WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET17ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับฐานตามตลาดเอเชีย รอดูนโยบายทรัมป์หลังจะรับตำแหน่งปธน.สหรัฐฯสัปดาห์นี้

        นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับฐานตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างปรับฐานกัน เนื่องจากมีความกังวลการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนใหม่ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันศุกร์นี้ และจะมีการแถลงนโบาย ซึ่งก็ต้องรอดูว่าจะออกมาในทิศทางไหน แล้วคงจะมีการประเมินกันอีกที ส่วนปัจจัยอื่นก็ดูจะนิ่ง ๆ

      นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยก็ได้ปรับตัวขึ้นไป 2% นับจากต้นปีแล้ว โดยมองว่าแรงขายที่ออกมาก็น่าจะเป็นหุ้นที่มีการเล่นเก็งกำไรไปก่อนหน้านี้แล้ว และมีการปรับตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมา โดยมองหุ้นในกลุ่มพลังงาน, ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ ที่อาจจะถูกขายออกมาก่อ่น แล้วนำเงินไปพักไว้ที่หุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่ปรับตัวช้ากว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมา และยังเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยด้วย อย่างหุ้น BJC, CPALL เป็นต้น

พร้อมให้แนวรับ 1,565 จุด ส่วนแนวต้าน 1,580 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

      - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ม.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,885.73 จุด ลดลง 5.27 จุด (-0.03%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,574.12 จุด เพิ่มขึ้น 26.63 จุด (+0.48%),  ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,274.64 จุด เพิ่มขึ้น 4.20 จุด (+0.18%)

      - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 8.27 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 42.02 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ ลดลง 22.29 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 0.46 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 0.48 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 68.15 จุด,ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.24 จุด

       - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (13 ม.ค.60) 1,575.24 จุด เพิ่มขึ้น 6.40 จุด (+0.41%)

       - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 979.45 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ม.ค.60

       - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ม.ค.60) ปิดที่ 52.37 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 64 เซนต์ หรือ 1.2%

       - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 ม.ค.60) ที่ 7.66 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

      - เงินบาทเปิด 35.45 มองกรอบวันนี้ 35.40-35.50  กังวล Brexit กระทบศก.รุนแรงกว่าคาด

       - ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การท่องเที่ยว ช่วงเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 27 ม.ค.-2 ก.พ.นี้ คาดว่าจะมีนักท่องต่างชาติเดินทางมาเที่ยวเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนในประเทศไทยประมาณ 8.25 แสนคน เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อนที่มีจำนวน 7.94 แสนคน สร้างรายได้ 1.91 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 1.7 หมื่นล้านบาท

     - อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า หลังจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้นโยบายกรมเพื่อหาทางเก็บภาษีให้ได้มากขึ้น กรมก็จะดำเนินการทบทวนการเก็บภาษีตัวใหม่ที่ส่งผลกระทบกับสุขภาพและส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมประมาณ 3-4 สินค้าที่เคยศึกษาไว้แล้วที่ผ่านมา มาพิจารณารายละเอียดใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน และส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณาและเสนอฝ่ายนโยบายเห็นชอบต่อไป

      แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการเปิดให้บริการผ่านโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อ ผู้ประกอบอาชีพ (นาโนไฟแนนซ์) ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทยอยพิจารณาออกใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการ ที่สนใจยื่นขออนุญาตไปแล้วรวม 29 ราย โดยในจำนวนนี้มีผู้ประกอบการที่เปิดให้บริการแล้ว 21 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ 6 ราย และมีผู้ประกอบการที่ขอคืนใบอนุญาตแล้ว 2 ราย

    - คลังเตรียมเปิดตัวครั้งใหญ่ "โครงการแก้หนี้นอกระบบ" เคาะ 6 ก.พ.นี้ เชิญ "ประยุทธ์" ตัดริบบิ้นเปิดงาน เผยกฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา มีผลบังคับใช้แล้ว พร้อมไฟเขียวตั้งนาโนไฟแนนซ์ 21 ราย

*หุ้นเด่นวันนี้

       - SCC (ไอร่า) เป้า 648.00 บาท คาดทั้งปี 59 กำไรสุทธิ 54,617 ล้านบาท +20% ภายใต้ผลการดำเนินงาน 1H/59 ที่เติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะจากธุรกิจปิโตรเคมี และคาดยังอยู่ในระดับดีใน 2H/59 (แม้ชะลอตัวจาก 1H/59) จากความต้องการที่ดี โดยยังไม่มี Supply ใหม่เข้ามาในตลาด รวมถึงราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มตามราคาน้ำมันดิบ พร้อมคาดปี 60 กำไรสุทธิทำ New High ต่อเนื่อง จากธุรกิจปิโตรเคมี และคาดส่วนต่างผลิตภัณฑ์ยังสามารถทรงตัวได้ในระดับที่ดี จากวัฏจักรรอบนี้ที่คาดเพิ่มขึ้นจากเดิม 3 ปี เป็น 4-5 ปี, ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง คาดความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศ เพิ่มขึ้น 3-5% จากปี 59 ที่คาดทรงตัวที่ประมาณ 40 ล้านตัน จาดการลงทุนภาครัฐ ที่คาดช่วยกระตุ้นความต้องการในกลุ่ม Commercial และ Residential ให้กลับมา ขณะที่ SCC มีการขยายไปในกลุ่ม ASEAN และคาดในปี 60 รับรู้กำลังการผลิตปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้น

      - TISCO (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 70 บาท ยังเชื่อมั่นว่าปี 60 การเติบโตของสินเชื่อและกำไรของ TISCO จะโดดเด่นจากการรวมพอร์ตลูกค้ารายย่อยของ Standard Chartered เข้ามา ขณะที่สำรองส่วนเกินที่แกร่งขึ้นมากจากการปรับชั้นหนี้ SSI นั้น คาดว่าจะทำให้ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญในระยะถัดไปลดลงเช่นกัน แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาสะท้อนข่าวดีไปบ้างแล้ว แต่ยังพอมี Upside

       - BTW (เคจีไอฯ) "เก็งกำไร"เป้า Consensus 4.25 บาท ประเมินราคาน้ำมันที่เริ่มฟื้นตัว คาดจะทำให้ลูกค้าฯ เริ่มกลับมาเริ่มต้นโครงการลงทุน (ราคาหุ้นยัง Laggard SRICHA, TRC, STPI), จากแผน PDP ของการไฟฟ้าฯ ประเมินงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เป็นบวกต่อปริมาณงานของ BTW (ลูกค้างานโรงไฟฟ้าหลักๆ คือ EGAT รวมถึงภาคเอกชน+โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน), จากข้อมูล Opportunity day วันที่ 14 พ.ย.59 บริษัทมีโอกาสส่งออกงานโครงสร้างเหล็กไปประเทศญี่ปุ่น (อยู่ระหว่างการขอมาตรฐาน JIS H-grade) รวมถึงคาดผลการดำเนินงานพ้นจุดต่ำสุดแล้ว โดยใน 4Q59 คาดจะรับรู้รายได้จากการส่งมอบงานโครงการโซลาร์ฟาร์มมูลค่าราว 400 ล้านบาท (ราว 10MW) และประเมิน Backlog ณ สิ้นปี 2559 อยู่ที่ราว 1 พันล้านบาท

      - PDG (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 5.30 บาท ผลประกอบการ 4Q59 มีโอกาสสร้าง All Time High ตามการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นเกือบแตะ 75% สูงสุดตั้งแต่ทำธุรกิจมา โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อขวดน้ำมันพืชของกลุ่ม TVO การได้ลูกค้ารายใหม่ และคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นของลูกค้ารายเดิม ขณะที่การบริหารต้นทุน PET ยังทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ราคาหุ้นปัจจุบันมี PE เพียง 12 เท่า โดยคาดว่าบริษัทจะจ่ายปันผลงวด 2H59 0.20 บาท/หุ้น คิดเป็น yield สูงถึง 4.6%

ตลาดหุ้นเอเชียเปิดลบเช้านี้ จับตานายกฯอังกฤษเตรียมประกาศแผน Brexit

         ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดอ่อนแรงลงเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตานางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะเปิดเผยรายละเอียดของแผนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในวันพรุ่งนี้

        ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,104.49 จุด ลดลง 8.27 จุด, -0.27% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,895.36 จุด ลดลง 42.02 จุด, -0.18% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,356.54 จุด ลดลง 22.29 จุด, -0.24% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,024.61 จุด ลดลง 0.46 จุด, -0.02% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,672.02 จุด ลดลง 0.48 จุด, -0.03% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,219.13 จุด ลดลง 68.15 จุด, -0.35%

      อย่างไรก็ตาม ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,077.03 จุด เพิ่มขึ้น 0.24 จุด, +0.01%

     เงินปอนด์ร่วงลงสู่ระดับต่ำกว่า 1.20 ดอลลาร์ในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้วที่เงินปอนด์ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับดังกล่าว ก่อนที่นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะเปิดเผยรายละเอียดของแผนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในวันพรุ่งนี้

    นางเทเรซา เมย์ ได้กล่าวอย่างชัดเจนในการให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวสกายนิวส์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ตนจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกต่อการที่รัฐบาลอังกฤษยังคงมีอำนาจควบคุมการเข้าเมืองของชาวต่างชาติ มากกว่าการให้ความสำคัญต่อการที่อังกฤษสามารถเข้าสู่ตลาดร่วมยุโรป ทันทีที่อังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU)

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 45.44 จุด หลังปอนด์อ่อนค่า

     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ม.ค.) โดยปิดในแดนบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 14 เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง

       ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนเพิ่มขึ้น 45.44 จุด หรือ 0.62% ปิดที่ 7,337.81 จุด ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องเป็นวันที่ 12

      สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 1.8% ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน

        หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ดีดตัวขึ้น โดยหุ้นไชร์ พีแอลซี ทะยาน 2.3% หุ้นฮิกมา ฟาร์มาซูติคอลส์ เพิ่มขึ้น 2% หุ้นแอสตราเซเนกา พีแอลซี บวก 1.2%

      ทั้งนี้ เงินปอนด์อ่อนค่าหลังมีรายงานว่า นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะเปิดเผยรายละเอียดของแผนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit ) ในวันอังคารที่ 17 ม.ค.นี้

     นายกรัฐมนตรีอังกฤษถูกกดดันจาก ส.ส.ฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งส.ส.จากพรรคอนุรักษ์นิยมในพรรคของเธอเองที่ต้องการให้แจกแจงรายละเอียดในเรื่องนี้ต่อรัฐสภา

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับผลประกอบการแบงก์สหรัฐ

       ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดของธนาคารรายใหญ่ในสหรัฐ

       ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.95% ปิดที่ 365.94 จุด

        ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 58.52 จุด หรือ 1.20% ปิดที่ 4,922.49 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันเพิ่มขึ้น 108.14 จุด หรือ 0.94% ปิดที่ 11,629.18 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนเพิ่มขึ้น 45.44 จุด หรือ 0.62% ปิดที่ 7,337.81 จุด

         หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้น ขานรับผลประกอบการธนาคารสหรัฐ โดยธนาคารเจพีมอร์แกน เชส เผยว่ามีกำไรและรายได้ในไตรมาส 4 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยมีรายได้ 2.433 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.71 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 4 มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 2.395 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.44 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 4

       ขณะเดียวกัน ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา เผยว่ามีกำไรในไตรมาส 4 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แม้ว่ารายได้จะต่ำกว่าคาด โดยมีรายได้ 1.999 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 40 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 4 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 2.085 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 38 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 4

       หุ้นเรโนลต์ ร่วงลง 2.89% หลังบริษัทออกมายอมรับว่ากำลังถูกสอบสวนเรื่องการปล่อยไอเสีย ส่วนหุ้นเฟียต ไครสเลอร์ ดีดตัวขึ้น 4.61% หลังร่วงลงอย่างหนักก่อนหน้านี้ หลังจากที่สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐ (EPA) ระบุว่า ทางบริษัทได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ในรถยนต์ดีเซลจำนวน 104,000 คัน ซึ่งทำให้มีการปล่อยไอเสียมากกว่าที่กฎหมายกำหนด

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 5.27 จุด หลังสหรัฐเผยข้อมูลศก.-ผลประกอบการ

      ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (13 ม.ค.) ทว่าดัชนี NASDAQ ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

      หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการ ขณะที่บริษัทหลายแห่งในสหรัฐก็ได้เปิดเผยผลประกอบการ

     ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 5.27 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 19,885.73 จุด ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 4.20 จุด   หรือ 0.18% ปิดที่ 2,274.64 จุด ดัชนี NASDAQ บวก 26.63 จุด หรือ 0.48% ปิดที่ 5,574.12 จุด

     สำหรับตลอดสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 0.4% ดัชนี S&P500 ขยับลง 0.1% ดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 1.0%

    หุ้นเจพีมอร์แกน เชส เพิ่มขึ้น 0.53% หลังจากทางธนาคารเผยว่ามีกำไรและรายได้ในไตรมาส 4 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์

     คาดการณ์ไว้ โดยมีรายได้ 2.433 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.71 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 4 มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาด

    การณ์รายได้ที่ระดับ 2.395 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.44 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 4

     หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา เพิ่มขึ้น 0.39% หลังจากทางธนาคารเผยว่ามีกำไรในไตรมาส 4 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด

      การณ์ไว้ แม้ว่ารายได้จะต่ำกว่าคาด โดยมีรายได้ 1.999 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 40 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 4 ขณะที่นัก

     วิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 2.085 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 38 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 4

     ส่วนธนาคารเวลส์ ฟาร์โก มีกำไรและรายได้ในไตรมาส 4 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยทางธนาคารมีรายได้ 2.158 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 96 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 4 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 2.245 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1 ดอลลาร์/หุ้น

      ทางด้านข้อมูลเศรษฐกิจนั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 0.6% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนธ.ค.

      กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2557

        อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!