- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 23 January 2017 10:35
- Hits: 1538
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ อิงแดนบวก ขานรับเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าหลังไม่แน่นอนนโยบายทรัมป์
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ อิงแดนบวก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวก เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯได้กลับมาอ่อนค่าลง ภายหลังที่มีความไม่แน่นอนในเรื่องของนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายออกมา และยังมีการต่อต้านการขึ้นดำรงตำแหน่งของนายทรัมป์ด้วย ทำให้มีผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ก็มีเรื่องผลประกอบการของกลุ่มแบงก์ออกมาดีกว่าคาด ทำให้อาจจะมีแรงซื้อนอกกลุ่มสถาบันการเงิน ซึ่งผลประกอบการของบริษัทนอกกลุ่มสถาบันการเงินจะทยอยประกาศออกมาในช่วงปลายสัปดาห์นี้
พร้อมให้แนวรับ 1,558-1,560 จุด ส่วนแนวต้าน 1,570 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (20 ม.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,827.25 จุด เพิ่มขึ้น 94.85 จุด (+0.48%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,555.33 จุด เพิ่มขึ้น 15.25 จุด (+0.28%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,271.31 จุด เพิ่มขึ้น 7.62 จุด (+0.34%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 199.46 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 2.28 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 40.39 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 32.20 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 2.01 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 0.22 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.03 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (20 ม.ค.60) 1,562.99 จุด เพิ่มขึ้น 8.11 จุด (+0.52%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,749.16 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 ม.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (20 ม.ค.60) ปิดที่ 52.42 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.05 ดอลลาร์ หรือ 2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (20 ม.ค.60) ที่ 6.61 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.30 แนวโน้มแข็งค่า มองกรอบ 35.25-35.32 รอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ
- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะประชุมร่วมกับผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ในวันที่ 20 ก.พ.ที่จะถึงนี้ เพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกของไทยในประเทศต่างๆ ว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร จะต้องปรับแผนงานเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อให้การส่งออกขยายตัวตามเป้าหมายที่ 3%
- ก.ล.ต.เล็งเพิ่มหลักเกณฑ์การออกตั๋วแลกเงินระยะสั้น หรือ B/E หวังให้บริษัทที่มีแนวโน้มเสี่ยงเปิดเผยข้อมูลทางการเงินโดยละเอียด ย้ำตัวแทนขายให้เปิดเผยทุกข้อมูลให้ผู้ซื้อพิจารณาก่อนซื้อ ยันการออกตราสารหนี้เป็นช่องทางระดมทุนที่สำคัญต่อภาคธุรกิจ
- แบงก์ชาติรอความชัดเจนนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก่อนประเมินผลกระทบเศรษฐกิจไทย ย้ำความผันผวนและความไม่แน่นอนยังสูง แนะธุรกิจเกี่ยวข้องต่างประเทศควรป้องกันความเสี่ยง ส่วนการผิดนัดชำระหนี้ตั๋ว B/E เกิดเฉพาะบริษัทขนาดเล็กที่มีปัญหาและกระทบบางกลุ่มผู้ลงทุน
- ปลัดกระทรวงการคลัง เผยสัปดาห์นี้จะหารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อเร่งสรุปมาตรการลดหย่อนภาษี 2 เท่า เพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน จะได้เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบภายในเดือน ม.ค.นี้ โดยคลังต้องการออกมาตรการนี้ให้เร็ว เพื่อให้เอกชนมีเวลาเตรียมตัวและลงทุนเพื่อให้เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้เร็วที่สุด
*หุ้นเด่นวันนี้
- KKP (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 71 บาท กำไรดีกว่าคาด -14% Q-Q, +48% Y-Y เป็น 1.45 พันล้านบาทใน 4Q59 จากการตั้งสำรองที่ลดลงอย่างมาก สำหรับกำไรก่อนสำรอง (PPOP) เป็นไปตามคาด -42% Q-Q, -9% Y-Y ตามการลดลงของรายได้ ทำให้กำไรสุทธิทั้งปี 2559 +67% Y-Y เพราะมีการขายเงินลงทุนในธุรกิจหลักทรัพย์และรายได้ดอกเบี้ยจากการปรับโครงสร้างหนี้ กำไรที่ทำไว้สูงปีก่อนทำให้ปี 2560 น่าจะลดลง 3% Y-Y พร้อมคาด Dividend yield 3.5-4.5% สำหรับงวด 2H16 หรือ 7% ต่อปี
- KTB (เคจีไอ) "เก็งกำไร"ปรับประมาณการกำไรและเป้าพื้นฐาน KTB ขึ้น (จาก 18.4 บาท เป็น 21 บาท) สะท้อนผลการดำเนินงานปี 2559 ที่ดี และคุณภาพสินทรัพย์ และ Valuation น่าสนใจด้วย PBV ปี 2560 = 0.9 เท่า ขณะที่ ROAE 11.6%
- SCC (ไอร่า) เป้า 648 บาท คาดทั้งปี 59 กำไรสุทธิ 54,617 ล้านบาท +20% ภายใต้ผลการดำเนินงาน 1H/59 ที่เติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะจากธุรกิจปิโตรเคมี พร้อมคาดเงินปันผลทั้งปี 59 อยู่ที่ 17.00 บาท โดยคาดคงเหลือจ่ายใน 2H/59 อีกประมาณ 8.50 บาท นอกจากนี้คาดปี 60 กำไรสุทธิทำ New High ต่อเนื่อง จากธุรกิจปิโตรเคมี และคาดส่วนต่างผลิตภัณฑ์ยังสามารถทรงตัวได้ในระดับที่ดี จากวัฏจักรรอบนี้ที่คาดเพิ่มขึ้นจากเดิม 3 ปี เป็น 4-5 ปี, ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง คาดความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศ เพิ่มขึ้น 3-5% จากปี 59 ที่คาดทรงตัวที่ประมาณ 40 ล้านตัน จากการลงทุนภาครัฐ ที่คาดช่วยกระตุ้นความต้องการในกลุ่ม Commercial และ Residential ให้กลับมา ขณะที่ SCC มีการขยายไปในกลุ่ม ASEAN และคาดในปี 60 รับรู้กำลังการผลิตปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ เหตุวิตกนโยบาย ทรัมป์ กระทบการค้าโลก
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ โดยการนำของตลาดหุ้นโตเกียวที่ร่วงลงกว่า 1% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านการค้าทั่วโลก หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ได้แสดงจุดยืนในการปกป้องการค้าของสหรัฐ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 18,938.45 จุด ลดลง 199.46 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,125.42 จุด เพิ่มขึ้น 2.28 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,926.30 จุด เพิ่มขึ้น 40.39 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,363.66 จุด เพิ่มขึ้น 32.20 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,067.62 จุด เพิ่มขึ้น 2.01 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,010.86 จุด ลดลง 0.22 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,665.92 จุด เพิ่มขึ้น 1.03 จุด
ทั้งนี้ ทรัมป์ได้กล่าวภายหลังเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันศุกร์ว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อเมริกาต้องมาก่อน โดยการตัดสินใจด้านการค้า ภาษี ประเด็นคนเข้าเมือง และกิจการต่างประเทศ จะต้องเอื้อประโยชน์ต่อแรงงานชาวสหรัฐ นอกจากนี้ รัฐบาลจะดึงงานและความมั่งคั่งกลับจากต่างประเทศด้วย
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 10 จุด ยอดค้าปลีกร่วง, จับตาถ้อยแถลง ทรัมป์
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงเล็กน้อยในวันศุกร์ (20 ม.ค.) หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลยอดค้าปลีกที่ร่วงลงผิดไปจากคาดการณ์ในเดือนธ.ค. ขณะเดียวกันนักลงทุนชะลอการซื้อขายเพื่อรอดูว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จะกล่าวถึงนโยบายเศรษฐกิจหรือไม่ หลังจากที่เขาเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอย่างเป็นทางการ
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 10.00 จุด หรือ 0.14% ปิดที่ 7,198.44 จุด ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ดัชนีร่วงลง 1.9% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 7 สัปดาห์
สำหรับภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนวันศุกร์ได้รับปัจจัยจากข้อมูลยอดค้าปลีกที่ออกมาน่าผิดหวัง โดยยอดค้าปลีกอังกฤษร่วงลง 1.9% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบกว่า 4 ปีครึ่ง สวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%
ข้อมูลยอดค้าปลีกเดือนธ.ค.ซึ่งออกมาน่าผิดหวังนั้นได้สร้างแรงกดดันต่อตลาด โดยทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.10% แตะที่ 1.2330 ดอลลาร์สหรัฐ และอ่อนค่าลง 0.22% เทียบยูโร แตะที่ 1.1549 ยูโร ถึงแม้ว่าในช่วงหนึ่งดัชนีจะสามารถดีดตัวขึ้นเล็กน้อย เพราะเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงนั้น ในแง่หนึ่งเป็นผลดีต่อบรรดาบริษัทข้ามชาติหรือบริษัทส่งออก เพราะทำให้สินค้าของตนมีราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อในต่างประเทศ นอกจากนี้ รายได้หรือกำไรในต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเมื่อแปลงกลับมาเป็นสกุลเงินปอนด์
อย่างไรก็ตาม ดัชนีกลับมาเคลื่อนไหวแดนลบในเวลาต่อมา เนื่องจากตลาดจับตาพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายทรัมป์ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี โดยพิธีมีขึ้นในเวลา 11.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเวลาอังกฤษ 16.30 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาปิดทำการของตลาดหุ้นลอนดอน
หุ้นรอยัล เมล ลบ 2.01% ซึ่งลดลงต่อเนื่องจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ร่วงลงถึง 6% หลังบริษัทเปิดเผยว่า ยอดขายในอังกฤษลดลง 2% ในช่วง 9 เดือนสิ้นสุด ณ วันที่ 25 ธ.ค.
หุ้นแอสตร้าเซนเนก้า ลบ 3.36% หลังจากที่มีข่าวว่าบริษัทคู่แข่งอย่าง บริสตอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ จะไม่เร่งรัดการขออนุมัติยาสำหรับรักษาโรคมะเร็งปอด ซึ่งข่าวดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อหุ้นแอสตร้าเซนเนก้า เพราะบริษัทกำลังพัฒนายาประเภทเดียวกัน
หุ้นบีที กรุ๊ป พุ่ง 2.41% รับข่าวบริษัทเตรียมขึ้นค่าบริการบรอดแบนด์ รวมถึงบริการอื่นๆ
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปขยับลงเล็กน้อย จับตาสุนทรพจน์ทรัมป์
ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับลงเล็กน้อยในวันศุกร์ (20 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายเพื่อรอดูสุนทรพจน์ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในโอกาสที่เขาทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอย่างเป็นทางการ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับลง 0.27 จุด หรือ 0.07% ปิดที่ 362.58 จุด สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวลง 0.9% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,850.67 จุด เพิ่มขึ้น 9.53 จุด หรือ 0.20% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,630.13 จุด เพิ่มขึ้น 33.24 จุด หรือ 0.29% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,198.44 จุด ลดลง 10.00 จุด หรือ 0.14%
นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตาพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายทรัมป์ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี โดยพิธีมีขึ้นในเวลา 11.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเวลาอังกฤษ 16.30 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาปิดทำการซื้อขายของตลาดการเงินในยุโรป
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น จากความหวังว่าคณะบริหารของนายทรัมป์จะผ่อนปรนกฎระเบียบต่างๆ โดยดอยซ์แบงก์บวก 2.14% เครดิตสวิสบวก 0.97% และลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป บวก 0.51%
สำหรับภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยจากข้อมูลยอดค้าปลีกที่ออกมาน่าผิดหวัง โดยยอดค้าปลีกอังกฤษร่วงลง 1.9% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบกว่า 4 ปีครึ่ง สวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%
หุ้นรอยัล เมล ลบ 2.01% ซึ่งลดลงต่อเนื่องจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ร่วงลงถึง 6% หลังบริษัทเปิดเผยว่า ยอดขายในอังกฤษลดลง 2% ในช่วง 9 เดือนสิ้นสุด ณ วันที่ 25 ธ.ค.
หุ้นแอสตร้าเซนเนก้า ลบ 3.36% หลังจากที่มีข่าวว่าบริษัทคู่แข่งอย่าง บริสตอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ จะไม่เร่งรัดการขออนุมัติยาสำหรับรักษาโรคมะเร็งปอด ซึ่งข่าวดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อหุ้นแอสตร้าเซนเนก้า เพราะบริษัทกำลังพัฒนายาประเภทเดียวกัน
หุ้นบีที กรุ๊ป พุ่ง 2.41% รับข่าวบริษัทเตรียมขึ้นค่าบริการบรอดแบนด์ รวมถึงบริการอื่นๆ
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 94.85 จุด ขณะทรัมป์เข้ารับตำแหน่งปธน.สหรัฐอย่างเป็นทางการ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (20 ม.ค.) หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 โดยในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ ปธน.คนใหม่ของสหรัฐได้ยืนยันจุดยืนอันแข็งกร้าวที่จะปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐ ย้ำชัด "อเมริกาต้องมาก่อน" การค้า ภาษี การต่างประเทศต้องเอื้อประโยชน์สหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 94.85 จุด หรือ 0.48% ปิดที่ 19,827.25 ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 7.62 จุด หรือ 0.34% ปิดที่ 2,271.31 จุด ดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 15.25 จุด หรือ 0.28% ปิดที่ 5,555.33 จุด
สำหรับ ทั้งสัปดาห์ ดาวโจนส์และ NASDAQ ลดลง 0.3% ขณะที่ดัชนี S&P500 ลดลง 0.2% โดยเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันที่ดาวโจนส์และ S&P ปรับตัวลดลง
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กวันศุกร์นั้น ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นหลังจากที่ปิดแดนลบมา 5 วันติดต่อกัน ภายหลังนายทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนหนึ่งมองว่า ถ้อยแถลงหลังพิธีสาบานตนของปธน.ทรัมป์ยังคงไม่ได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนมากนักในเรื่องแนวทางการดำเนินนโยบาย จึงอาจจะเป็นการเพิ่มความวิตกกังวลเกี่ยวกับนโยบายกีดกันการค้าของรัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของปธน.ทรัมป์ โดยดัชนีหุ้นสหรัฐลดช่วงบวกลงหลังการกล่าวสุนทรพจน์ดังกล่าว
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 กล่าวสุนทรพจน์หลังการสาบานตนรับตำแหน่ง ระบุ "อเมริกาต้องมาก่อน" อันเป็นการแสดงจุดยืนที่มีต่อนโยบายปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐ แต่นายทรัมป์ไม่ได้แจกแจงรายละเอียดถึงแนวทางการดำเนินงาน โดยไม่ได้แตะประเด็นที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจหรือการค้า
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่าจะให้อำนาจกลับคืนสู่ประชาชน ขณะนำสหรัฐกลับสู่ความยิ่งใหญ่ "ในวันนี้ถือเป็นวันพิเศษ ไม่เพียงแต่เป็นการโอนอำนาจจากรัฐบาลชุดหนึ่งไปยังรัฐบาลอีกชุดหนึ่ง หรือจากพรรคหนึ่งไปยังอีกพรรคหนึ่ง แต่เป็นการโอนอำนาจจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.กลับไปสู่ประชาชนชาวสหรัฐ"
"ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อเมริกาต้องมาก่อน โดยการตัดสินใจด้านการค้า ภาษี ประเด็นคนเข้าเมือง และกิจการต่างประเทศ จะต้องเอื้อประโยชน์ต่อแรงงานชาวสหรัฐ และครอบครัวชาวอเมริกัน โดยรัฐบาลจะยุติการที่ประเทศอื่นทำการผลิตสินค้าสหรัฐ ขโมยบริษัทสหรัฐ และทำลายการจ้างงานในสหรัฐ"
เขากล่าวว่า การปกป้องดังกล่าวจะสร้างความมั่งคั่งและความแข็งแกร่งแก่สหรัฐ โดยรัฐบาลจะดึงงานและความมั่งคั่งกลับจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ ปธน.คนใหม่ของสหรัฐยังได้ประกาศกระตุ้นเศรษฐกิจ การจ้างงานครั้งใหญ่ ด้วยการก่อสร้างสาธารณูปโภคทั่วสหรัฐ โดยรัฐบาลจะสร้างถนนใหม่ ทางหลวง สะพาน สนามบิน อุโมงค์ และทางรถไฟทั่วประเทศ
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า รัฐบาลจะดำเนินการด้วยกฎง่ายๆเพียง 2 ข้อคือ ซื้อสินค้าอเมริกัน และจ้างชาวอเมริกัน
สำหรับข่าวคราวความเคลื่อนไหวภาคธุรกิจนั้น หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล พุ่ง 3.25% หลังบริษัทรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด
หุ้นไอบีเอ็มพุ่ง 2.24% ขานรับรายงานผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าการคาดการณ์ของตลาด
หุ้นเมอร์คพุ่ง 3.6% หลังคู่แข่งอย่าง บริสตอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ เผยว่าบริษัทจะไม่เร่งรัดการขออนุมัติยาสำหรับรักษาโรคมะเร็งปอดในสหรัฐ ขณะที่หุ้นบริสตอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ ร่วง 11.3%
หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ลบ 0.64% หลังผลกำไรออกมาต่ำกว่าคาด แม้รายได้สูงกว่าคาดการณ์ก็ตาม
อินโฟเควสท์