WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

13 ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งตัวในกรอบ รอดูการประชุมเฟด, Fund Flow ยังไม่เข้าตลาดหุ้น

      นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คงจะแกว่งในกรอบเหมือนเดิมที่แนวรับ 1,558-1,550 จุด ส่วนแนวต้าน 1,570 จุด เนื่องจากตลาดฯกำลังรอดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แม้ว่ารอบนี้ตลาดคาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ให้รอดการส่งสัญญาณต่อไป โดยเฉพาะเรื่องการลดขนาดของงบดุลว่าจะเกิดขึ้นได้เมื่อใด

       นอกจากนี้ หุ้นเทคโนโลยีในตลาดหุ้นสหรัฐก็เริ่มปรับฐาน ซึ่งการลงทุนคงจะอิงประเด็นเฉพาะตัวมากกว่า โดยให้เลือกเล่นเป็นรายตัวที่อิงกับสถานการณ์ เนื่องจาก Fund Flow ยังไม่เข้าตลาดหุ้น แต่เข้ามายังตลาดตราสารหนี้ พร้อมให้ติดตามกรณีปัญหาของตั๋วแลกเงิน (B/E) , สถาบันการเงิน และสินเชื่อ

      ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

                - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (12 มิ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,235.67 จุด ลดลง 36.30 จุด (-0.17%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,175.46 จุด ลดลง 32.45 จุด (-0.52%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,429.39 จุด ลดลง 2.38 จุด (-0.10%)

                - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 48.77 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 5.87 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 118.48 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 0.26 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 1.05 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 5.23 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.81 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 5.74 จุด

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (12 มิ.ย.60) 1,563.81 จุด ลดลง 2.84 จุด (-0.18%)

                - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 361.20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.60

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (12 มิ.ย.60) ปิดที่ 46.08 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 25 เซนต์ หรือ 0.6%

                - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (12 มิ.ย.60) ที่ 5.99 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

                - เงินบาทเปิด 34.05/07 ตลาดรอผลประชุมเฟดวันพรุ่งนี้ ประเมินกรอบวันนี้ 33.95-34.05

                - "สมคิด" เผยเตรียมเสนอ "บิ๊กตู่" วันนี้ ออกคำสั่งม.44 ปลดล็อกปัญหารถไฟไทย-จีน เพื่อให้การก่อสร้างเดินหน้าต่อไปได้ ด้าน "อาคม" ชง ครม. อนุมัติลงทุนช่วงกรุงเทพ-โคราชทันที พร้อมย้ำปีนี้ต้องเปิดประมูลไฮสปีด กรุงเทพ-ระยอง มูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท ให้ได้ ส่วนรถไฟทางคู่อีก 9 เส้นทางกว่า 4 แสนล้านบาท จ่อชงเข้า ครม. ภายในเดือนก.ย. เพื่ออัดเม็ดเงินอีกล็อตใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจ

                - กพท. เตรียมแจ้งสายการบินที่ยังไม่ได้รับเอโอซี จะขยายเส้นตายการหยุดบินระหว่างประเทศจาก 1 ก.ค. เป็น 1 ก.ย. นี้ ขณะเดียวกันเตรียมมอบเอโอซีใหม่ให้นกแอร์-ไทยไลอ้อนแอร์-ไทยสมายล์ รวมเป็น 8 รายในเดือนนี้ พร้อมคาดจะมี สายการบิน 12-14 ราย ได้รับเอโอซีใหม่ภายในวันที่ 1 ก.ย.

                - สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ พบว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ คือในการประชุมวันที่ 14 มิ.ย. และหลังการประชุมเดือนก.ย. ก่อนจะเริ่มลดขนาดงบดุล 4.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 157 ล้านล้านบาท) ลงในไตรมาส 4

                - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยความเชื่อมั่นของครัวเรือนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเดือน พ.ค.2560 ว่า ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน มาอยู่ที่ระดับ 44.4 จากความกังวลที่ลดลงต่อประเด็นเรื่องค่าใช้จ่าย (ไม่รวมหนี้สิน) และสถานการณ์ราคาสินค้า อย่างไรก็ตาม หนี้สินที่เพิ่มขึ้นยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่ออำนาจการซื้อของครัวเรือน

                - ธปท.สนับสนุนแนวคิดการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการแลกเปลี่ยนโดยตรงระหว่างกัน (Local Currency) ตามที่ประเทศญี่ปุ่นมีแนวคิดจะส่งเสริม โดยเฉพาะการผลักดันใช้เงินบาท-เยนโดยตรงการชำระค่าสินค้าและบริการระหว่างกัน แต่ต้องหารือกันในรายละเอียดต่อไป

                - สำนักวิจัยเศรษฐกิจอาเซียนมองเศรษฐกิจไทยไม่โตพรวด หลังภาคเอกชนยังไม่ลงทุน เจอปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา หนี้ครัวเรือน-เอ็นพีแอลเอสเอ็มอีพุ่งไม่หยุด กดจีดีพีโตต่ำกว่าศักยภาพแท้จริง

*หุ้นเด่นวันนี้

                - TCJ-W2 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ. ที.ซี.เจ.เอเซีย (TCJ)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน31,530,584 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 10.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (ตั้งแต่วันออกใบสำคัญแสดงสิทธิในวันที่ 7 มิถุนายน 2560 จนถึงวันครบกำหนดอายุใบสำคัญแสดงสิทธิในวันที่ 6 มิถุนายน 2563) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย  กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 30 มิ.ย. 2560 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 5 มิ.ย. 2563

                - ECL (เคจีไอ) "เก็งกำไร"เป้า 3.64 บาท แนวโน้มผลการดำเนินงาน 2Q60 จะโต QoQ ต่อเนื่องจากฐานลูกค้าสินเชื่อรถมือสองและบิ๊กไบค์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง (ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อ 48 เดือน) และจะ Turnaround จากขาดทุนสุทธิใน 2Q59 (มีรายการค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นจากการขายหุ้น PP ให้กับพันธมิตรต่างชาติในราคาต่ำกว่าราคาตลาดฯ รวม 42.75 ล้านบาท)

                - DTAC (ธนชาต) "ซื้อ"ปรับเป้าหมายพื้นฐานขึ้นเป็น 65 บาท จากการแข่งขันในกลุ่มรุนแรงน้อยลง ขณะที่ DTAC เน้นการทำ "กำไร" จากลูกค้า postpaid เพิ่มขึ้น, การทำสัญญาเช่าคลื่น 2300MHz กับ TOT ไปอีก 8 ปี เป็นการปลดล็อก valuation ที่ต่ำเพียง EV/EBITDA 5x ในปัจจุบันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 7.5x และแม้กำไรยังอ่อนแอ แต่จะกลับมาขยายตัวแกร่งตั้งแต่ 4Q61 หลังไม่ต้องตัดค่าเสื่อมฯคลื่นที่หมดอายุไป ขณะที่ EBITDA ยังแข็งแกร่งระดับ 2.7 หมื่นล้านบาท/ปี

                - MAJOR (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 38.20 บาท ปี 60 คาดกำไรปกติโต 47.0%YoY หนุนด้วยโปรแกรมหนังที่โดดเด่นในปีนี้ และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมี 116 สาขา 689 โรงภาพยนตร์ จากสิ้นปี 59 ที่ 113 สาขา 678 โรงภาพยนตร์  และราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 16.6% และคาดให้ Div. Yield ปีนี้ 3.7%

ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ นักลงทุนจับตาการประชุมเฟด

                ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีขึ้นในวันที่ 13-14 มิ.ย. โดยมีกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,859.81 จุด ลดลง 48.77 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,134.01 จุด ลดลง 5.87 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,826.52 จุด เพิ่มขึ้น 118.48 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,109.70 จุด ลดลง 0.26 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,358.92 จุด เพิ่มขึ้น 1.05 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,253.57 จุด เพิ่มขึ้น 5.23 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,789.70 จุด เพิ่มขึ้น 0.81 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,995.98 จุด เพิ่มขึ้น 5.74 จุด

                ทั้งนี้ CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึง 95.8% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมสัปดาห์นี้

                นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค. ส่วนในวันพรุ่งนี้จะมีการเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเม.ย.

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 15.46 จุด จากปัจจัยความไม่แน่นอนในอังกฤษ

                ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (12 มิ.ย.) ด้วยแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองในอังกฤษ หลังพรรคอนุรักษ์นิยมของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ สูญเสียเสียงข้างมากในสภาสามัญชนจากการเลือกตั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการผลักดันนโยบายต่างๆของรัฐบาล โดยเฉพาะในการเดินหน้าเจรจาแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)

                ดัชนี FTSE 100 ลดลง 15.46 จุด หรือ -0.21% ปิดที่ 7,511.87 จุด

                ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวลง แม้จะมีปัจจัยหนุนบางส่วนจากการที่ค่าเงินสกุลปอนด์ร่วงลง สืบเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในอังกฤษ หลังพรรคอนุรักษ์นิยมของนายกฯเมย์ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภาสามัญชนและจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้

                หุ้นบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นรอยัล ดัตช์ เชลล์ พุ่งขึ้น 1.6% และหุ้นจอห์นสัน แมทเธย์ บริษัทเคมีภัณฑ์รายใหญ่ เพิ่มขึ้น 2%

                หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสื่อสารปรับตัวขึ้น โดยหุ้นโวดาโฟน พุ่งขึ้น 1.5% หลังธนาคารดอยซ์แบงก์ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนสู่ระดับ "buy" ขณะที่หุ้นบีที กรุ๊ป ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ เพิ่มขึ้น 1.3%

                หุ้นเทสโก้ เพิ่มขึ้น 1.5% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสแรกในวันศุกร์นี้

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดร่วง หลังหุ้นเทคโนฯร่วง,ตลาดวิตกการเมืองอังกฤษ

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (12 มิ.ย.) หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงอย่างหนัก นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในอังกฤษ หลังจากผลการเลือกตั้งบ่งชี้ว่า พรรคอนุรักษ์นิยมของนางเทเรซา เมย์ ไม่ได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา

                ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1% ปิดที่ 386.62 จุด

                ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,240.59 จุด ลดลง 59.12 จุด หรือ -1.12% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,690.44 จุด ลดลง 125.28 จุด หรือ -0.98% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,511.87 จุด ลดลง 15.46 จุด หรือ -0.21%

                นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวในตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงเมื่อคืนนี้เช่นกัน ภายหลังจากบริษัทหลักทรัพย์มิซูโฮได้ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของแอปเปิลลงสู่ 'neutral' จาก 'buy'

                ทั้งนี้ หุ้นบริษัทที่เป็นซัพพลายเออร์ของบริษัทแอปเปิล อิงค์ ร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นเอเอ็มเอส เอจี ดิ่งลง 8.3% หุ้นเอสทีเอ็มไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ร่วงลง 8.9% และหุ้นไดอะล็อก เซมิคอนดัคเตอร์ ร่วงลง 6.7%

                หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นไมโคร โฟกัส อินเตอร์เนชันแนล ร่วงลง 3.8% และหุ้นเซจ กรุ๊ป ดิ่งลง 1.8%

                นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเมืองในอังกฤษ ผลการนับคะแนนดังกล่าวบ่งชี้ว่าอังกฤษจะเข้าสู่ภาวะที่ไม่มีพรรคใดครองเสียงข้างมากในสภา (Hung Parliament) โดยพรรคการเมืองจะต้องได้ที่นั่งอย่างน้อย 326 ที่นั่งจากทั้งหมด 650 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร จึงจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้

                สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ โดยจะร่วมกับพรรค Democratic Unionist Party (DUP) ซึ่งการที่พรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งได้ 319 ที่นั่ง จับมือกับพรรค DUP ของไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งมี 10 ที่นั่ง จะทำให้เกิดรัฐบาลผสมที่มี 329 ที่นั่ง โดยมีจำนวนที่นั่งเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรอย่างฉิวเฉียด

                มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ระบุว่า ผลการเลือกตั้งในอังกฤษ ซึ่งพรรคอนุรักษ์นิยมของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภาสามัญชน จะเป็นปัจจัยลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 36.30 จุดจากแรงขายหุ้นเทคโนฯ, ตลาดจับตาประชุมเฟด

                ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (12 มิ.ย.) โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากบริษัทหลักทรัพย์มิซูโฮได้ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นบริษัทแอปเปิล อิงค์ นอกจากนี้ นักลงทุนยังชะลอการซื้อขายก่อนที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีขึ้นในวันที่ 13-14 มิ.ย. โดยมีกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้

                ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,235.67 จุด ลดลง 36.30 จุด หรือ -0.17% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,429.39 จุด ลดลง 2.38 จุด หรือ -0.10% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,175.46 จุด ลดลง 32.45 จุด หรือ -0.52%

                หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีร่วงลงเมื่อคืนนี้ หลังจากบริษัทหลักทรัพย์มิซูโฮได้ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของแอปเปิลลงสู่ 'neutral' จาก 'buy'

                ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 2.7% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ปรับตัวลง 1.4% หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 1.2% และหุ้นไมโครซอฟท์ ดิ่งลง 1.6%

                อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากบริษัทโวยา ไฟแนนเชียล กล่าวว่า แม้การร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้สร้างความวิตกกังวลต่อตลาด หลังจากที่หุ้นกลุ่มดังกล่าวนำตลาดทะยานขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี แต่เมื่อพิจารณาจากผลประกอบการที่สดใสของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของตลาดแล้ว เชื่อว่านักลงทุนจำนวนหนึ่งจะยังคงเห็นโอกาสในการทำกำไรในหุ้นกลุ่มนี้

                หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้นกว่า 1% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1% และหุ้นเชฟรอน ดีดตัวขึ้น 1.3%

                หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (GE) พุ่งขึ้น 3.6% จากข่าวที่ว่า นายเจฟฟ์ อิมเมลท์ จะลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของบริษัท หลังจากที่ได้คุมบังเหียน GE มาเป็นเวลานานเกือบ 16 ปี โดยบริษัทจะแต่งตั้งนายจอห์น แฟลนเนรี เป็นซีอีโอคนใหม่

                หุ้นกลุ่มผู้ผลิตเสื้อผ้าสำหรับออกกำลังกายปรับตัวขึ้น โดยหุ้นไนกี้ พุ่งขึ้น 1.1% หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ทะยานขึ้น 5% และหุ้นฮานส์แบรนด์ส พุ่งขึ้น 3.4%

                นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 13-14 มิ.ย.นี้ ขณะที่มีการคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้

                CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึง 95.8% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมสัปดาห์นี้

                นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค. ส่วนในวันพรุ่งนี้จะมีการเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเม.ย.

                        อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!