WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

37ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นขึ้นหลังชัดเจนเฟดขึ้นดอกเบี้ย-ส่งสัญญาณปรับลดขนาดงบดุลในปีนี้

       นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ แม้ช่วงเปิดเทรดตลาดฯอาจย่อตัวลงแต่ก็เชื่อว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ปรับตัวลง ยกเว้นตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ที่อยู่ในแดนบวก ภายหลังจากที่ชัดเจนผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด และยังส่งสัญญาณปรับลดขนาดงบดุลสหรัฐฯภายในปีนี้ ซึ่งน่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อได้

       นอกจากนี้ ในช่วงสิ้นเดือนนี้ (มิ.ย.) เป็นช่วงปิดงบการเงินไตรมาส 2/60 น่าจะมีการทำ Window Dressing มาช่วยหนุนตลาดฯด้วย แต่อย่างไรก็ดี วันนี้หุ้นในกลุ่มพลังงานอาจจะกดดันตลาดฯ เนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวลง 3.7% แต่หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับลงก็น่าจะปรับตัวขึ้นมาช่วยหนุนตลาดฯ อีกทั้ง FTSE จะมีปรับน้ำหนักดัชนีในเร็ว ๆ นี้

พร้อมให้แนวรับ 1,560 จุด ส่วนแนวต้าน 1,580 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

                - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 มิ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,374.56 จุด เพิ่มขึ้น 46.09 จุด (+0.22%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,194.89 จุด ลดลง 25.48 จุด (-0.41%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,437.92 จุด ลดลง 2.43 จุด (-0.10%)

                - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 67.98 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 5.08 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 103.62 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 6.68 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 0.72 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 9.49 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.60 จุด

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 มิ.ย.60) 1,577.00 จุด เพิ่มขึ้น 4.64 จุด (+0.30%)

                - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,247.15 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.60

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 มิ.ย.60) ปิดที่ 44.73 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.73 ดอลลาร์ หรือ 3.7%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 มิ.ย.60) ที่ 6.42 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 33.92 บาท/ดอลลาร์ทิศทางยังแข็งค่า

                - "แบงก์ชาติ" ชี้บาทแข็งจากทั้งปัจจัยภายใน-นอก เหตุนักลงทุนห่วงการเมืองสหรัฐ ประกอบกับเศรษฐกิจเอเชีย-ไทยเติบโตดี ดึงเงินทุนไหลเข้า รวมทั้งปัญหาความไม่แน่นอนในกาตาร์ ส่งผลนักลงทุนไทยเริ่มทยอยกลับลงทุนในประเทศ ด้าน "ทีเอ็มบี" ประเมินดอกเบี้ยเฟดจ่อแซงไทย กดดันเงินทุนไหลออก ฉุดบาทอ่อน

                - รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการคลินิกเอสเอ็มอีสัญจรแนวประชารัฐ จ.ชลบุรี ว่า ได้มอบหมายให้คณะทำงานระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เร่งจัดทำยุทธศาสตร์การลงทุน 3 จังหวัดเป้าหมาย เพื่อกำหนดกรอบการลงทุนให้ชัดเจนว่าจังหวัดใดจะส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมใด เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนได้ง่ายขึ้น

                - รมว.เกษตรและสหกรณ์ จะลงนามในคำสั่งใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ควบคุมยาง พ.ศ. 2542 ให้อำนาจเจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตรและการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เข้าตรวจสอบสต๊อกยางพาราของเอกชนทั้งหมดว่ามีปริมาณสินค้าเท่าไรและส่งออกเท่าไร

                - ผู้อำนวยการ สคร.เผยรัฐบาลเตรียมผลักดันโครงการลงทุน PPP ของ ก.คมนาคมในปีนี้เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ มูลค่า 1.4 แสนล้าน ส่วนความคืบหน้าการทำ PPP ในรอบ 9 เดือนของปีงบฯ 60 รัฐบาลทำผลงานไปได้ 1.9 แสนล้านบาทจากโครงการลงทุนรถไฟฟ้า 3 สาย เผยปีหน้าคมนาคมยังเตรียมทำโครงการลงทุนแบบ PPP เพิ่มอีก 6 แสนล้าน

                - รมว.คลัง ชี้ความเสี่ยง บจ.ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบีอีถือเป็นปัญหาที่เก่าที่เคยเกิดขึ้นมานานแล้วเพียงแต่นักลงทุนรุ่นใหม่อาจยังไม่เคยเจอ เชื่อการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทแค่เพียงแห่งเดียวไม่น่าจะส่งผลกระทบกับแบงก์พาณิชย์ที่ปัจจุบันได้มีการตั้งสำรองหนี้สูญเกิน 100% แล้ว

*หุ้นเด่นวันนี้

                - JMART-W2 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ. เจ มาร์ท (JMART)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 163,164,057 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 15.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ซึ่งออกวันที่ 6  มิถุนายน 2560 และวันครบกำหนดอายุตรงกับวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 31 ก.ค. 2560 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 5 มิ.ย. 2562

                - TSF-W4 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.ทรีซิกตี้ไฟว์ (TSF)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 799,414,880 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 0.70 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปีนับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (วันที่ 18 พฤษภาคม 2560) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 17 พ.ค. 2562 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 17 พ.ค. 2562

                - SYNEX (ฟันันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 15.50 บาท ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปีนี้ +20%Y-Y สูงกว่าคาดการณ์ของเราที่ +12%Y-Y จากยอดขายมือถือที่โตเร็วและการเพิ่มสินค้าใหม่ ขณะที่การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อให้บริการลิสซิ่งน่าจะจบปลายเดือนนี้ ส่วนกำไร Q2/60 คาดโตแรง 60%Y-Y อยู่ที่ 130 ลบ.

                - HTECH (เคจีไอ) "เก็งกำไร"ประเมินธุรกิจผลิตเครื่องมือตัด (Cutting Tools) และอุปกรณ์สำหรับใช้ใน กระบวนการผลิตเพื่อรองรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (HDD) จะได้อานิสงส์ข่าวการลงทุนของ WD พร้อมประเมินยืนเหนือแนวราคา 8.70 บาทได้ มีโอกาสขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 10.6 บาท และ 11.2 บาท ตามลำดับ

                - BCH (ธนชาต)"ซื้อ"ปรับพื้นฐานขึ้นเป็น 15.7 บาท ผลดีจากการปรับค่าเหมาฯจ่ายประกันสังคมมากที่สุด ผู้ป่วยเงินสดฟื้นตัว ให้เป็น top picks กลุ่มฯ

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย-ข้อมูลศก.สหรัฐอ่อนแอ

            ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลงในช่วงเช้านี้ หลังจากที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% ขณะเดียวกันราคาน้ำมันก็ร่วงลงกว่า 3% และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐก็อ่อนแอ

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,815.54 จุด ลดลง 67.98 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,125.59 จุด ลดลง 5.08 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,772.28 จุด ลดลง 103.62 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,079.14 จุด เพิ่มขึ้น 6.68 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,373.36 จุด เพิ่มขึ้น 0.72 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,243.94 จุด ลดลง 9.49 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,792.95 จุด เพิ่มขึ้น 0.60 จุด

                ทั้งนี้ สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.ปรับตัวลดลง 0.3% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2559 และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น

                ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ร่วงลง 0.1% ในเดือนพ.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจร่วงลง 0.2% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว และลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 26.04 จุด เหตุปอนด์แข็งค่าเทียบดอลล์หลังสหรัฐเผยข้อมูลศก.อ่อนแอ

                ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) จากปัจจัยการแข็งค่าของสกุลเงินปอนด์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ สืบเนื่องจากข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และยอดค้าปลีกที่อ่อนแอของสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนบางส่วนระมัดระวังการซื้อขายเพื่อจับตาดูผลการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีการประกาศมติที่ประชุมหลังจากที่ตลาดปิดทำการ

                ดัชนี FTSE 100 ลดลง 26.04 จุด หรือ -0.35% ปิดที่ 7,474.40 จุด

                ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวขึ้นในช่วงแรก ก่อนจะร่วงลงจากแรงกดดันของสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้ส่งผลกระทบต่อเงินรายได้ในต่างประเทศของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน

                ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับปอนด์ จากแรงกดดันของข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐ ร่วงลง 0.1% ในเดือนพ.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% ขณะที่สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจร่วงลง 0.2% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว และลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว

                ส่วนยอดค้าปลีกสหรัฐเดือนพ.ค. ปรับตัวลดลง 0.3% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2016 และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น

                นักวิเคราะห์จากซีเอ็มซี มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า "ดีลเลอร์ได้เทขายดอลลาร์ หลังสหรัฐเผยตัวเลข CPI และยอดค้าปลีกสหรัฐที่ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักลงทุน"

                นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมเฟดซึ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อวานนี้และมีการประกาศมติของที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินหลังจากที่ตลาดหุ้นลอนดอนปิดทำการลงแล้ว โดยเฟดได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% พร้อมกับส่งสัญญาณการปรับลดงบดุลบัญชีของเฟดในปีนี้

                หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงจากแรงกดดันของราคาน้ำมันที่ร่วงลงเมื่อคืนนี้ ภายหลังจากที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงน้อยกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว

                หุ้นบีพี ร่วงลง 1.8% ขณะที่หุ้นรอยัล ดัตช์ เชลล์ ลดลง 1.7%

                หุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้น โดยหุ้นบาร์ราตต์ เดเวลลอปเมนต์ พุ่งขึ้น 3.2% หุ้นเทย์เลอร์ วิมปีย์ เพิ่มขึ้น 1.5% และหุ้นเพอร์ซิมมอน เพิ่มขึ้น 1.3%

                สำหรับข่าวเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้นั้น ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงที่อาคารที่พักอาศัยเกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ ความสูง 27 ชั้นทางตะวันตกของกรุงลอนดอน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 ราย และบาดเจ็บกว่า 70 ราย ขณะที่สำนักข่าว BBC รายงานว่า การทำข้อตกลงในการจัดตั้งรัฐบาลผสมอังกฤษภายใต้การนำของพรรคอนุรักษ์นิยมของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ และนางอาร์ลีน ฟอสเตอร์ หัวหน้าพรรคสหภาพประชาธิปไตยแห่งไอร์แลนด์เหนือ (DUP) ต้องถูกเลื่อนออกไปเป็นสัปดาห์หน้า สืบเนื่องจากเหตุไฟไหม้ดังกล่าว

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก รับแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการเปิดเผยหลังจากตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการแล้ว

                ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.5% ปิดที่ 390.82 จุด

                ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,805.95 จุด เพิ่มขึ้น 40.97 จุด หรือ +0.32% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,474.40 จุด ลดลง 26.04 จุด หรือ -0.35% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,243.29 จุด ลดลง 18.45 จุด หรือ -0.35%

                ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น 0.6% ซึ่งเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 และช่วยหนุนบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่หุ้นเทคโนโลยีดิ่งลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

                อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงอย่างหนัก ภายหลังจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลดลงน้อยกว่าคาด โดยหุ้นบีพี ร่วงลง 1.8% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ดิ่งลง 1.7%

                นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองของอังกฤษ หลังจากมีรายงานว่า การทำข้อตกลงในการจัดตั้งรัฐบาลผสมภายใต้การนำของพรรคอนุรักษ์นิยมของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และนางอาร์ลีน ฟอสเตอร์ หัวหน้าพรรคสหภาพประชาธิปไตยแห่งไอร์แลนด์เหนือ (DUP) ได้ถูกเลื่อนออกไป อันเนื่องจากการเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่อพาร์ทเมนท์ เกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ ในกรุงลอนดอนเมื่อวานนี้ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน

                สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า การทำข้อตกลงดังกล่าวอาจถูกเลื่อนออกไปเป็นสัปดาห์หน้า อันเนื่องจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว และการติดภารกิจประจำวันของผู้นำทั้งสอง หลังจากสื่อทั่วไปคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ทั้งสองจะมีการทำข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลผสมเมื่อวานนี้

                สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยว่า อัตราว่างงานเดือนก.พ.-เม.ย. ทรงตัวอยู่ที่ 4.6% จากระดับ 3 เดือนก่อน ขณะที่จำนวนผู้ที่มีงานทำเพิ่มขึ้น 109,000 ราย สู่ระดับเกือบ 32 ล้านราย บ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานของอังกฤษยังอยู่ในภาวะที่ดี

                อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า ค่าแรงปรับตัวลดลง โดยรายได้เฉลี่ยในช่วงเดือนก.พ.-เม.ย. ร่วงลง 0.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 46.09 จุด หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด

                ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) หลังจากที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ พร้อมกับส่งสัญญาณการปรับลดงบดุลบัญชีของเฟดในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ร่วงลงกว่า 3% และข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกที่ปรับตัวลงสวนทางกับตัวเลขคาดการณ์นั้น ได้สกัดแรงบวกในตลาด และได้ฉุดดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดในแดนลบ

                ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,374.56 จุด เพิ่มขึ้น 46.09 จุด หรือ +0.22% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,437.92 จุด ลดลง 2.43 จุด หรือ -0.10% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,194.89 จุด ลดลง 25.48 จุด หรือ -0.41%

                ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดปรับตัวขึ้น หลังจากที่ประชุมเฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ พร้อมกับส่งสัญญาณเกี่ยวกับแผนการปรับลดงบดุลบัญชีของเฟด ซึ่งนับเป็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจน และช่วยให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับทิศทางด้านนโยบายการเงินของเฟด

                คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียง 8-1 เสียง เห็นพ้องให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.00-1.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้

                แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า เฟดจะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน และผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน ซึ่งเฟดคาดว่าจะแตะระดับดังกล่าวในปี 2018

                นอกจากนี้ เฟดคาดการณ์ว่าจะเริ่มปรับลดงบดุลในปีนี้ หากเศรษฐกิจมีการปรับตัวตามที่เฟดคาดการณ์ ซึ่งการปรับลดงบดุลของเฟด จะส่งผลให้เฟดลดการถือครองพันธบัตร และหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ที่เฟดได้เข้าซื้อในตลาดในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

                เฟดระบุว่า ในเบื้องต้นเฟดจะจำกัดเพดานการลดวงเงินการถือครองพันธบัตรรัฐบาลที่ระดับ 6 พันล้านดอลลาร์/เดือน ก่อนที่จะขยายเพดานการลดการถือครองพันธบัตรอีก 6 พันล้านดอลลาร์ในทุกๆ ไตรมาสในช่วงระยะเวลา 12 เดือน จนกระทั่งแตะระดับ 3 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน

                อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดร่วงลง หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.ที่ปรับตัวลดลง 0.3% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2016 และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น

                ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ร่วงลง 0.1% ในเดือนพ.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจร่วงลง 0.2% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว และลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว

                นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ร่วงลง 3.7% เมื่อคืนนี้ หลังจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงน้อยกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.1% หุ้นทรานส์โอเชียน ดิ่งลง 5.1% หุ้นเมอร์ฟีย์ ออยล์ ร่วงลง 5.4% หุ้นเนชั่นแนล ออยล์เวลล์ วาร์โค ร่วงลง 4.9% และหุ้นอนาดาโค ปิโตรเลียม ดิ่งลง 3.9%

                หุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (UPS) ปรับตัวลง 0.4% หลังจากเกิดเหตุกราดยิงที่โรงงานของ UPS ที่เมืองซานฟรานซิสโกเมื่อวานนี้ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน

                นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ค., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนมิ.ย.จากเฟดนิวยอร์ก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค. ส่วนในวันพรุ่งนี้จะมีการเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

        อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!