- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Friday, 31 March 2017 12:47
- Hits: 5822
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้น รับแรงหนุน Window Dressing-ราคาน้ำมันยืนเหนือ 50 เหรียญฯ/บาร์เรล
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ยังอยู่ในกระแสของการทำ Window Dressing และราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้นมาเหนือระดับ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้น่าจะช่วยหนุนดัชนีฯ
แต่มองว่าราคาน้ำมันก็ยังไม่ใช่ขาขึ้นอย่างชัดเจน คงเป็นแค่การสวิงมากกว่า จากการคาดหวังว่าผู้ผลิตน้ำมันน่าจะยืดระยะเวลาการลดกำลังการผลิตออกไป ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ
ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ให้ติดตามการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงเกี่ยวภับภาวะเศรษฐกิจไทย พร้อมให้แนวรับ 1,570 จุด ส่วนแนวต้าน 1,585-1,590 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (30 มี.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,728.49 จุด เพิ่มขึ้น 69.17 จุด (+0.33%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,914.34 จุด เพิ่มขึ้น 16.80 จุด (+0.28%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,368.06 จุด เพิ่มขึ้น 6.93 จุด (+0.29%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 107.20 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้เพิ่มขึ้น 1.98 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 4.44 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 4.02 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 1.18 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 2.29 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 1.77 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 3.99 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (30 มี.ค.60) 1,579.88 จุด เพิ่มขึ้น 4.91 จุด (+0.31%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 10,694.70 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 มี.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (30 มี.ค.60) ปิดที่ 50.35 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 84 เซนต์ หรือ 1.7%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (30 มี.ค.60) ที่ 6.65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.47 ทิศทางอ่อนค่าหลังตัวเลขศก.สหรัฐหนุนดอลล์แข็ง-รอความชัดเจนนโยบาย"ทรัมป์"
- คลังเผยเครื่องชี้เศรษฐกิจเดือนก.พ.ขยายตัวดี มั่นใจจีดีพีปีนี้โตตามเป้าที่ 3.6% และอาจโตถึง 4% หากส่งออกขยายตัวดี-งบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคเบิกจ่ายได้ 60% โดยไม่จำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม ด้านสรท.ห่วงบาทแข็งที่ 34.5 กระทบส่งออก โตเพียง 1.5-2%
- มติสนช.ผ่านฉลุย 2 ร่างกฎหมายปิโตรเลียม โดยกมธ.ยอมตัด ม.10/1 เรื่องการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติในร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียม แต่เขียนข้อสังเกตให้ครม.ตั้ง กก.ศึกษาใน 60 วัน เพื่อศึกษารายละเอียดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติภายใน 1 ปี ด้านอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ระบุว่าคณะกรรมการปิโตรเลียมจะประชุมเพื่อกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ตามข้อกฎหมายรองรับการปฎิบัติงานตาม พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ เพื่อที่จะเดินหน้าเปิดประมูลสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 2 แหล่งที่จะหมดอายุลงในปี 2565-2566 โดยคาดว่าในเดือนก.ค.นี้จะเข้าสู่การขั้นตอนเปิดขายทีโออาร์ เพื่อนำไปสู่การยื่นเสนอการประมูลในเดือนต.ค.นี้ และจะสามารถตัดสินผู้ชนะการประมูลในเดือนธ.ค.ปีนี้
- ประธานสภาส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเป็นปัจจัยหลักที่ผู้ส่งออกต้องจับตาดูใกล้ชิด เพราะความผันผวน จนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่านั้น มีผลต่อยอดการส่งออกไทย คาดว่ายอดส่งออกในเดือน มี.ค.นี้ จะแตะระดับ 1.81 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากได้อานิสงส์จากฐานปีก่อนที่ต่ำมาก
- การจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 รัฐบาลจัดเก็บได้ 8.76 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1.41 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่นสูงกว่าประมาณการ 2.09 หมื่นล้านบาท และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าประมาณการ 1.15 หมื่นล้านบาท
- ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2560 จะขยายตัวได้ตามที่ประมาณการไว้ 3.6% เนื่องจากการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบกลางปี 1.9 แสนล้านบาท คาดว่าจะเบิกจ่ายได้ในปีนี้ไม่น้อยกว่า 60% ถึงแม้ว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนของหน่วยงานรัฐบาลจะมีบางโครงการล่าช้า แต่ก็มีการเร่งลงทุนของรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานมาชดเชย
*หุ้นเด่นวันนี้
- NPP-W3 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.นิปปอน แพ็ค (ประเทศไทย) NPP)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 248,172,702 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 1.10 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 18 เดือน นับจากวันที่ออกเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิซึ่งตรงกับวันที่ 10 มีนาคม 2560 ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย) กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 7 ก.ย. 2561 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 7 ก.ย. 2561
- KBANK (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 240 บาท เป็น Top Pick ในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่เพราะจะได้รับประโยชน์ที่สุดจากวงจรขาขึ้นของสินเชื่อเพราะมี NIM สูงสุดในกลุ่มแบงก์ใหญ่ และยังได้ประโยชน์ที่สุดจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจากสัดส่วนสินเชื่อภาคธุรกิจที่มีถึง 70% ส่วนกำไรสุทธิ 1Q60 คาด +6% Q-Q, +12% Y-Y เป็น 1.08 หมื่นล้านบาท และคาดกำไรทั้งปี +3% Y-Y
- STANLY (ธนชาต) "ซื้อ"เป้า 280 บาท คาดกำไรจะกลับมาเติบโตเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี จาก 1) การเติบโตยอดขาย LED ที่มีอัตรากำไรสูง 2) มองอุตสาหกรรมผลิตรถฯ ฟื้นตัว นอกจากนี้ มอง valuation ถูกมาก ด้วย PE เพียง 7x และ EV/EBITDA เพียง 4x คาดกำไรปี 2561F จะโต 24%
- PTTGC (เคจีไอ) "เก็งกำไร"เป้า 83 บาท ประเมินด้วยราคาปิโตรเคมีที่ดีขึ้นใน 1Q60 คาดผลการดำเนินงานหลัก จะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY และมี Catalyst ที่รออยู่คือการเข้าซื้อธุรกิจปิโตรเคมีจากกลุ่ม PTT คาด Upside เพิ่มขึ้นจากเป้าพื้นฐานปัจจุบันอีก 5 บาท (รอประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติการลงทุนฯ 5 เม.ย.นี้)
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวผันผวนเช้านี้ ขณะนักลงทุนชะลอซื้อขายวันสุดท้ายของไตรมาสแรก
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวผันผวนในช่วงเช้าวันนี้ โดยนักลงทุนบางส่วนได้ชะลอการซื้อขายในวันสุดท้ายของไตรมาสแรกปีนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นบางแห่งได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนนี้ หลังจากมีรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 4/2559 ของสหรัฐขยายตัวได้ดีเกินคาด
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,170.42 จุด เพิ่มขึ้น 107.20 จุด, +0.56% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,166.62 จุด เพิ่มขึ้น 1.98 จุด, +0.09% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 24,305.53 จุด เพิ่มขึ้น 4.44 จุด, +0.02% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,336.61 จุด เพิ่มขึ้น 4.02 จุด, +0.05%
ส่วนดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,172.06 จุด ลดลง 1.18 จุด, -0.04% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,746.96 จุด ลดลง 2.29 จุด, -0.13% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,846.38 จุด ลดลง 1.77 จุด, -0.02% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,206.25 จุด ลดลง 3.99 จุด, -0.12%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายสำหรับจีดีพีประจำไตรมาส 4/2559 โดยระบุว่า จีดีพีมีการขยายตัว 2.1% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ที่ขยายตัวเพียง 1.9% และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2%
สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศเอเชียที่มีการเปิดเผยช่วงเช้านี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานในวันนี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนมี.ค.ขยายตัวที่ระดับ 51.8 เพิ่มขึ้นจากเดือนก.พ.ที่มีการขยายตัว 51.6
ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเดือนมี.ค.ขยายตัวที่ระดับ 55.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนก.พ.ที่มีการขยายตัว 54.2
ทางด้านกระทรวงการสื่อสารและกิจการภายในประเทศของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาอาหารซึ่งมีความผันผวน ปรับตัวขึ้น 0.2% เดือนก.พ. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ค่าเงินปอนด์พุ่งฉุดฟุตซี่ปิดลบ 4.20 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (30 มี.ค.) ด้วยแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของค่าเงินสกุลปอนด์ ภายหลังจากรัฐบาลอังกฤษได้ประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน เพื่อเริ่มต้นกระบวนการเจรจาแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) อย่างเป็นทางการ
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 4.20 จุด หรือ -0.06% ปิดที่ 7,369.52 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้ ได้รับปัจจัยลบจากการที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยค่าเงินปอนด์ทะยานขึ้นสู่ระดับ 1.2489 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2435 ดอลลาร์ในตลาดเงินนิวยอร์กเมื่อคืนวันพุธ
เมื่อวานนี้ รัฐบาลอังกฤษได้เปิดเผยรายงานสมุดปกขาวเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ "เกรท รีพีล บิล" (Great Repeal Bill) ว่าด้วยกระบวนการถอดอำนาจทางกฎหมายของสหภาพยุโรป (EU) ออกจากประเทศอังกฤษ หลังจากนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ประกาศใช้มาตรา 50 แห่งสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรป เพื่อเริ่มกระบวนการ Brexit อย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การถอดอำนาจทางกฎหมายของ EU ในอังกฤษนั้นจะรวมไปถึงการยุติอำนาจสูงสุดของผู้พิพากษา EU ในอังกฤษด้วย
หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นลอนดอน สต็อก เอ็กซ์เชนจ์ กรุ๊ป ขยับขึ้น 0.9% หลังบริษัทเปิดเผยแผนการที่จะซื้อหุ้นกลับคืนในวงเงิน 200 ล้านปอนด์ โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่หน่วยงานต่อต้านการผูกขาดการค้าของสหภาพยุโรปได้ขัดขวางข้อตกลงควบรวมกิจการระหว่างลอนดอน สต็อก เอ็กซ์เชนจ์ กรุ๊ป และ Deutsche Boerse ซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ต
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก รับเงินยูโรอ่อน,ราคาน้ำมันพุ่ง
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (30 มี.ค.) เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโรได้หนุนหุ้นกลุ่มส่งออกดีดตัวขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นเหนือระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.5% ปิดที่ 380.46 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2558 หรือสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,089.64 จุด เพิ่มขึ้น 20.60 จุด หรือ +0.41% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,256.43 จุด เพิ่มขึ้น 53.43 จุด หรือ +0.44% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,369.52 จุด ลดลง 4.20 จุด หรือ -0.06%
หุ้นกลุ่มส่งออกได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโร โดยปัจจัยที่กดดันค่าเงินยูโรนั้นมาจากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีซึ่งเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ ปรับตัวขึ้น 1.6% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากระดับ 2.2% ในเดือนก.พ. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.8%
ทั้งนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อของเยอรมนีในเดือนมี.ค.ยังอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ระดับ 2% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ECB อาจจะยังไม่ชะลอการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินในเร็วๆนี้
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นเหนือระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นโททาล พุ่งขึ้น 1% หุ้นสแตทออยล์ ทะยานขึ้น 2.3% และหุ้นทุลโลว์ ออยล์ พุ่งขึ้น 7.7%
อย่างไรก็ตาม หุ้น H&M ผู้จำหน่ายเสื้อผ้าแฟชั่นของสวีเดน ร่วงลง 4% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาสแรกลดลง 3% เนื่องจากยอดขายชะลอตัวลง
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 69.17 จุด รับจีดีพีโตเกินคาด,ราคาน้ำมันพุ่ง
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (30 มี.ค.) ขานรับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4/2559 ที่ขยายตัวได้ดีกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยข้อมูลดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,728.49 จุด เพิ่มขึ้น 69.17 จุด หรือ +0.33% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,368.06 จุด เพิ่มขึ้น 6.93 จุด หรือ +0.29% และดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,914.34 จุด เพิ่มขึ้น 16.80 จุด หรือ +0.28%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายสำหรับจีดีพีประจำไตรมาส 4/2559 โดยระบุว่า จีดีพีมีการขยายตัว 2.1% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ที่ขยายตัวเพียง 1.9% และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2%
ตัวเลขจีดีพีที่มีการขยายตัวได้ดีขึ้นในไตรมาสดังกล่าวนั้น ได้หนุนหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้น 1.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นสูงสุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ หุ้นอเมริกันเอ็กซ์เพรส หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา และหุ้นซิตี้กรุ๊ป ทะยานขึ้นแข็งแกร่งสุด
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นเหนือระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับตัวขึ้นกว่า 1% ขณะที่หุ้นโคโนโคฟิลิปส์ พุ่งขึ้น 8.8% ซึ่งนอกจากจะได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันแล้ว หุ้นโคโนโคฟิลิปส์ยังได้รับปัจจัยบวกจากข่าวที่ว่า ทางบริษัทได้ตกลงขายสินทรัพย์ส่วนใหญ่ในแคนาดา ให้กับบริษัทเซโนวัส เอนเนอจี มูลค่า 1.32 หมื่นล้านดอลลาร์
ส่วนหุ้น Lululemon Athletica ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายชุดและอุปกรณ์สำหรับโยคะ ร่วงลง 23.4% หลังจากบริษัทคาดว่า ผลประกอบการรายไตรมาสจะออกมาต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดวอลล์สตรีท
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวก แต่นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขาย หลังจากเจ้าหน้าที่หลายคนของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยล่าสุดนางลอเร็ตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยเดอโปล เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์เมื่อวานนี้ว่า จีดีพีสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวมากกว่า 2% ในปีหน้า และอัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่การขยายตัวที่ยั่งยืนในระดับ 2% ในปีหน้า พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้
นักลงทุนจับตาการผลักดันร่างกฎหมายต่างๆของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันร่างงบประมาณให้ผ่านสภาคองเกรสภายในช่วงเดือนเม.ย.นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานราชการของสหรัฐ หรือ ชัตดาวน์
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้เสนองบประมาณมูลค่า 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมและสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก-สหรัฐ โดยจำนวนเงินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณที่จะช่วยให้หน่วยงานราชการของสหรัฐสามารถดำเนินการต่อไปได้ภายหลังเดือนเม.ย อย่างไรก็ตาม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนหนึ่งได้แสดงความกังวลว่า ข้อเสนอของปธน.ทรัมป์อาจส่งผลให้เกิดการชัตดาวน์ เนื่องจากพรรคเดโมแครตปฏิเสธที่จะยอมรับข้อเสนอของรีพับลิกัน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.พ., รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
อินโฟเควสท์