- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Tuesday, 04 July 2017 10:47
- Hits: 9160
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์อิงบวกเล็กน้อยเล็งแรงหนุนกลุ่มพลังงาน-แบงก์
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าดัชนีฯจะแกว่งไซด์เวย์ อิงบวกเล็กน้อย เนื่องจากราคาน้ำมันดิบเมื่อคืนที่ผ่านมารีบาวด์ขึ้นมา ทำให้น่าจะได้เห็นแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานเข้ามาบ้าง ประกอบกับ อาจมีแรงเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มแบงก์ที่จะทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 2/60 ช่วงกลางเดือนนี้ (ก.ค.)
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบสลับกัน โดยนอกประเทศเวลานี้ให้ติดตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯหลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าลงไปมาก และพรุ่งนี้ (5 ก.ค.) ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งตลาดฯคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ซึ่งก็ไม่ได้มีนัยสำคัญต่อตลาดฯ และวันศุกร์นี้ (7 ก.ค.) ติดตามตัวเลขการจ้างงานและการว่างงานของสหรัฐฯ อาจจะมีผลต่อการพิจารณาการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งจะประชุมอีกครั้งในวันที่ 25-26 ก.ค.นี้
พร้อมให้แนวรับ 1,575 จุด ส่วนแนวต้าน 1,587 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (3 ก.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,479.27 จุด พุ่งขึ้น 129.64 จุด (+0.61%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,110.06 จุด ลดลง 30.36 จุด (-0.49%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,429.01 จุด เพิ่มขึ้น 5.60 จุด (+0.23%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 136.47 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.02 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 1.32 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 14.86 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 0.76 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 7.80 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.02 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (3 ก.ค.60) 1,579.41 จุด เพิ่มขึ้น 4.67 จุด (+0.30%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 402.08 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 ก.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (3 ก.ค.60) ปิดที่ 47.07 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.03 ดอลลาร์ หรือ 2.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (3 ก.ค.60) ที่ 6.71 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.00 ทรงตัวรอปัจจัยใหม่ มองกรอบวันนี้ 33.97-34.05 ตลาดรอดูตัวเลขศก.สหรัฐฯ
- ชง คสช.พิจารณาออกคำสั่ง ม.44 แก้ปัญหาพ.ร.ก.แรงงานต่างด้าววันนี้ เล็งชะลอโทษ 3 มาตรา เชื่อ 120 วันแก้ปัญหาสำเร็จ ขณะที่วิป สนช.เตรียมบรรจุเข้าที่ประชุมใหญ่แปลงเป็นพ.ร.บ. "หมอเจตน์" ระบุไม่ต้องรับฟังความเห็นตามเงื่อนไข มาตรา 77 เผยแรงงานต่างด้าวเดินทางกลับแล้วเฉียด 3 หมื่น นายกฯ แจงจำเป็นต้องแก้กฎหมายเหตุถูกต่างชาติจับตา ผู้ว่าฯ เมียวดีร้องตรวจสอบเจ้าหน้าที่ไทยเรียกรับเงินแรงงานเมียนมา
- ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (เงินเฟ้อ) เดือน มิ.ย. 2560 เท่ากับ 100.66 ลดลง 0.05% เทียบกับเดือน มิ.ย. 2559 ซึ่งเป็นการปรับลดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และลดลงต่ำสุดในรอบ 15 เดือน นับจากเดือน มี.ค. 2559 แต่เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค. 2560 เงินเฟ้อสูงขึ้น 0.02% ส่งผลให้เงินเฟ้อเฉลี่ยครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) เพิ่มขึ้น 0.67%
- ผู้แทนสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) แถลงดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือน ก.ค. ซึ่งมองไปยัง 3 เดือนข้างหน้า 100.01 จุด ลดลง 1.62% จากครั้งก่อนที่ 101.66 จุด และถือว่าอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวติดต่อเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน
- กลุ่ม ปตท.ลุยลงทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น เตรียมลงทุนผลิตเอนเนอร์ยี่สตอร์เรจ บริษัทในเครือจีพีเอสซีได้สิทธิผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน คาดออกขายปี 2562 พร้อมรุกธุรกิจกาแฟอเมซอนในญี่ปุ่น จับมือ 6 ค่ายรถยนต์ ทำสถานีชาร์จไฟ
*หุ้นเด่นวันนี้
- BEM (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 8.50 บาท เลือกเป็น Top pick เดือนนี้เข้า Theme การลงทุนคือ Domestic & Defensive อีกทั้งธุรกิจรถไฟฟ้าจะเริ่มก้าวกระโดดใน 1-5 ปีข้างหน้าอย่างชัดเจนหลังสายสีน้ำเงินต่อขยาย,สายสีม่วงต่อขยายและสายสีส้ม เปิดให้บริการพร้อมกัน อีกทั้งบริษัทฯมี upside ที่ยังไม่ถูกรวมไว้ในประมาณการอีกมากเช่น การต่อายุสัมปทานทางด่วน สัมปทานเดินรถสายสีส้ม และ ม่วงต่อขยาย และอื่นๆ พร้อมประเมินกำไรไตรมาส 2 ที่ 599 ล้านบาท (+18.2%YoY, -14.9%QoQ)
- SCB (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 182 บาท คาดกำไร 2Q60 ลดลง 4% Q-Q และ 10% Y-Y อยู่ที่ 1.15 หมื่นลบ.จากแรงกดดันการปรับลดดอกเบี้ยทุกประเภท ต่างจากแบงก์อื่นที่ปรับลดเฉพาะ MRR ซึ่งคาดว่าจะกระทบ NIM ราว 0.12-0.15% ต่อปี สวนทางกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทั้ง Q-Q และ Y-Y จากการปรับปรุงระบบงานและพนักงาน โดยยังคงประมาณการกำไรปีนี้ที่ 4.78 หมื่นลบ. (+0.4% Y-Y)
- KTB (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อลงทุน"เป้า 24 บาท ที่ประชุมผู้ถือหุ้น AQ อนุมัติเพิ่มขึ้น PP หากนำเงินมาชำระหนี้คืน KTB จะบันทึกรายได้ดอกเบี้ยย้อนหลังเป็น One-time และบวกกลับรายการเงินสำรองฯที่เคยตั้งไปแล้วใน 3Q60 แต่คาด KTB จะนำไปหักกลบการตั้งสำรองฯพิเศษเพิ่มเติมหรือกรณี EARTH ผลทางอ้อมจึงช่วยผ่อนคลาย Credit cost หรือลด NPL มากกว่า
- SPALI (ไอร่า) เป้า 29.50 บาท คาดผลงานปี 60 ผ่านจุดต่ำสุดเมื่อ Q1 คาดรายได้โอนทยอยเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่เหลือของปี และสูงสุดใน Q3/60 ตาม Backlog รอโอนที่คาดเข้ามามาก คาด 2Q/60 เติบโตสูง qoq (แต่ยังอ่อนตัว yoy ซึ่งมีฐานสูง) ยอดโอนโครงการแนวราบที่คาดกลับเข้าสู่ภาวะปกติ 3,000 ล้านบาท และยอดโอนคอนโดคาดเพิ่มขึ้นมาก จากการโอนต่อเนื่องของโครงการเดิมและการทยอยส่งมอบ อีก 3 โครงการใหม่ โดยเฉพาะคอนโดใหญ่ “Ratchavibha Prachachuen" มูลค่า 4,500 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายสูงถึง 83%
ตลาดหุ้นเอเชียดีดขึ้นเช้านี้ ขานรับดาวโจนส์พุ่งแรง,ข้อมูลการผลิตสหรัฐสดใส
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ขานรับดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืน โดยได้แรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงาน
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 20,192.27 จุด เพิ่มขึ้น 136.47 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,192.89 จุด ลดลง 3.02 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,782.85 จุด ลดลง 1.32 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,397.93 จุด ลดลง 14.86 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,395.24 จุด เพิ่มขึ้น 0.76 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,231.26 จุด เพิ่มขึ้น 7.80 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,767.65 จุด ลดลง 1.02 จุด
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่สดใส โดยผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 57.8 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 54.9 ในเดือนพ.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 55.1
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดพุ่ง 64.37 จุด ด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงาน-เหมืองแร่
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเป็นครั้งแรกในรอบ 5 วันทำการเมื่อคืนนี้ (3 ก.ค.) ด้วยแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ สืบเนื่องจากปัจจัยราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมภาคการผลิตของจีน
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 64.37 จุด หรือ +0.88% ปิดที่ 7,377.09 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 1.9% และหุ้นรอยัล ดัตช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 1.8% ด้วยปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กที่พุ่งขึ้นกว่า 1% ก่อนที่ตลาดหุ้นลอนดอนจะปิดทำการ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ปิดทะยานขึ้น 2.2% เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 8 และเป็นสถิติช่วงขาขึ้นที่ยาวนานที่สุดในรอบกว่า 5 ปี สืบเนื่องจากมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐปรับตัวลดลง และแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐปรับตัวลงเป็นสัปดาห์แรกนับตั้งแต่เดือนม.ค.ปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการผลิตน้ำมันของสหรัฐเริ่มชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า ภายหลังจากมาร์กิตและไฉซินเปิดเผยรายงานว่า ข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 50.4 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 49.6 ในเดือนพ.ค. สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
หุ้นเกลนคอร์ พุ่งขึ้น 5% หุ้นแองโกล อเมริกันพุ่งขึ้น 4% และหุ้นริโอ ทินโต พุ่งขึ้น 4.1%
สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของอังกฤษที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ มาร์กิต/ซีไอพีเอส เปิดเผยรายงานว่า ข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตของอังกฤษอยู่ที่ระดับ 54.3 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน โดยลดลงจากระดับ 56.3 เมื่อเดือนพ.ค.
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดพุ่ง หลังข้อมูลการผลิตจีนหนุนหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์
ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ หลังจากมีรายงานว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนมิ.ย. นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน
ดัชนี Stoxx Europe 600 พุ่งขึ้น 1.1% ปิดที่ 383.41 จุด ซึ่งเป็นการปิดบวกวันแรกในรอบ 5 วันทำการ
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,475.31 จุด เพิ่มขึ้น 150.19 จุด หรือ +1.22% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,195.72 จุด เพิ่มขึ้น 75.04 จุด หรือ +1.47% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,377.09 จุด เพิ่มขึ้น 64.37 จุด หรือ +0.88%
หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้น โดยหุ้นโบลิเดน ทะยานขึ้น 3.2% หุ้นเกล็นคอร์ พุ่งขึ้น 5% และหุ้นอาร์เซลอร์ มิททัล ปรับขึ้น 3.8% หลังจากมาร์กิตและไฉซินเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีน เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 50.4 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 49.6 ในเดือนพ.ค. สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51.7 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 51.2 ในเดือนพ.ค. บ่งชี้ว่ากิจกรรมในภาคการผลิตของจีนขยายตัวเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกันแล้ว
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนมีการขยายตัว และดัชนีที่เคลื่อนไหวต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัวในภาคการผลิต
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน โดยหุ้นทุลโลว์ ออยล์ พุ่งขึ้น 3.8% และหุ้นซับซี เซเว่น พุ่งขึ้น 1.7% หุ้นทุลโลว์ ออยล์ ปรับตัวขึ้น 3.1% หุ้นโททาล ทะยาน 2% หุ้นบีพี พุ่งขึ้น 1.9% และหุ้นรอยัล ดัตช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 1.8%
หุ้นโททาลได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานที่ว่า อิหร่านลงนามในข้อตกลงวงเงิน 5 พันล้านดอลลาร์กับบริษัทโททาลของฝรั่งเศส และบรรษัทปิโตรเลียมแห่งชาติของจีน เพื่อพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งของอิหร่าน โดยข้อตกลงดังกล่าวนับเป็นข้อตกลงฉบับแรกที่อิหร่านทำไว้กับบริษัทต่างชาติ นับตั้งแต่ที่อิหร่านบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับชาติตะวันตกในปี 2015
หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น โดยหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ปรับตัวขึ้น 2.5% หุ้นบังโค ซานตานเดร์ พุ่งขึ้น 3.6% และหุ้นดอยซ์แบงก์ เพิ่มขึ้น 3.7% หลังจากผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) และประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ออกมาส่งสัญญาณการพิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินให้มีความเข้มงวดขึ้น
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 129.64 จุด รับแรงซื้อหุ้นแบงก์,พลังงาน,ข้อมูลการผลิตสดใส
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 ก.ค.) ซึ่งเป็นการซื้อขายวันแรกของไตรมาส 3 โดยตลาดได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน รวมทั้งรายงานที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของภาคการผลิตในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม การร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ฉุดดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,479.27 จุด พุ่งขึ้น 129.64 จุด หรือ +0.61% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,429.01 จุด เพิ่มขึ้น 5.60 จุด หรือ +0.23% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,110.06 จุด ลดลง 30.36 จุด หรือ -0.49%
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเพราะได้ปัจจัยหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 2% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น 1.3%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้อนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐทั้ง 34 แห่ง สามารถเดินหน้าแผนเพิ่มการจ่ายเงินปันผล และซื้อหุ้นคืนได้ หลังจากที่ธนาคารเหล่านี้ได้ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ประจำปีรอบที่ 2 ของเฟด
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ หลังจากมีสัญญาณบ่งชี้ว่าการผลิตน้ำมันของสหรัฐเริ่มชะลอตัวลง โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในรอบเกือบ 1 เดือน นำโดยหุ้นเชฟรอน และหุ้นเอ็กซอน โมบิล
หุ้นกลุ่มรถยนต์ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ พุ่งขึ้น 3.3% และหุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ดีดตัวขึ้น 1.8% แม้มีรายงานว่ายอดขายรถยนต์ในเดือนมิ.ย.ปรับตัวลดลงก็ตาม
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนจากผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 57.8 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 54.9 ในเดือนพ.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 55.1
ทางด้านบริษัทไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 52.0 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 52.7 ในเดือนพ.ค. แต่ดัชนี PMI ยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิต
อย่างไรก็ตาม การร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ฉุดดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่าหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อาจมีมูลค่าสูงเกินไป ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทอเมซอน โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นกลุ่มที่ทะยานขึ้นมากที่สุดตั้งแต่ต้นปีนี้ ซึ่งพุ่งขึ้นมากกว่า 15% แต่ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมานั้น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ร่วงลงราว 2%
นอกจากนี้ นักลงทุนจำนวนหนึ่งได้ชะลอการซื้อขายเมื่อคืนนี้ ซึ่งส่งผลให้วอลุ่มมีอยู่เพียงบางเบา ก่อนที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดทำการในวันอังคารที่ 4 ก.ค.นี้ เนื่องในวันชาติสหรัฐ
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนมิ.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นราว 174,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้นเพียง 138,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. และคาดว่า อัตราว่างงานเดือนมิ.ย.จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.4% จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 4.3%
สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ค., รายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC), ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย.จาก ADP, ดุลการค้าเดือนพ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนมิ.ย. โดยมาร์กิต และดัชนีภาคบริการเดือนมิ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)
อินโฟเควสท์