- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Tuesday, 14 February 2017 12:44
- Hits: 3831
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นตามตลาดตปท.คาดหวังแผนลดภาษีทรัมป์หนุน,เล็งกลุ่มแบงก์ช่วยประคองตลาดฯ
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างมาก เนื่องจากวานนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียได้ปรับตัวขึ้น และดัชนีดาวโจนส์ก็ขึ้นทำ New high ด้วย จากความคาดหวังในเรื่องแผนการลดภาษีครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ ทำให้กฎหมายทางการเงินของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ อาจมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ และทำให้การดำเนินงานของกลุ่มแบงก์ดีขึ้น ส่งผลให้ภาพของกลุ่มการเงินปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ บ้านเรายังมีความคาดหวังจากเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่จะไหลเข้ามา จากที่ผ่านมา NVDR ได้เข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มแบงก์มาก อีกทั้งกลุ่มแบงก์ และตลาดหุ้นไทยยังมี Valuation ที่ยังถูก โดยกลุ่มแบงก์เทรด P/E 10 เท่า ขณะที่ให้ Dividend yield 2.9% ทำให้คาดว่ากลุ่มแบงก์น่าจะช่วยประคองตลาดฯได้
พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,582-1,597 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ก.พ.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,412.16 จุด พุ่งขึ้น 142.79 จุด (+0.70%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,763.96 จุด เพิ่มขึ้น 29.83 จุด (+0.52%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,328.25 จุด เพิ่มขึ้น 12.15 จุด (+0.52%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 19.71 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 0.70 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 15.69 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 16.42 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.65 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 17.72 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 0.27 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (10 ก.พ.60) 1,585.24 จุด เพิ่มขึ้น 1.99 จุด (+0.13%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 595.07 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 ก.พ.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ก.พ.60) ปิดที่ 52.93 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 93 เซนต์ หรือ 1.7%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 ก.พ.60) ที่ 7.57 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.05 แนวโน้มอ่อนค่า จับตาประธานเฟดแถลงนโยบายการเงิน
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รายงานสถานการณ์ด้านการคลังปี 2560 เรื่องผลการดำเนินกิจกรรมกึ่งการคลังใหม่ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (แบงก์รัฐ) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2559 ว่า มียอดการปล่อยสินเชื่อในโครงการนโยบายรัฐจำนวนทั้งสิ้นกว่า 9.41 แสนล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 3.93%
- รมว.พาณิชย์ เผยกระทรวงได้จัดทำแผนเจาะตลาดเป็นรายภูมิภาคทั้ง 7 ตลาด หลังจากได้หารือร่วมกับที่ปรึกษารายภูมิภาคก่อนหน้านี้เพื่อใช้เป็นมาตรการผลักดันการส่งออกอย่างเร่งด่วน หวังให้ได้ตามเป้าหมายขยายตัว 2.5-3.5%
- คณะกรรมการกฤษฎีกา แบ่งประเภทที่ดินตามร่าง พ.ร.บ.เป็น 4 ประเภท หวังเพิ่มความชัดเจนการใช้ประโยชน์ จับแยกที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ออกจากประเภทที่ดินเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม โดยกำหนด 3 ปี ปรับภาษีเพิ่ม 0.5% แต่สูงสุดไม่เกิน 5% "วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ" ระบุ คลัง-มหาดไทย หารือรายละเอียดเงื่อนไขเก็บภาษีเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์และโฮมสเตย์ เพื่อเตรียมทำกฎหมายลูก
- ธปท.เผยผู้ประกอบการบัตรเครดิต-สินเชื่อส่วนบุคคลระวังตัว หลังสิ้นปี 59 พบสินเชื่อส่วนบุคคลมียอดเอ็นพีแอลทั้งสิ้น 1.06 หมื่นล้านบาท หรือเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อเหลือ 3.14% หรือเอ็นพีแอลหดตัว 36.87% ลดลง 6.19 พันล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- SE (บมจ. สยามอีสต์ โซลูชั่น) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ mai โดยเสนอขาย IPO ที่ 2.45 บาท/หุ้น ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินราคาพื้นฐาน 2.90 บาท อิง PE 18 เท่า คาดกำไรปี 2559-2560 +66% Y-Y และ +32% Y-Y เป็น 38 ล้านบาทและ 45 ล้านบาท ตามลำดับ ค่อยๆโตจากฐานต่ำและหันมาเน้นการเป็น Solution provider มากขึ้น
บมจ.สยามอีสต์ โซลูชั่น ดำเนินธุรกิจเทรดดิ้งสินค้าที่เกี่ยวข้องกับระบบปั๊ม ท่อ และงานซ่อมบำรุงในโรงงานอุตสาหกรรม โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายกว่า 40 แบรนด์ มีสินค้ากว่า 3,500 รายการ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายอยู่ในพื้นที่อุตสาหกรรมฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ที่ภาครัฐสนับสนุน (โครงการ EEC) กำไรงวด 9M59 -28% Y-Y ตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่และมีค่าใช้จ่ายในการเข้าตลาดฯ
- SCB (ยูโอบี เคย์เฮียน) Laggard play ในกลุ่มการเงิน ราคาที่ลดลงสะท้อนการเพิ่มขึ้นของ NPL ในไตรมาส 4/59 ไปแล้ว ขณะที่ภาระการตั้งสำรองในอนาคตน่าจะต่ำกว่าธนาคารใหญ่อื่น จากหนี้ SSI ถูกจัดชั้นพิเศษ ยังไม่ถูกรับรู้ในราคาหุ้น
- PTTGC (ไอร่า) เป้า 72.50 บาท คาดผลการดำเนินงานในช่วง 4Q/59 จะออกมาโดดเด่น จากค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูง โดยค่าการกลั่นตลาดสิงคโปร์ในช่วง 4Q/59 อยู่ที่ 6.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นถึง 31% qoq รวมถึงราคาน้ำมันดิบในช่วง 4Q/59 เพิ่มสูงขึ้น 17% qoq มาอยู่ที่ 54 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จาก 46 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ณ ต้น 4Q/59 คาดส่งผลดีต่อ PTTGC ระยะสั้น คาดมีกำไรจากสต็อกน้ำมันประมาณ 2-3 พันล้านบาท และแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคา HDPE ปรับขึ้นตาม ซึ่ง Spread ของ PTTGC จะดีขึ้นตามราคา HDPE ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามสูตรที่รับซื้อก๊าซจาก PTT ส่วนอัตราการจ่ายเงินปันผลน่าสนใจอยู่ที่ 4.2%
ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นเช้านี้ ขานรับตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่ง
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืน โดยดัชนีดาวโจนส์ NASDAQ และ S&P500 ต่างปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกัน 3 วันทำการ ขานรับข่าวที่ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เตรียมประกาศแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,478.86 จุด เพิ่มขึ้น 19.71 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,216.14 จุด ลดลง 0.70 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,695.29 จุด ลดลง 15.69 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,726.74 จุด เพิ่มขึ้น 16.42 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,079.30 จุด เพิ่มขึ้น 0.65 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,093.91 จุด ลดลง 17.72 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,709.97 จุด ลดลง 0.27 จุด
นอกจากนี้ ตลาดการเงินทั่วโลกต่างจับตานางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะแถลงนโยบายการเงินต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภา ในวันที่ 14-15 ก.พ.นี้ โดยนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดว่า ถ้อยแถลงของประธานเฟดในครั้งนี้อาจจะมีการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป หลังจากที่คณะกรรมการเฟดได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์เงินเฟ้อในการประชุมเดือนก.พ.
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : แรงซื้อหุ้นเหมืองหนุนฟุตซี่ปิดบวก 20.17 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ (13 ก.พ.) โดยดัชนี FTSE 100 ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์ ด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดยังรับปัจจัยบวกจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้แสดงท่าทีที่ผ่อนปรนลงในนโยบายการค้าและการเมืองต่อประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและญี่ปุ่น ซึ่งทำให้นักลงทุนคลายความวิตกเป็นอย่างมาก
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 20.17 จุด หรือ 0.28% ปิดที่ 7,278.92 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้ ได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ซึ่งทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังราคาทองแดงพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 20 เดือนอันเนื่องมาจากความวิตกในภาวะอุปทานทองแดง โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่ง 4.2% หุ้นริโอ ตินโต พุ่งขึ้น 3% หุ้นเกลนคอร์ เพิ่มขึ้น 2.6% และหุ้นแอนโตฟากาสต้า เพิ่มขึ้น 2%
นักวิเคราะห์ตลาดจาก Oanda มองว่า บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนผ่อนคลายความวิตกลง สืบเนื่องจากปธน.ทรัมป์ได้แสดงท่าทีที่ผ่อนปรนลงต่อญี่ปุ่นและจีน หลังจากที่เขาเคยกล่าวหาว่า ทั้งจีนและญี่ปุ่นได้ปั่นค่าเงินของตนเองเพื่อสร้างความได้เปรียบในด้านการค้า
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปธน.ทรัมป์ได้กล่าวว่า ตนต้องการทำข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นที่ยุติธรรม เสรี และต่างเอื้อประโยชน์ต่อกัน นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐยังได้แสดงจุดยืนในระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนว่า เขาจะให้ความเคารพต่อนโยบายจีนเดียวตามที่รัฐบาลสหรัฐได้ยึดถือมาตลอดเกือบ 4 ทศวรรษ ด้วยการยอมรับว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน
นายอิเพ็ก ออซคาร์เดสคายา นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสแห่งลอนดอน แคปิตอล กรุ๊ป กล่าวว่า ขณะนี้นักลงทุนได้หันไปจับตาดูข้อมูลเงินเฟ้อของอังกฤษซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยที่กระตุ้นความหวังว่าธนาคารกลางอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ย
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดบวก รับข่าว ทรัมป์ กระชับสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่น
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ก.พ.) โดยได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ มีท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้นของต่อจีนและญี่ปุ่น ซึ่งเป็น 2 ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากคณะกรรมาธิการยุโรปได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (EU) ในปีนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.8% ปิดที่ 370.13 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 5 วันทำการ
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,888.19 จุด เพิ่มขึ้น 59.87 จุด หรือ +1.24% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,774.43 จุด พุ่งขึ้น 107.46 จุด หรือ +0.92% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,278.92 จุด เพิ่มขึ้น 20.17 จุด หรือ +0.28%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 5 วันทำการ โดยตลาดได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนขานรับท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เป็นมิตรของประเทศอื่นๆ โดยรายงานระบุว่า ทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ผู้นำสหรัฐได้ต่อสายตรงคุยกับผู้นำจีน นับตั้งแต่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยทรัมป์กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐนั้นมีความคืบหน้าดีมาก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ทั้งนี้ ทรัมป์ยังได้ตกลงที่จะยึดมั่นในนโยบายจีนเดียว ซึ่งถือเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดสำหรับจีน ในฐานะที่เป็นพื้นฐานทางการเมืองของความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้จัดการประชุมหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐต้องการความสัมพันธ์ทางการค้าที่เสรี เป็นธรรม และต่างตอบแทนกันร่วมกับญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับแรงหนุนหลังจากคณะกรรมาธิการยุโรปได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจ EU ขึ้นสู่ระดับ 1.8% ในปีนี้ จากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.6% เนื่องจากเศรษฐกิจ EU เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว หลังจากที่เผชิญแรงกดดันในปีที่แล้ว ซึ่งรวมถึงการที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
หุ้นลันดิน ปิโตรเลียม ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของนอร์เวย์ ปรับตัวขึ้น 1.5% หลังจากบริษัทประกาศตัดขายธุรกิจบางส่วน ขณะที่หุ้น Saab AB ร่วงลง 3.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4/2559 ที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 142.79 จุด รับแผนลดภาษี ทรัมป์
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ก.พ.) โดยดัชนีดาวโจนส์, NASDAQ และ S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ เตรียมประกาศแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ โดยนักลงทุนเดินหน้าเข้าซื้อหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากรายงานที่ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้นต่อจีนและญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสองประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐ
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,412.16 จุด พุ่งขึ้น 142.79 จุด หรือ +0.70% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,763.96 จุด เพิ่มขึ้น 29.83 จุด หรือ +0.52% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,328.25 จุด เพิ่มขึ้น 12.15 จุด หรือ +0.52%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก โดยดัชนีหลักทั้งสามดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นวันที่สอง หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ได้เปิดเผยในระหว่างการประชุมกับผู้บริหารของสายการบินที่ทำเนียบขาวว่า เขาจะประกาศแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ในอีกไม่กี่สัปดาห์
ทั้งนี้ ทรัมป์กล่าวว่า การปรับลดภาระภาษีโดยรวมสำหรับภาคธุรกิจของสหรัฐถือเป็นเรื่องใหญ่ และเขาจะประกาศแผนการดังกล่าวภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
นักวิเคราะห์จากแคปิตอล ซิเคียวริตีส์ เมเนจเมนท์กล่าวว่า นอกเหนือจากแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่แล้ว ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์มีท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้นต่อจีนและญี่ปุ่น โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้จัดการประชุมหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ที่กรุงวอชิงตัน ซึ่งทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐต้องการความสัมพันธ์ทางการค้าที่เสรี เป็นธรรม และต่างตอบแทนกันร่วมกับญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ผู้นำสหรัฐได้ต่อสายตรงคุยกับผู้นำจีน นับตั้งแต่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยทรัมป์กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐนั้นมีความคืบหน้าดีมาก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ทำเนียบขาวเปิดเผยในคืนวันพฤหัสบดีว่า ปธน.ทรัมป์และปธน.สีได้พูดคุยกันอย่างอบอุ่นและเป็นมิตรในระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์ และได้มีการเชิญแต่ละฝ่ายเดินทางเยือนประเทศของอีกฝ่าย
หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวขึ้น 1.5% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค พุ่งขึ้น 1.3% ส่วนหุ้นแคเทอร์พิลลาร์ ทะยานขึ้น 2.3%
หุ้นแอปเปิล อิงค์ ปรับตัวขึ้น 0.9% หลังจากนักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นแอปเปิล อันเนื่องมาจากยอดขายไอโฟนที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
อย่างไรก็ตาม หุ้นเวอไรซอน คอมมูนิเคชั่นส์ ปรับตัวลง 0.9% หลังจากมีรายงานว่า ทางบริษัทเตรียมขายธุรกิจบริการด้านข้อมูล โดยนับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่ทางบริษัทเสนอขายธุรกิจดังกล่าว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการแข่งขันทางธุรกิจที่ดุเดือดนั้น ส่งผลให้เวอไรซอนต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนม.ค., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.พ. จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ยอดค้าปลีกเดือนม.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนม.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเดือนธ.ค., ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนม.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนม.ค.โดย Conference Board
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตานางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะแถลงนโยบายการเงินต่อคณะกรรมาธิการในสภาคองเกรส ในวันที่ 14-15 ก.พ.นี้ โดยคาดว่าถ้อยแถลงครั้งนี้จะครอบคลุมถึงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐและนโยบายการเงิน และอาจมีการส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ด้วย
อินโฟเควสท์