.6% แต่หุ้นเฟรสนิลโล ผู้ผลิตแร่โลหะมีค่า ปรับตัวลง 0.7% เช่นเดียวกับหุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส ที่ลดลง 0.3%

     หุ้นเวิลด์เพย์ ผู้ให้บริการชำระเงินระดับชั้นนำ ร่วง  8.8% หลังแวนทิฟ อิงค์ ผู้ให้บริการบัตรเครดิตรายใหญ่จากสหรัฐ ได้เสนอซื้อกิจการเวิลด์เพย์ด้วยวงเงิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าข้อเสนอของเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ที่สนใจเทคโอเวอร์บริษัทดังกล่าวเช่นกัน

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก รับหุ้นอาดิดาสพุ่ง,ยอดค้าปลีกยูโรโซนฟื้น

    ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นอาดิดาส หลังจากนักวิเคราะห์ของเอชเอสบีซีได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นอาดิอาส รวมทั้งรายงานยอดค้าปลีกของยูโรโซนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ค. อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน จากการร่วงลงอย่างหนักของราคาน้ำมัน และความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ หลังจากเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธข้ามทวีปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้

       ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดบวก 0.2% แตะที่ 382.99 จุด

       ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,453.68 จุด เพิ่มขึ้น 16.55 จุด หรือ +0.13% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,180.10 จุด เพิ่มขึ้น 5.20 จุด หรือ +0.10% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,367.60 จุด เพิ่มขึ้น 10.37 จุด หรือ +0.14%

      ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยหนุนหลังจากสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกในยูโรโซนเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และเมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกในยูโรโซนเพิ่มขึ้น 2.6%

       หุ้นอาดิดาสพุ่งขึ้น 4.9% หลังจากนักวิเคราะห์ของเอชเอสบีซีได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นอาดิอาสขึ้นสู่ระดับ "buy" จากระดับ "hold"

        อย่างไรก็ตาม การร่วงลงของราคาน้ำมันได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง และส่งผลให้แรงบวกในตลาดหุ้นยุโรปถูกสกัดลงในระหว่างวัน โดยหุ้นบีพี และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ต่างก็ปรับตัวลงกว่า 1.3% ขณะที่หุ้นเรพซอล ดิ่งลง 1.7% และหุ้นสแตทออยล์ ร่วงลง 2.4%

      ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงกว่า 4% เมื่อคืนนี้ หลังจากมีรายงานว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้น รวมทั้งข่าวที่ว่า รัสเซียได้ปฏิเสธข้อเสนอที่จะปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม

       นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในต่างประเทศ หลังจากที่เกาหลีเหนือได้ประกาศความสำเร็จในการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปเมื่อช่วงเช้าวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้นานาประเทศ รวมทั้งองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ออกมาประณามอย่างรุนแรง

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 1.10 จุด หลังราคาน้ำมันร่วง,เฟดส่งสัญญาณปรับลดงบดุล

      ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (5 ก.ค.) เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 4% นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งบ่งชี้ว่า เฟดอาจจะเริ่มปรับลดงบดุลในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดตลาดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

      ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,478.17 จุด ลดลง 1.10 จุด หรือ -0.01% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,432.54 จุด เพิ่มขึ้น 3.53 จุด หรือ +0.15% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,150.86 จุด เพิ่มขึ้น 40.80 จุด หรือ +0.67%

       ดัชนีดาวโจนส์ปิดอ่อนแรงลง เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงอย่างหนักได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล และหุ้นเชฟรอน ต่างก็ร่วงลงกว่า 1.5% ขณะที่หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ดิ่งลง 6.6% และหุ้นทรานส์โอเชียน ร่วงลง 4.5%

       ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI)ร่วงลงกว่า 4% เมื่อคืนนี้ หลังจากมีรายงานว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้นในเดือนนี้ รวมทั้งข่าวที่ว่า รัสเซียได้ปฏิเสธข้อเสนอที่จะปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม

       ขณะเดียวกัน บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากรายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ของเฟดระบุว่า กรรมการหลายคนของเฟดได้สนับสนุนให้เริ่มปรับลดงบดุลบัญชีของเฟดซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ของเฟด ซึ่งหมายความว่า เฟดจะเริ่มดำเนินการปรับลดการถือครองหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ รวมถึงตราสารหนี้ของหน่วยงานรัฐบาล และหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) หลังจากที่เฟดได้ถือครองหลักทรัพย์ดังกล่าวมาเป็นเวลานาน เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

      นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งระบุว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐลดลง 0.8% ในเดือนพ.ค. ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวลงเพียง 0.5%

       หุ้นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ร่วงลง หลังจากบริษัท โอเรลลี ออโต้โมทีฟ เปิดเผยยอดขายที่น่าผิดหวังในไตรมาส 2 โดยหุ้นโอเรลลี ดิ่งลง 19% หุ้นแอดวานซ์ ออโต้ พาร์ท ร่วงลง 11% หุ้นออโต้โซน ปรับตัวลง 9.6% ส่วนหุ้นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์นั้น หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ ร่วงลง 1.6% และหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ดิ่งลง 2.2%

       อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq and S&P 500 ปิดในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างคึกคัก โดยหุ้นอินเทล คอร์ป พุ่งขึ้น 2.6% หุ้นไมโครซอฟท์ ดีดตัวขึ้น 1.3% ส่วนหุ้นอเมซอน หุ้นแอปเปิล และหุ้นอีเบย์ ต่างก็ปิดตลาดปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า

       นักลงทุนจับตาสถานการณ์ตึงเครียดด้านการเมืองระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด หลังจากที่เกาหลีเหนือได้ออกมาประกาศความสำเร็จในการยิงขีปนาวุธข้ามทวีป พร้อมกับจับตาท่าทีของบรรดาผู้นำของประเทศต่างๆ ก่อนที่การประชุมกลุ่ม G20 จะมีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ที่ประเทศเยอรมนี

       นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนมิ.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นราว 174,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้นเพียง 138,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. และคาดว่า อัตราว่างงานเดือนมิ.ย.จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.4% จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 4.3%

        สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย.จาก ADP, ดุลการค้าเดือนพ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนมิ.ย. โดยมาร์กิต และดัชนีภาคบริการเดือนมิ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)

อินโฟเควสท์  

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!