WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET28ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งตัว ทางเทคนิคมีโมเมนตัมเป็น Negative,ติดตามรายงานผลประชุมเฟดคืนนี้

   นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คงเป็นลักษณะของการแกว่งตัว โดยให้จับตาดัชนีฯจะรีบาวด์ได้หรือไม่หลังจากที่เมื่อวานนี้ดัชนีฯปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ถ้าดัชนีฯรีบาวด์ไม่ได้ก็มีโอกาสที่จะปรับตัวลงต่อได้ โดยมีแนวรับ 1,558-1,546 จุด แต่ถ้ารีบาวด์ได้ก็มีแนวต้าน 1,573 จุด เนื่องจากในทางเทคนิคมีโมเมนตัมเป็น Negative ซึ่งจะต้องระวัง

   สำหรับการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็จะช่วยหนุนตลาดฯได้บ้างในบางบริษัท แต่ก็มีบางบริษัทที่รับรู้ไปแล้วทำให้หลังประกาศงบฯแล้วก็อาจมี Sell on fact

    ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวก มีบางตลาดที่ติดลบเล็กน้อย ซึ่งต่างก็รอดูรายงานผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งจะมีการเปิดเผยรายงานดังกล่าวในคืนวันนี้ โดยดูว่าจะมีการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ถ้ามีการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fund Flow ก็จะยังไม่ไหลเข้าต่อไป ซึ่งก็จะมองเป็น profit taking มากกว่า ส่วนหุ้นเด่นก็จะเป็นพวกที่มีปันผลพิเศษ รวมถึงมี outlook ดี ๆ

    "Emerging Market ตอนนี้ Slow เพราะ Fund Flow ไม่เข้า แล้วก็ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาด้วย...ทุกคนต่างก็ไปซื้อหุ้นที่สหรัฐฯกันหมด"นายถนอมศักดิ์ กล่าว

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

    - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (21 ก.พ.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,743.00 จุด พุ่งขึ้น 118.95 จุด (+0.58%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,865.95 จุด เพิ่มขึ้น 27.37 จุด (+0.47%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,365.38 จุด เพิ่มขึ้น 14.22 จุด (+0.60%)

     - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 37.78 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 0.64 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 95.46 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 22.32 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 3.49 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 9.93 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 2.14 จุด

    - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (21 ก.พ.60) 1,564.42 จุด ลดลง 14.05 จุด (-0.89%)

    - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 653.81 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 ก.พ.60

    - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (21 ก.พ.60) ปิดที่ 54.06 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 66 เซนต์ หรือ 1.2%

    - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (21 ก.พ.60) ที่ 6.52 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

    - เงินบาทเปิด 35.01 แข็งค่าสวนทางภูมิภาครับเม็ดเงินไหลเข้า มองกรอบวันนี้ 34.95-35.05

    - นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาได้มีการชะลอการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ไว้ แต่หลังจากนี้ไม่ต้องชะลอ ให้ไปจัดทำอีไอเอและจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (อีเอชไอเอ) ใหม่อีกครั้ง

    - อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับผู้บริหาร บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) เมื่อ 21 ก.พ. ว่า มีข้อสรุปว่าจะแบ่งการใช้ประโยชน์ที่ดินในสนามบินสุวรรณภูมิ เป็น 2 ประเภท ประเภทแรกคือ ที่ใช้ในกิจการการบิน ให้ใช้อัตราค่าเช่า แบบส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ในอัตรา 5% ซึ่งการคิดวิธีนี้และในอัตราค่าเช่าดังกล่าว เป็นวิธีการและอัตราที่ ทอท.ได้จ่ายค่าเช่าที่ดินให้แก่กรมธนารักษ์ในปัจจุบัน ซึ่งการคิดค่าเช่าในส่วนของกิจการการบินในวิธีและอัตราดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนที่ใช้สนามบิน ที่อาจต้องจ่ายค่าใช้สนามบินสูงขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายของสายการบินที่บินมาลงที่สุวรรณภูมิ ที่ดินประเภทที่ 2 คือ ที่ดินที่ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ จะใช้วิธีการคิดค่าเช่าแบบผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ซึ่งมีอัตราระหว่าง 3-5% แต่กรมธนารักษ์จะคิดในอัตรา 3% เท่านั้น ซึ่งการคิดอัตราค่าเช่าดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อ ทอท.มากนัก

    - ครม.ไฟเขียวโครงการสินเชื่อเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท หนึ่งในแพ็กเกจใหญ่แก้หนี้นอกระบบ ช่วยผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ลดภาระกู้หนี้ดอกเบี้ยสูง ยกระดับคุณภาพชีวิตคนจนประมาณ 2 แสนคน ด้าน ธปท.รุกให้ความรู้กลุ่มเจนวายส่งเสริมการออม

     - คลังเตรียมเปิดตัวพิโค ไฟแนนซ์ 12 ราย วันที่ 27 ก.พ.นี้ เผยมีคนยื่นขอใบอนุญาตถึง 82 ราย หวังกระจายให้มีทุกจังหวัดเพื่อเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

   - ขณะนี้ ตลท. ได้หารือกับกับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กว่า 600 ราย ที่มีหนี้ระยะสั้นทั้งการออกตั๋วแลกเงินระยะสั้น (บีอี), และระดมทุนผ่านช่องทางอื่น ๆ เพื่อตรวจสอบถึงแนวทางการบริหารจัดการรวมถึงระบบการป้องกันความเสี่ยงด้านการเงิน และความพร้อมในการชำระหนี้หลังจากต้นปีที่ผ่านมามีกระแสการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบีอี ของ บจ.ในบางแห่ง จนส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์บริษัทที่อยู่ในตลาดฯ เบื้องต้นบจ.ส่วนใหญ่ยืนยันว่าไม่มีปัญหาการชำระหนี้ เนื่องจากสามารถควบคุมการบริหารการเงินได้และมีผลประกอบการของบริษัทอยู่ในระดับที่ดี

*หุ้นเด่นวันนี้

    - ITEL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 14 บาท ปรับกำไรสุทธิปี 2560-2564 ขึ้นเฉลี่ย 15% ต่อปี ตามจำนวนวงจรเช่าโครงข่าย Fiber Optic ที่ขยายตัวรวดเร็ว (วงจรเช่าสิ้นปี 2559 +133% Y-Y) และงานรับเหมาติดตั้งโครงข่ายที่มีแนวโน้มสูงกว่าคาด และยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้ค่อย ๆ ขยับเพิ่มขึ้นได้ กำไรที่ปรับเพิ่มทำให้โตเฉลี่ย 48% ต่อปี ราคาหุ้นปัจจุบันที่มี PE 38 เท่า คิดเป็น PEG 0.8 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 1.5 เท่า สำหรับกำไรสุทธิ Q4/59 คาด +26% Y-Y

     - TU (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 24 บาท ผ่านกำไรต่ำสุดแล้วใน 4Q59 ซึ่ง -20% Q-Q, -8% Y-Y จากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากการซื้อกิจการ Red Lobster แต่จะกลับมาเติบโตในปี 2560 แม้จะปรับกำไรสุทธิปีนี้ลง 9% ให้สอดคล้องกับเป้ายอดขายของผู้บริหารที่ปรับลง 7% แต่กำไรยังเติบโต 23% Y-Y จากการฟื้นตัวของธุรกิจปลาทูน่าและปลาแซลมอน และ Red Lobster ที่จะพลิกเป็นกำไรได้

    - PTTGC (ไอร่า) เป้า 82 บาท ประกาศผลการดำเนินงานปี 59 มีกำไรสุทธิ 25,602 ล้านบาท ขณะที่ 4Q/59 มีกำไรสุทธิ สูงถึง 9,744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% qoq และ 108% yoy จากผลการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีในสายโอเลฟินส์ที่ฟื้นตัวขึ้น qoq หลังโรงงานโอเลฟินส์ปิดซ่อมบำรุง เมื่อ 2Q/59 กลับมาผลิตตามปกติตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค.59 และผลิตได้เต็มที่ในช่วง 4Q/59 จาก 92% เมื่อ 3Q/59 รวมถึงมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน และได้รับประโยชน์จากค่าการกลั่นที่สูงขึ้น ล่าสุด (20/2/60) ประกาศจ่ายปันผล 1.80 บาท XD : 2/3/60 และจ่ายในวันที่ 25/4/60 พร้อมคาดปี 60 จะฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง คาด HDPE สามารถยืนได้ที่ระดับ 1,100-1,200 USD/ton และได้รับประโยชน์จากการเข้าซื้อกิจการปิโตรเคมีที่เป็นบริษัทลูกของ PTT คาดทำให้เกิด Synergy กับธุรกิจเดิมของ PTTGC ที่มีอยู่แล้ว และเพื่อรองรับการเป็น flagship ทางด้านปิโตรเคมีในกลุ่ม PTT

   - BANPU (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดกำไรปี 2560 เติบโตแข็งแกร่ง จากราคาถ่านหินที่สูงขึ้นจนพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร อีกทั้งราคาถ่านหินทุก 5 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จะเพิ่มกำไร 1.5 พันล้านบาท อีกทั้งผลการดำเนินงานปัจจุบันผันผวนน้อยลงจากการมีธุรกิจไฟฟ้า (BPP) และได้รับการปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนจาก MSCI

ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นเช้านี้ ขานรับดาวโจนส์ทำนิวไฮต่อเนื่อง

     ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่เดินหน้าทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกัน 8 วันทำการ

     ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,419.22 จุด เพิ่มขึ้น 37.78 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,252.69 จุด ลดลง 0.64 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 24,059.09 จุด เพิ่มขึ้น 95.46 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,786.25 จุด เพิ่มขึ้น 22.32 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,106.42 จุด เพิ่มขึ้น 3.49 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,104.12 จุด เพิ่มขึ้น 9.93 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,708.69 จุด เพิ่มขึ้น 2.14 จุด

   ทั้งนี้ ตลาดได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่า มาตรการปรับลดอัตราภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายผู้บริโภค โดยนักลงทุนจับตาประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งจะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสสหรัฐในวันที่ 28 ก.พ. ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า ทรัมป์จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลในวันดังกล่าว

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 25.03 จุด หลังเอชเอสบีซีเผยผลประกอบการซบเซา

     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 ก.พ.) โดยบรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของธนาคารเอชเอสบีซี อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการที่สดใสของบีเอชพี บิลลิตัน ได้ช่วยสกัดแรงลบของตลาดในระหว่างวัน

     ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,274.83 จุด ลดลง 25.03 จุด หรือ -0.34%

    หุ้นเอชเอสบีซีร่วงลง 6.5% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรก่อนหักภาษีในปี 2559 ร่วง 62% สู่ระดับ 7.1 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่สามารถทำกำไรได้ 1.887 หมื่นล้านดอลลาร์

    ทั้งนี้ ผลประกอบการที่อ่อนแอของเอชเอสบีซีส่งผลให้นักลงทุนจับตาผลประกอบการของธนาคารรายอื่นๆอย่างใกล้ชิด โดยธนาคารลอยด์ แบกกิ้ง กรุ๊ป จะเปิดเผยผลประกอบการในวันนี้ ขณะที่ธนาคารบาร์เคลย์สจะเปิดเผยผลประกอบการในวันพรุ่งนี้ และในวันศุกร์จะเป็นการรายงานผลประกอบการของรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ และสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด

   อย่างไรก็ตาม ตลาดได้แรงหนุนในระหว่างวัน จากหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ที่ปรับตัวขึ้น 0.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไร 3.20 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปีงบการเงิน โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และมาตรการปรับลดต้นทุน

   ส่วนหุ้นอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเทลส์ กรุ๊ป ทะยานขึ้นแข็งแกร่ง หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สดใสและประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผล

    นักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าของการอภิปรายในประเด็น Brexit ของอังกฤษ โดยสภาขุนนาง (House of Lords) ของอังกฤษได้ทำการอภิปรายร่างกฎหมายที่ว่าด้วยการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เป็นวันที่สอง หลังจากที่สภาสามัญชน (House of Commons) ของอังกฤษ มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าวในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

   ทั้งนี้ มีการคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า สภาขุนนางจะลงมติเห็นชอบต่อร่างกฎหมาย Brexit โดยไม่มีการแปรญัตติเช่นกัน ขณะที่สื่อรายงานว่า นางเทเรซา เมย์ อาจประกาศใช้มาตรา 50 ในวันที่ 9 มี.ค. ในระหว่างที่เข้าประชุมสุดยอดของสภายุโรปที่ประเทศมอลตา

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับ PMI ยูโรโซนแข็งแกร่ง

   ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (21 ก.พ.) หลังจากมีรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการของยูโรโซน พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปี โดยข้อมูลดังกล่าวได้ช่วยสกัดปัจจัยลบจากการร่วงลงของหุ้นเอชเอสบีซี

   ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.6% ปิดที่ 373.40 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.2558

   ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,888.76 จุด เพิ่มขึ้น 23.77 จุด หรือ +0.49% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,967.49 จุด พุ่งขึ้น 139.87 จุด หรือ +1.18% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,274.83 จุด ลดลง 25.03 จุด หรือ -0.34%

    ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนหลังจากผลการสำรวจของไอเอชเอส มาร์กิต พบว่า ยูโรโซนมีการฟื้นตัวของกิจกรรมทางด้านธุรกิจสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปีในเดือนก.พ.

   ทั้งนี้ ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการ พุ่งแตะระดับ 56.0 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2011 จากระดับ 54.4 ในเดือนม.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 54.3

   ดัชนี PMI อยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะขยายตัว

   นอกจากนี้ มาร์กิตยังเปิดเผยว่า การจ้างงานแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 ปีครึ่ง ขณะที่คำสั่งซื้อ และความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจปรับตัวขึ้นเช่นกัน ขณะเดียวกันผลสำรวจยังได้แสดงถึงการขยายตัวที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจฝรั่งเศส และเยอรมนี แม้มีความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งในปีนี้

    หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ปรับตัวขึ้น 0.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไร 3.20 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปีงบการเงิน โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และมาตรการปรับลดต้นทุน

   อย่างไรก็ตาม หุ้นเอชเอสบีซี ร่วงลง 6.5% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรก่อนหักภาษีในปี 2559 ร่วง 62% สู่ระดับ 7.1 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่สามารถทำกำไรได้ 1.887 หมื่นล้านดอลลาร์

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 118.95 จุด รับผลประกอบการบริษัทค้าปลีก

    ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 ก.พ.) โดยดาวโจนส์เดินหน้าทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกัน 8 วันทำการ เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีก หลังจากบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงวอล-มาร์ทและเมซี่ เปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากความหวังที่ว่า มาตรการปรับลดอัตราภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายผู้บริโภค

    ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,743.00 จุด พุ่งขึ้น 118.95 จุด หรือ +0.58% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,865.95 จุด เพิ่มขึ้น 27.37 จุด หรือ +0.47% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,365.38 จุด เพิ่มขึ้น 14.22 จุด หรือ +0.60%

    หุ้นกลุ่มค้าปลีกดีดตัวขึ้น โดยหุ้นวอล-มาร์ท พุ่งขึ้น 6% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไร 1.30 ดอลลาร์/หุ้น ในไตรมาส 4/2559 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ที่ระดับ 1.29 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 1.8% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.3%

    หุ้นเมซี่ ปรับตัวขึ้นกว่า 1% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไร 2.02 ดอลลาร์/หุ้น ในไตรมาส 4/2559 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ที่ระดับ 1.96 ดอลลาร์/หุ้น

   หุ้นโฮม ดีโปท์ ปรับตัวขึ้น 1.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไร 1.44 ดอลลาร์/หุ้น ในไตรมาส 4/2559 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.34 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ 2.221 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.18 หมื่นล้านดอลลาร์

   หุ้นแอปเปิล อิงค์ ดีดตัวขึ้น 0.7% หลังจากนักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นของแอปเปิล อิงค์ อันเนื่องมาจากยอดขายที่แข็งแกร่งในประเทศจีน

   หุ้นป๊อปอายส์ หลุยส์เซียนา คิทเช่น ทะยานขึ้น 19.1% หลังจากบริษัทเรสเตอรองท์ แบรนด์ อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นเจ้าของเบอร์เกอร์ คิง ได้ตกลงเข้าซื้อกิจการป๊อปอายส์ หลุยส์เซียนา คิทเช่น ในวงเงิน 1.8 พันล้านดอลลาร์

    หุ้นอเมซอน ปรับตัวขึ้น 1.3% หลังจากอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของสหรัฐรายนี้ประกาศว่า ทางบริษัทจะจ้างพนักงานเต็มเวลาจำนวน 5 พันคนในสหราชอาณาจักรในปีนี้

    ส่วนหุ้นยูนิลีเวอร์ ดิ่งลง 7.5% และหุ้นคราฟท์ ไฮนซ์ ร่วงลง 1.8% หลังจากคราฟท์ ไฮนซ์ ได้ประกาศยุติความพยายามที่จะยื่นข้อเสนอซื้อยูนิลีเวอร์ ภายหลังจากที่ยูนิลีเวอร์ได้ปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการจากคราฟท์ วงเงิน 1.35 แสนล้านยูโร (1.43 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือ 47 ยูโรต่อหุ้น

   นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่า มาตรการปรับลดอัตราภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายผู้บริโภค โดยนักลงทุนจับตาประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งจะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสสหรัฐในวันที่ 28 ก.พ. ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า ทรัมป์จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลในวันดังกล่าว

   กระแสคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะประกาศแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ "ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า"  โดยนอกจากมาตรการปฏิรูปภาษีแล้ว นักวิเคราะห์ยังคาดว่าปธน.ทรัมป์จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการสาธารณูปโภคในวันดังกล่าวเช่นกัน

   นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค., รายงานการประชุมประจำวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.ของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC), ดัชนีกิจกรรมการผลิตทั่วประเทศเดือนม.ค.จากเฟดชิคาโก, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และยอดขายบ้านใหม่เดือนม.ค.

            อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!