- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 03 April 2017 14:15
- Hits: 6865
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ถึงปรับลง เจอแรงกดดันทรัมป์ตรวจสอบ 16 ปท.รวมไทยกรณีทำให้ขาดดุลการค้า
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ และอาจจะปรับตัวลงได้ อันเป็นผลจากคำสั่งใหม่ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งเป็นคำสั่งพิเศษในการตรวจสอบพิเศษกับ 16 ประเทศรวมถึงไทยด้วย ที่ทำให้สหรัฐฯขาดดุลการค้า แต่เรื่องนี้ก็ให้ระยะเวลาการตรวจสอบ 90 วัน ดังนั้นอาจจะกดดันหุ้นในกลุ่มส่งออกได้
นอกจากนี้ เงินนอกก็เริ่มแผ่วลง อาจเป็นผลจากที่ใกล้ช่วงวันหยุดเทศกาลทั้งในสัปดาห์นี้ และสัปดาห์หน้า และสัปดาห์นี้ตลาดฯก็มีหุ้นใหญ่หลายตัวที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อจ่ายปันผล ทั้ง SCC, ADVANC, INTUCH เป็นต้น ซึ่งก็อาจกระทบต่อดัชนีฯราว 4 จุดในสัปดาห์นี้
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวกราว 0.2-0.3% พร้อมให้แนวรับ 1,570-1,575 จุด ส่วนแนวต้าน 1,585 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (31 มี.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,663.22 ปรับตัวลง 65.27 จุด (-0.31%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,911.74 จุด ขยับลง 2.61 จุด (-0.04%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,362.72 จุด ลดลง 5.34 จุด (-0.23%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 78.74 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 124.97 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 5.81 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 5.16 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 2.29 จุด
ส่วนตลาดหุ้นจีนปิดทำการวันนี้เนื่องในเทศกาลเชงเม้ง ส่วนตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันหยุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (31 มี.ค.60) 1,575.11 จุด ลดลง 4.77 จุด (-0.30%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 282.53 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 มี.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (31 มี.ค.60) ปิดที่ 50.60 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 25 เซนต์ หรือ 0.5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (31 มี.ค.60) ที่ 7.00 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.31 แข็งค่ารอบ 20 เดือน รับเม็ดเงินไหลเข้าต่อเนื่อง มองกรอบวันนี้ 34.25-34.35
- เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สศช.ได้รับมอบนโยบายจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในการเตรียมความพร้อมของการวางแผนการจัดตั้งและพัฒนาพื้นที่บริเวณ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้เป็นเมืองศูนย์ราชการเพื่อรองรับการขยายตัวของโครงการอีอีซี และรองรับการขยายตัวของกรุงเทพฯ
- ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เตรียมหารือกับสมาชิกกลุ่มชิ้นส่วนฯ เพื่อจับตาความเคลื่อนไหวพร้อมผลกระทบจากการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ออกคำสั่งพิเศษ 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ให้หาสาเหตุที่ทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ามหาศาลจาก 16 ประเทศ ทั้งในเอเชีย ยุโรปตะวันออก อาเซียน รวมทั้งไทย ว่าเกิดจากสาเหตุใดโดยให้เวลาศึกษา 90 วันจะต้องได้ผลสรุป
- แบงก์ชาติชี้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยยังไม่น่าห่วง คาดครึ่งหลังของปีนี้ระดับหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงอย่างชัดเจนจากภาวะเศรษฐกิจช่วยหนุน ล่าสุดระดับหนี้ครัวเรือนแตะ 79.9% ณ สิ้นปี 59 และยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนในระบบแตะ 11.47 ล้านบาท
- "พาณิชย์" คาดกฎหมายแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้เดือน ก.ย.นี้ หลัง สนช.ผ่านร่าง 3 วาระแล้ว ลั่นเพิ่มเขี้ยวเล็บ บอร์ดแข่งขัน หลังมีอำนาจใช้โทษทางปกครองหยุดพฤติกรรมแข่งขันไม่เป็นธรรม
*หุ้นเด่นวันนี้
- D (บมจ.เดนทัล คอร์ปอเรชั่น) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยราคาขาย IPO 6.00 บาท/หุ้น ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินมูลค่าพื้นฐานได้ 7 บาท อิง PE 25 เท่าหรือ PEG 1 เท่า โดยคาดกำไรสุทธิปี 2560-2561 โตแข็งแกร่งเฉลี่ย 24.7% ต่อปี ได้แรงหนุนจากทั้งรายได้ที่เติบโตจากสาขาเดิมและแผนเปิดสาขาใหม่ปีละ 3-4 สาขา
บริษัทฯให้บริการทันตกรรมครบวงจร ปัจจุบันมี 12 สาขา (10 สาขาในกรุงเทพและ 2 สาขาในภูเก็ต) ดำเนินการภายในแบรนด์ BIDC, Dental Signature และ Smile Signature มีจุดเด่นด้านคุณภาพบริการที่ได้มาตรฐานสากลและมีความรวดเร็ว
- SYNEX (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 15.5 บาท แนวโน้มกำไรปี 2560-2562 โตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี จากการเพิ่มพอร์สินค้าปีละ 2-3 แบรนด์ การขยายไปเมียนมา การรุกธุรกิจลีสซิ่ง และการคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ กำไร 1Q60 คาด +20% Y-Y ปัจจุบันมี PE 16 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มจำหน่ายสินค้า IT ที่ 25 เท่า
- PTTGC (โกลเบล็ก) เป้า 77 บาท คาดกำไรปี 2560 อยู่ที่ 2.68 หมื่นล้านบาท +5%YoY(มีแนวโน้มปรับประมาณการเพิ่ม) โดยได้รับผลบวกจากธุรกิจอะโรเมติกส์ที่ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปรับตัวขึ้นทั้ง Px และ BZ 19% และ 23% YTDตามลำดับ และธุรกิจโอเลฟินส์ที่ราคาผลิตภัณฑ์ HDPE LDPE และ LLDPE ปรับตัวตัวขึ้น 5% 4% และ 13% YTD ตามลำดับ และมี Upside จากการซื้อธุรกิจปิโตรเคมีจาก PTT คาดใช้เงินราว 2.6 หมื่นล้านบาทซื้อบริษัทสายพลาสติกจาก PTT 6 บริษัท (จะเริ่มรับโอนบริษัทช่วง ต.ค.60) ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มกำไรได้ราวปีละ 2.4 พันล้านบาท(ยังไม่ได้รวมในประมาณการ) พร้อมกันนี้เตรียมนำบริษัท GGC เข้าจดทะเบียนในตลาดปีนี้
- AJD (ไอร่า) เป้า 3.17 บาท จำนวนตู้เติมเงินเติบโตเท่าตัว คาดส่งผลดีต่อรายได้ค่าธรรมเนียมจากการเติมเงิน และดอกเบี้ยจากการขายผ่อนตู้เติมเงินและได้รับประโยชน์จากการแจกคูปองดิจิตอลรอบใหม่ของ กสทช. คาดกำไรสุทธิ ปี 60 เพิ่มขึ้น 34%
ตลาดหุ้นเอเชียบวกเช้านี้ ขณะจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐ
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาสหรัฐเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.ในวันศุกร์ รวมถึงการพบกันครั้งแรกระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ในวันที่ 6 เม.ย.นี้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 18,988.00 จุด, เพิ่มขึ้น 78.74 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 24,236.56 จุด เพิ่มขึ้น 124.97 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,166.04 จุด เพิ่มขึ้น 5.81 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,180.27 จุด, เพิ่มขึ้น 5.16 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,742.38 จุด, เพิ่มขึ้น 2.29 จุด
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจีนปิดทำการวันนี้เนื่องในเทศกาลเชงเม้ง ตลาดหุ้นไต้หวันปิดทำการวันนี้เนื่องในวันหยุด
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 46.60 จุด หลังหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงหนัก
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (31 มี.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่
ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวลง 46.60 จุด หรือ 0.63% ปิดที่ 7,322.92 จุด
สำหรับ สัปดาห์นี้ ดัชนี FTSE 100 ลดลง 0.2% แต่สำหรับไตรมาสแรก ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 2.5% นับว่าเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน
ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับผลกระทบจากการปรับคณะรัฐมนตรีของแอฟริกาใต้ เนื่องจากแอฟริกาใต้เป็นผู้ผลิตทองคำและโลหะพื้นฐานรายใหญ่ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มเหมืองแร่
หุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วง 3.4% หุ้นริโอ ทินโต ลดลง 2.5% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ลดลง 2.9%
หุ้นกลุ่มพลังงานก็ปรับตัวลงเช่นเดียวกัน โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ อ่อนลง 1.7% และหุ้นบีพี ขยับลง 0.9%
ทั้งนี้ GfK ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยตลาดชั้นนำของโลก เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนมี.ค. อยู่ที่ระดับ -6 ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับของเดือนก.พ. เนื่องจากชาวอังกฤษยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินส่วนตัว รวมถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศภายหลังการประกาศแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก หลังตลาดซึมซับข่าว Brexit
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (31 มี.ค.) หลังนักลงทุนซึมซับข่าวอังกฤษเริ่มต้นกระบวนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) อย่างเป็นทางการ
สำหรับ ไตรมาสแรก ดัชนี Stoxx Europe 600 ทะยานขึ้น 5.5% ซึ่งถือว่ามากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2558 และเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดวันทำการล่าสุดที่ 5,122.51 จุด เพิ่มขึ้น 32.87 จุด หรือ 0.65% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดวันทำการล่าสุดที่ 12,312.87 จุด เพิ่มขึ้น 56.44 จุด หรือ 0.46% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดวันทำการล่าสุดที่ 7,322.92 จุด ลดลง 46.60 จุด หรือ 0.63%
เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานคณะมนตรียุโรป กล่าวว่า สมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ที่ยังคงเหลืออยู่ 27 อีกประเทศ จะไม่ใช้วิธีการที่ตอกย้ำถึงการลงโทษต่อกรณีที่อังกฤษถอนตัวออกจาก EU ในการเจรจาที่กำลังจะจัดขึ้น เพื่อหาทางเดินหน้าต่อไป
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ EU รายหนึ่งกล่าวว่า จำเป็นต้องใช้เวลามากกว่า 2 ปีในการเจรจารายละเอียดทั้งหมดของการที่อังกฤษจะแยกตัวออกจาก EU
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจนั้น สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนอยู่ที่ระดับ 1.5% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี โดยปรับตัวลงจากระดับ 2% ในเดือนก.พ. และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่อัตราเงินเฟ้อยูโรโซนปรับตัวลงต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่อยู่ใกล้ระดับ 2%
ข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนลดคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ECB ในเดือนธ.ค.
เมื่อวานนี้ การซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยบ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่า ECB มีโอกาส 35% ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี โดยตัวเลขดังกล่าวลดลงจากระดับ 50% เมื่อวันพฤหัสบดี และ 70% ในช่วงต้นสัปดาห์
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 65.27 จุด หลังสหรัฐเผยข้อมูลเศรษฐกิจ
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (31 มี.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการ รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคเดือนก.พ. ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 65.27 จุด หรือ 0.31% ปิดที่ 20,663.22 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 5.34 จุด หรือ 0.23% ปิดที่ 2,362.72 จุด ดัชนี Nasdaq ขยับลง 2.61 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 5,911.74 จุด
อย่างไรก็ดี สำหรับตลอดสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 0.3% ดัชนี S&P 500 บวก 0.8% และดัชนี Nasdaq ทะยาน 1.4%
สำหรับ ทั้งไตรมาส ดัชนีดาวโจนส์บวก 4.6% ดัชนี S&P 500 ทะยาน 5.5% และดัชนี Nasdaq พุ่ง 10%
หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลดลง โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินอ่อนตัวลง 0.7%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐ เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนก.พ. โดยขยับขึ้น 0.1% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปีทีแล้ว หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนม.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.พ.
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐอยู่ที่ระดับ 96.9 ในเดือนมี.ค. โดยต่ำกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ 97.6 แต่สูงกว่าระดับ 96.3 ของเดือนก.พ.
สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆนั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนก.พ. หลังจากพุ่งขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE ดีดตัวขึ้น 2.1% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2555 หลังจากเพิ่มขึ้น 1.9% ในเดือนม.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขาย หลังจากเจ้าหน้าที่หลายคนของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยนางลอเร็ตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยเดอโปล เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ เมื่อวันพฤหัสบดีว่า จีดีพีสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวมากกว่า 2% ในปีหน้า และอัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่การขยายตัวที่ยั่งยืนในระดับ 2% ในปีหน้า พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้
อินโฟเควสท์