WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

41ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งกรอบจำกัด หลังราคาน้ำมันร่วงกดดันหุ้นพลังงาน แต่อาจได้แรงหนุนจาก Window Dressing

      นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะถูกกดดันจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลงมาใกล้ระดับ 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลแล้ว

      อย่างไรก็ดี ตลาดฯก็มีความคาดหวังการทำ Window Dressing ก่อนปิดงบการเงินในไตรมาส 2/60 ซึ่งก็จะทำให้ตลาดฯไม่ปรับตัวลงมาก ซึ่งจากสถิติตลาดฯจะมีการปรับขึ้นทุกปีในช่วง 5 วันก่อนสิ้นไตรมาส

       ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้อยู่ในแดนบวกในลักษณะทรงตัว ราว 0.1-0.3% พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,573-1,584 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

      - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (21 มิ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,410.03 จุด ลดลง 57.11 จุด (-0.27%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,233.95 จุด เพิ่มขึ้น 45.92 จุด (+0.74%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,435.61 จุด ลดลง 1.42 จุด (-0.06%)

                - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 15.59 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.97 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 97.12 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 19.36 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.69 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.34 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.32 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 0.22 จุด

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (21 มิ.ย.60) 1,577.01 จุด ลดลง 1.61 จุด (-0.10%)

                - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 633.60 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.60

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (21 มิ.ย.60) ปิดที่ 42.53 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 98 เซนต์ หรือ 2.3%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (21 มิ.ย.60) ที่ 6.91 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 33.97 แข็งค่าหลังดอลล์อ่อนจากแรงขายทำกำไร ตลาดรอดูตัวเลขว่างงานสหรัฐฯคืนนี้

       - ส.อ.ท. เตรียมลดเป้ายอดขายรถยนต์คาดทั้งปีต่ำกว่า 2 ล้านคัน เผยยอดส่งออก 5 เดือน ลดลง 9% ส่วนยอดขายในประเทศเพิ่ม 12% มั่นใจถึงเป้า 8 แสนคัน ระบุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตรถไฮบริดจะทำให้ราคาลดลง 10-20% สู้กับรถยนต์ธรรมดาได้

    - ส.อ.ท. เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทยในเดือน พ.ค. 2560 พบว่า ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอยู่ที่ 85.5 ลดลงจากเดือน เม.ย. 2560 อยู่ที่ 86.4 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนตั้งแต่เดือน ต.ค. 2559

       - โครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา จะลงทุนโดยรัฐบาลไทยทั้งหมด 100% โดยภายหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ ฝ่ายไทยจะเป็นผู้เดินรถและบริหารทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพียงแต่ให้จีนเป็นผู้ให้คำปรึกษาและต้องถ่ายทอดเทคโนโลยี ฝึกอบรมให้บุคลากรไทยในช่วงเริ่มแรกเท่านั้น

         - ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC SCB)เปิดเผยถึงผลการสำรวจแนวโน้มการบริโภคใน 4.0 จากกลุ่มตัวอย่างกว่า 5,000 คนทั่วประเทศ พบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไป มีความต้องการที่ซับซ้อนและเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันผู้บริโภคใช้จ่ายเพื่อตอบสนองความต้องการด้านไลฟ์สไตล์มากขึ้น ขณะที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงและเข้าใจของผู้บริโภค

      - บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์บลูมเบิร์กว่า อัตราการขยายตัวของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของไทย มีแนวโน้มจะพุ่งแตะระดับสูงสุดในปลายปี 2560 และแม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลง แต่การขยายตัวราว 3% บ่งชี้ว่าอัตราขยายตัวของหนี้เสียมีแนวโน้มชะลอลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่จะค่อยๆ ทะยานขึ้นภายในสิ้นปีนี้ หรือหลังจากนั้น

*หุ้นเด่นวันนี้

     - SEAFCO (ธนชาต) "ซื้อ" งานฐานรากจะเริ่มรับรู้รายได้ก่อน โดยคาดว่างานลงทุนรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู จะเริ่มก่อสร้างต้นปีหน้า ขณะที่ยังมีงานภาคเอกชนอย่าง One Bangkok มูลค่า 1.2 แสนล้านบาทรออยู่ คาดการณ์กำไรเติบโต 49-50% ปี 2560-2561 ด้วย PE18 ต่ำเพียง 13x

       - PLANB (เออีซี) "ซื้อ"เป้า Consensus 6.75 บาท ปี 60 คาดกำไรโตเด่น 63.9%YoY จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมสื่อนอกบ้านที่สดใส (Ads. Expenditure โต22.7%YTD) บวกกับ ล่าสุดร่วมทุนกับพันธมิตรจัดตั้งบริษัทให้บริการสื่อนอกบ้านในลาว (ทุนจดทะเบียน 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ, PLANB ถือหุ้น 50%) ซึ่งจะเซ็น MOU ในวันนี้คาดหนุนรายได้ ตปท. โตสดใสตามแผนขยายพื้นที่จอโฆษณาใน AEC ที่เข้มข้นขึ้น +ราคาหุ้นมี Upside 18.4%

        - CPF (เคทีบี) "ซื้อ"เป้า 31 บาท พบว่าการเพิ่มทุนมีผลกระทบที่จำกัด ขณะที่คาดว่า CPF จะผลบวกจากการที่ราคาหมูในประเทศปรับตัวขึ้น ประกอบกับราคาวัตถุดิบยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องจากการที่สต็อดตลาดโลกของวัตถุดิบอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง อีกทั้งราคาไก่ยังอยู่ในระดับราคาสูง แต่อาจได้รับผลกระทบจากราคาหมูในเวียดนามปรับตัวลงจากการกดดันของอุปทาน ซึ่งได้ปรับประมาณการณ์ลงเพื่อสะท้อนปัจจัยเวียดนามและการเพิ่มทุนแล้ว การเพิ่มทุนจะทำให้ฐานะการเงินแกร่งขึ้น

       - KBANK (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 240 บาท สินเชื่อ พ.ค. 60 โตเกินคาด 1.6%M-M (5M17 +2.3%YTD) จึงเป็นไปได้ที่จะเห็น KBANK ปรับเป้าสินเชื่อขึ้น เพราะ 2H60 จะได้แรงหนุนจากการลงทุนภาครัฐฯ โดยคาดกำไร 2Q60 ลดลงเล็กน้อย 1.2%Q-Q จากการปรับลดดอกเบี้ย MRR แต่เพิ่มขึ้น 6.6%Y-Y จากแผนควบคุมค่าใช้จ่าย โดย NPL ยังเพิ่มขึ้นแต่เริ่มชะลอตัว ส่วนกรณีผิดนัดชำระหนี้ของ EARTH ยอดสินเชื่อราว 2 พันลบ. คาดกระทบจำกัดเพราะมีหลักประกัน

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้น หลังราคาน้ำมัน WTI ฟื้นตัวเช้านี้

     ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่ราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้นเช้านี้ ขานรับสหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบร่วงลง

       ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 20,154.38 จุด เพิ่มขึ้น 15.59 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,152.24 จุด ลดลง 3.97 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,597.46 จุด ลดลง 97.12 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,369.08 จุด เพิ่มขึ้น 19.36 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,364.22 จุด เพิ่มขึ้น 6.69 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,206.11 จุด เพิ่มขึ้น 4.34 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,776.89 จุด เพิ่มขึ้น 1.32 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,886.59 จุด เพิ่มขึ้น 0.22 จุด

       ณ เวลา 08.33 น.ตามเวลาไทยในวันนี้ สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนส.ค. ดีดตัวขึ้น 16 เซนต์ หรือ 0.38% แตะที่ 42.69 ดอลลาร์/บาร์เรล

     รายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 509.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 600,000 บาร์เรล

      ทั้งนี้ การปรับตัวลงของสต็อกน้ำมันดิบช่วยพยุงสัญญาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้นในช่วงเช้านี้ หลังจากที่สัญญาน้ำมันร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 10 เดือนเมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลจากรายงานที่ว่า การผลิตน้ำมันของสหรัฐพุ่งขึ้น 20,000 บาร์เรล สู่ระดับ 9.35 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 24.92 จุด จากแรงฉุดหุ้นน้ำมัน,เงินปอนด์แข็ง

        ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (21 มิ.ย.) ด้วยแรงฉุดของหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลงจากราคาน้ำมันที่ดิ่งลงอย่างหนัก นอกจากนี้ การที่เงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สืบเนื่องจากหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางอังกฤษออกมาส่งสัญญาณสนับสนุนการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้นั้น ยังเป็นปัจจัยที่ฉุดหุ้นกลุ่มบริษัทข้ามชาติปรับตัวลง

       ดัชนี FTSE 100 ลดลง 24.92 จุด หรือ -0.33% ปิดที่ 7,447.79 จุด

        ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ดิ่งลงอย่างหนัก โดยสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 10 เดือนเมื่อคืนนี้ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า การผลิตน้ำมันของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด

      หุ้นรอยัล ดัตช์ เชลล์ ร่วงลง 1.3% ขณะที่หุ้นบีพี ขยับลง 0.8%

     นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังรับปัจจัยลบจากการที่สกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น หลังจากที่นายแอนดี ฮาลเดน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้ออกมากล่าวสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

      นายฮาลเดน ระบุว่า การถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ต้องทำในไม่ช้า และเป็นการส่งสัญญาณว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของ BoE มีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจอังกฤษ

      หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้น โดยหุ้นเกลนคอร์ เพิ่มขึ้น 1.8% และหุ้นแองโกล อเมริกัน เพิ่มขึ้น 1.7%

      หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นวิตเบรด พุ่งขึ้น 3.4% หลังบริษัทดังกล่าวซึ่งเป็นบริษัทแม่ของคอสตาคอฟฟีและเครือโรงแรมพรีเมียร์ อินน์ เปิดเผยยอดขายในไตรมาสแรกของปีงบการเงินปัจจุบัน พุ่งขึ้น 2.9%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดลบ หลังราคาน้ำมันร่วง,วิตกการเมืองฝรั่งเศส

       ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 มิ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของราคาน้ำมัน และความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในฝรั่งเศส หลังจากมีรายงานว่า นายฟรองซัวส์ เบย์โรว์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมซึ่งมีความใกล้ชิดกับประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครอง ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง

       ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.2% ปิดที่ 388.50 จุด

       ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,774.26 จุด ลดลง 40.53 จุด หรือ -0.32% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,274.26 จุด ลดลง 19.39 จุด หรือ -0.37% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,447.79 จุด ลดลง 24.92 จุด หรือ -0.33%

     หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลงอีกเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นบีพี ลดลง 0.8% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 1.3% หุ้นสแตทออยล์ ร่วงลง 0.3% หุ้นทุลโลว์ ออยล์ ร่วงลง 1.3% และหุ้นโททาล ปรับตัวลง 0.4%

     สำหรับสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลงนั้น มาจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า การผลิตน้ำมันของสหรัฐพุ่งขึ้น 20,000 บาร์เรล สู่ระดับ 9.35 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี

      นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า นายฟรองซัวส์ เบย์โรว์ ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของฝรั่งเศส ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองของฝรั่งเศส เนื่องจากนายเบย์โรว์เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครอง และมีบทบาทสำคัญอย่างมากในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของนายมาครอง

     หุ้นโพรวิเดนท์ ไฟแนนเชียล ร่วงลง 18% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการ

     อย่างไรก็ตาม หุ้นวิธเบรด พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรก

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 57.11 จุด หลังราคาน้ำมันร่วงฉุดหุ้นพลังงาน

       ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 มิ.ย.) โดยดาวโจนส์อ่อนแรงลงติดต่อกัน 2 วันทำการ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงอีกเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดในแดนบวก เพราะได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

       ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,410.03 จุด ลดลง 57.11 จุด หรือ -0.27% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,435.61 จุด ลดลง 1.42 จุด หรือ -0.06% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,233.95 จุด เพิ่มขึ้น 45.92 จุด หรือ +0.74%

      ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ร่วงลงอีกกว่า 2% เมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มกำลังการผลิตของสหรัฐ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 1.6% ขณะที่หุ้นเชฟรอนที่ดิ่งลง 1.9%

      นักวิเคราะห์จากเทาเวอร์ บริดจ์ แอดไวเซอร์ส กล่าวว่า ปริมาณน้ำมันในตลาดยังมีอยู่มาก เนื่องจากสหรัฐมีการขุดเจาะน้ำมันเพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการน้ำมันและก๊าซกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า ขณะนี้หุ้นกลุ่มพลังงานกลายเป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มที่มีขนาดเล็ก โดยมีสัดส่วนเพียง 6% ของดัชนี S&P500

        ส่วนหุ้นบริษัทรายใหญ่บางแห่งที่ปรับตัวลดลง และเป็นหนึ่งในปัจจัยลบที่กดดันตลาดร่วงลงด้วยนั้น หุ้นแคเธอร์พิลลาร์ ร่วงลง 3.8% และหุ้นดูปองท์ ดิ่งลง 2.7%

        อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นอะโดบี ซิสเต็มส์ ปรับตัวขึ้น 2.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่หุ้นทวิตเตอร์ พุ่งขึ้น 5.1% ซึ่งช่วยหนุนราคาหุ้นทวิตเตอร์ทะยานขึ้นเหนือเส้นเฉลี่ยรอบ 50-200 วัน หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ส พุ่งขึ้น 11% หลังจากบริษัทเปิดตัวชิปคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่

        นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนในระหว่างวัน จากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้น 1.1% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 5.62 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับยอดขายรายเดือนสูงสุดเป็นอันดับ 3 ในรอบ 10 ปี โดยยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ค.พุ่งขึ้นสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 0.5% สู่ระดับ 5.55 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค.

        นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาบ้านเดือนเม.ย., ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนพ.ค.จาก Conference Board, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนมิ.ย.โดยมาร์กิต และยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค.

          อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!