WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET24ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้มีโอกาสอ่อนตัวลง กังวลเฟดจะปรับขึ้นดบ.หลังเงินเฟ้อขยับใกล้เป้าหมาย

    นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะอ่อนตัวลงแต่ไม่มาก เนื่องจากได้ Sentiment จากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) งวดเดือนธ.ค.ได้ปรับตัวขึ้นไปในระดับเป้าหมายของเฟดแล้วที่ 2% และประธานเฟดก็แถลงว่า ตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน และเงินเฟ้อ ต่างก็ใกล้เป้าหมายแล้ว จึงแสดงให้เห็นว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้

    ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยให้ติดตามการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีจะขึ้นในวันพรุ่งนี้ ว่าจะมีการแถลงอะไรออกมาอีกหรือไม่

    พร้อมให้แนวรับ 1,550-1,555 จุด ส่วนแนวต้าน 1,565-1,570 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

    - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (18 ม.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,804.72 จุด ลดลง 22.05 จุด (-0.11%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,555.65 จุด เพิ่มขึ้น 16.93 จุด (+0.31%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,271.89 จุด เพิ่มขึ้น 4.00 จุด (+0.18%)

    - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 188.46 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 8.04 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 6.09 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 17.14 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 15.07 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 4.07 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.88 จุด

    - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (18 ม.ค.60) 1,560.83 จุด ลดลง 6.01 จุด (-0.38%)

    - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,171.72 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 ม.ค.60

    - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (18 ม.ค.60) ปิดที่ 51.08 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.40 ดอลลาร์ หรือ 2.7%

     - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (18 ม.ค.60) ที่ 7.22 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

     - เงินบาทเปิด 35.44 กลับมาอ่อนค่า หลังประธานเฟดออกมายืนยันทิศทางการขึ้นดอกเบี้ย

    - นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ให้สัมภาษณ์วอลสตรีท เจอร์นัล ว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐอยู่ในระดับแข็งค่ามากเกินไป ส่วนหนึ่งเพราะจีนกดค่าเงินหยวนให้ต่ำลง ทำให้บริษัทอเมริกันไม่สามารถแข่งขันได้ และเป็นผลเสียต่อสหรัฐ โดยดัชนีค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าแล้ว 6% นับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือน พ.ย. 2559

     - ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงิน (บี/อี) ของบริษัทเอกชน ทั้งบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และบริษัทนอกตลาดหุ้น กำลังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลท. ต้องออกมายืนยันว่า หนี้ของบริษัทจดทะเบียนไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่น่ากลัว กรณีผิดนัดชำระหนี้มาจากกรณีที่แตกต่างกัน ตลท.ได้ให้บริษัทจดทะเบียนที่ออกตั๋วบี/อี 100 กว่าราย จัดการตรวจสอบตัวเองวางแผนจัดการ เช่น ต้องมีเงินพอสำหรับชำระหนี้

     - กระทรวงการคลังได้อนุมัติขยายโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ระยะที่ 3 เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ซึ่งมีวงเงิน 3 หมื่นล้านบาท จากที่สิ้นสุดไปเมื่อสิ้นปี 2559 ที่ผ่านมา โดยให้ขยายเวลาให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถยื่นขอสินเชื่อได้ถึงวันที่ 31 ต.ค. 2560 หรือจนกว่าเงินที่กำหนดไว้ได้ถูกจัดสรรหมดแล้วอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน และธนาคารออมสินจะเบิกจ่ายสินเชื่อให้แล้วเสร็จภายใน 30 ธ.ค.2560

    - "ส.อ.ท." เผยยอดผลิตรถยนต์เดือน ธ.ค. ต่ำสุดในรอบ 19 เดือน อยู่ที่ 135,792 คัน ลดลงจากปีก่อน 11.07% ด้านดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ เดือน ธ.ค.59 โตต่อเนื่องที่ระดับ 88.5 เผยภาคเอกชนห่วงน้ำท่วมทำให้กระทบหนัก

*หุ้นเด่นวันนี้

     - CEN-W4 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ บมจ.แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค (CEN)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 372,366,551 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 2.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ซึ่งออกวันที่ 23 ธ.ค.59 และวันครบกำหนดอายุตรงกับวันที่ 22 ธ.ค.61 ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 30 มี.ค.61 วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 21 ธ.ค.61

    - TCAP (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 52 บาท ประกาศกำไร 4Q59 ที่ 1,694 ล้านบาท เติบโต 13%QoQ และ 25%YoY โดยการขายประกันและกองทุนรวมในช่วงปลายปีทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตได้สูง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่คาด ด้านคุณภาพหนี้ดีขึ้นต่อเนื่อง สัดส่วน NPL Coverage Ratio ขึ้นมาอยู่ที่ 148.6% แล้ว โดยมองว่าเป็นปัจจัยที่จะทำให้แรงกดดันจากสำรองหนี้สูญในปี 60 ลดลง และช่วยผลักดันกำไรได้ โดยมอง TCAP เด่นทั้งในด้านการเติบโตของกำไร และสำรองที่แข็งแกร่ง ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายกันที่ Forward PBV ต่ำเพียง 0.9 เท่า

    - TU (ยูโอบี เคย์เฮียน) กำไรปี 2560 เติบโต 16.6% สูงสุดในกลุ่มอาหาร ได้ปรับประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน รวมถึงการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมในอนาคต ความเสี่ยงในเรื่องต้นทุนที่เป็นโภคภัณฑ์ต่ำกว่าเนื้อสัตว์บก และไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไข้หวัดนกในยุโรปและเอเชีย

    - ERW (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6 บาท แนวโน้มกำไรยังเป็นขาขึ้น เราคาดกำไร 4Q16 +89% Q-Q, +2% Y-Y จาก Occupancy rate และ Gross margin ของโรงแรมที่น่าจะดีขึ้นซึ่งชดเชยรายได้จากงาน Event และงานสัมมนาที่ลดลงจากผลของการไว้ทุกข์ได้หมด ทำให้กำไรปกติทั้งปี 2016 +78% Y-Y เราคาดกำไรปีนี้โตต่อเนื่อง +18% Y-Y โดยที่กำไร 1Q17 น่าจะทำสถิติสูงสูงสุดของปีเพราะเป็น peak season

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นเช้านี้ ขณะตลาดหุ้นโตเกียวพุ่ง 1%

    ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ โดยการนำของตลาดหุ้นโตเกียวที่เปิดตลาดพุ่งขึ้น 1% เนื่องจากเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มส่งออก

    ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,082.83 จุด เพิ่มขึ้น 188.46 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,104.97 จุด ลดลง 8.04 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,104.35 จุด เพิ่มขึ้น 6.09 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,324.83 จุด ลดลง 17.14 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,085.61 จุด เพิ่มขึ้น 15.07 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,004.29 จุด เพิ่มขึ้น 4.07 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,666.90 จุด เพิ่มขึ้น 1.88 จุด

    นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ Beige Book โดยระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอัตราปานกลางเกือบทั่วทุกภูมิภาค ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพ.ย.จนถึงสิ้นปี

    ขณะที่นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ในช่วงบ่ายวันพุธตามเวลาสหรัฐ ระบุเศรษฐกิจสหรัฐเข้าใกล้เป้าหมายของธนาคารกลางแล้ว ทั้งในเรื่องของการจ้างงานและราคาเงินเฟ้อ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจจะยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งจะเปิดทางให้เฟดสามารถเริ่มลดระดับการให้การสนับสนุนที่ดำเนินการมาโดยตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาลงได้ นอกจากนี้ ประธานเฟดยังระบุด้วยว่า การขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นการปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

   ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่คอมมอนเวลธ์ คลับ แคลิฟอร์เนีย ในซานฟรานซิสโก นางเยลเลนคาดว่า เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งไปจนถึงปี 2562 อย่างไรก็ตาม ประธานเฟดกล่าวว่า เธอไม่สามารถบอกได้ว่า การขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อใด หรือจะขึ้นในอัตราที่สูงเท่าใด โดยทั้งนี้ทั้งนั้นจะขึ้นอยู่กับทิศทางสภาวะเศรษฐกิจในเดือนต่อๆไปจากนี้

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 27.23 จุด หลังร่วงหนักจากถ้อยแถลง เทเรซา เมย์

   ตลาดหุ้นลอนดอนปิดดีดตัวขึ้นเมื่อวานนี้ (18 ม.ค.) หลังจากที่ร่วงลงมากที่สุดในรอบ 6 เดือนเมื่อวันอังคาร สืบเนื่องจากถ้อยแถลงของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษเกี่ยวกับแผนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)

     ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 27.23 จุด หรือ 0.38% ปิดที่ 7,247.61 จุด

     ดัชนีฟุตซี่ได้ร่วงลง 1.5% เมื่อวันอังคาร ซึ่งเป็นการลดลงหนักที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย. 2559 เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากค่าเงินปอนด์ที่ทะยานขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและยูโร ภายหลังจากที่นางเมย์ได้เปิดเผยรายละเอียดแผน Brexit

    อย่างไรก็ตาม การที่เงินปอนด์เริ่มอ่อนค่าลงเมื่อวานนี้ ได้เป็นปัจจัยบวกต่อบรรดาบริษัทผู้ส่งออกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน โดยบริษัทเหล่านี้สามารถทำผลกำไรในต่างประเทศได้เพิ่มขึ้นจากอานิสงส์ของอัตราแลกเปลี่ยน

    หุ้นบริษัทข้ามชาติ เช่น หุ้นเบอร์เบอร์รี กรุ๊ป บริษัทผู้ค้าปลีกสินค้าหรูรายใหญ่ เพิ่มขึ้น 3.6% หลังจากที่ร่วงลง 2.7% ในวันก่อนหน้า หลังบริษัทเผยยอดขายในไตรมาส 3 ปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

   อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนในวันพุธมีปัจจัยลบจากหุ้นบางกลุ่มเข้ามาสกัดทำให้ฟุตซี่ปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยหุ้นเพียร์สันดิ่งลง 29.08% หลังบริษัทผู้ผลิตสื่อการเรียนเตือนว่า เงินปันผลและผลกำไรอาจลดลงในอนาคต เนื่องจากความต้องการที่ซบเซาในสหรัฐ

   สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจของอังกฤษที่มีการเปิดเผยออกมานั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษเปิดเผยว่า จำนวนคนว่างงานในประเทศลดลง 52,000 คน ในช่วงเดือนก.ย.-พ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2549 โดยที่ค่าจ้างแรงงานทั้งที่รวมและไม่รวมเงินโบนัสต่างๆปรับตัวขึ้นมากกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 2.6%

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 22.05 จุด หลังเผยข้อมูลศก.,เยลเลนแถลง ขณะหลายบริษัทรายงานงบฯ

   ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ในวันพุธ (18 ม.ค.) ขณะที่อีกสองดัชนีหลักปิดในแดนบวก โดยนักลงทุนรอดูถ้อยแถลงของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในช่วงก่อนที่ตลาดจะปิดทำการไม่นาน หลังจากที่มีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการในระหว่างวัน ซึ่งรวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ทำให้เกิดความกังวลว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ ด้านบริษัทต่างๆ ทยอยรายงานผลประกอบการที่ออกมาทั้งบวกและลบ ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันศุกร์นี้

    ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 22.05 จุด หรือ 0.11% ปิดที่ 19,804.72 จุด ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 4.00 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 2,271.89 จุด ดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 16.93 จุด หรือ 0.31% ปิดที่ 5,555.65 จุด

    นางเจเน็ต เยลเลน กล่าวสุนทรพจน์ในช่วงบ่ายวันพุธตามเวลาสหรัฐ ระบุเศรษฐกิจสหรัฐเข้าใกล้เป้าหมายของธนาคารกลาง ทั้งในเรื่องการจ้างงานและราคาเงินเฟ้อ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจจะยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งจะเปิดทางให้เฟดสามารถเริ่มลดระดับการให้การสนับสนุนที่ดำเนินการตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาลงได้ นอกจากนี้ ประธานเฟดยังระบุด้วยว่า การขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นการปรับขึ้นทีละนิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป

    ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ย. โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมัน และค่าเช่าบ้านที่เพิ่มขึ้น

    เมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 2.1% ในเดือนธ.ค. ซึ่งสูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2% ของเฟด และเป็นการเพิ่มขึ้นรายปีมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2014 และเป็นครั้งแรกที่ดัชนี CPI พุ่งทะลุ 2% นับตั้งแต่ปี 2014 หลังจากเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนพ.ย.

   ดัชนี CPI ดังกล่าวบ่งชี้ถึงเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

   ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมดีดตัว 0.8% ในเดือนธ.ค. โดยเพิ่มขึ้นมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากที่ลดลง 0.7% ในเดือนพ.ย.

    การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนธ.ค. ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของภาคสาธารณูปโภคที่ทะยานขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1989

    นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐยังได้เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ Beige Book ในวันเดียวกัน โดยระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอัตราปานกลางเกือบทั่วทุกภูมิภาค ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพ.ย.จนถึงสิ้นปี

    ในวันเดียวกัน สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านลดลง 2 จุด แตะระดับ 67 ในเดือนม.ค. หลังจากพุ่งขึ้นอย่างมากในเดือนธ.ค.

    ถึงแม้ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลงในเดือนนี้ แต่ผู้สร้างบ้านบางส่วนก็ยังคงมีความเชื่อมั่นว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดกฎระเบียบในภาคอุตสาหกรรมตามที่เขาได้สัญญาไว้

    ในส่วนของการรายงานผลประกอบการ โกลด์แมน แซคส์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรและรายได้ในไตรมาส 4 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

   ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์ เผยว่า ธนาคารมีกำไรที่ระดับ 5.08 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.82 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ 8.17 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.74 พันล้านดอลลาร์

    โกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า กำไรและรายได้ที่ทะยานขึ้นดังกล่าวได้รับปัจจัยหนุนจากรายได้จากการซื้อขายตราสารหนี้ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการอยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2008

     ด้านซิตี้กรุ๊ป เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรในไตรมาส 4 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่รายได้ต่ำกว่าคาด

    ซิตี้กรุ๊ประบุว่า ธนาคารมีรายได้ 1.701 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.14 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 1.705 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.11 ดอลลาร์/หุ้น

   หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น มอร์แกน สแตนลีย์ บวก 1.68% แบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่ง 2.63% และเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ขยับขึ้น 0.06% อย่างไรก็ตาม สองบริษัทการเงินที่รายงานผลประกอบการในวันพุธกลับปรับตัวลดลง โดยโกลด์แมน แซคส์ ลบ 0.6% และ ซิตี้กรุ๊ป ร่วง 1.7%

                อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!