WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SET25ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์คล้ายภูมิภาค เล็งแรงซื้อต่างชาติเข้าต่อเนื่องช่วยประคองตลาดฯ

     นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ คล้ายคลึงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้เคลื่อนไหวในแดนบวก-ลบในกรอบแคบ ๆ ทั้งนี้ วานนี้ตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลงจากแรงขายของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ได้รับคำสั่งขายจากลูกค้าที่ครบกำหนดไถ่ถอนหน่วยลงทุน โดยเริ่มเห็นแรงขายมากขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.แล้ว และสถาบันขายมากขึ้นในวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา ดังนั้นวันนี้ก็คาดว่าน่าจะเริ่มชะลอคำสั่งขายบ้างแล้ว

     อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็น่าจะยังเป็นบวกอยู่และช่วยประคองตลาดฯได้ นอกจากนี้ช่วงนี้ไม่ค่อยมีปัจจัยอะไร อาจมีก็แค่ตัวเลขดุลการค้าของญี่ปุ่นที่ต้องติดตามดูกัน ส่วนเงินดอลลาร์สหรัฐฯก็ต้องติดตามว่าจะถูกซื้อกลับเมื่อไร เพราะตอนนี้ยัง take อยู่ทำให้ค่าเงินสกุลอื่นแข็งค่าได้อยู่

พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,555-1,570 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

    - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (9 ม.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,887.38 จุด ลดลง 76.42 จุด (-0.38%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,531.82 จุด เพิ่มขึ้น 10.76 จุด (+0.19%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,268.90 จุด ลดลง 8.08 จุด (-0.35%)

    - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 39.50 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 3.67 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 2.48 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.77 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 5.48 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 8.61 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 0.46 จุด

    - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (9 ม.ค.60) 1,564.08 จุด ลดลง 7.40 จุด (-0.47%)

    - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,586.22 ล้านบาท เมื่อวันที่ 9 ม.ค.60

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (9 ม.ค.60) ปิดที่ 51.96 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.03 ดอลลาร์ หรือ 3.8%

     - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (9 ม.ค.60) ที่ 6.81 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

     - เงินบาทเปิด 35.61/67 แนวโน้มแข็งค่า มองกรอบระหว่างวัน 35.60-35.75

   - ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2560 มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการส่งออกจะขยายตัวจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรบางรายการที่ปรับเพิ่มขึ้น

      - "แบงก์ชาติ" เดินหน้าผลักดันแผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้าย เตรียมผ่อนเกณฑ์เพิ่ม 3 เรื่องปีนี้ ทั้งเพิ่มผู้เล่นในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ปล่อยสินเชื่อสกุลเงินบาทโดยตรงให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ผ่อนผันรายย่อย ออกไปลงทุนโดยไม่ผ่านตัวกลาง

     - สทท.ไม่ห่วงท่วมใต้กระทบท่องเที่ยว แต่ห่วงสื่อนำเสนอภาพน้ำท่วมถี่ ทำ นักท่องเที่ยวต่างชาติหนีเที่ยวประเทศอื่นแทน เหตุเข้าใจผิดคิดว่าเมืองไทยจมน้ำ ทั้งที่แหล่งเที่ยวบางพื้นที่กลับคืนสู่ปกติแล้ว ร้อง ททท.ให้สำนักงานทั่วโลกโหมประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

     - เอไอเอสและบริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด หรือ ทรูมูฟ เอช บริษัทในเครือของทรู คอร์ปอเรชั่น น้อมรับมติ กทค.และจะปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข กรณีจะประชุมเพื่อพิจารณาคิดอัตราค่าบริการตามการใช้งาน จริงเป็นวินาทีทุกรายการส่งเสริมการขาย แต่ขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณาในที่ประชุมกทค. คือประเมินว่าผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ประมาณ 70-80% จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะบริษัทจำเป็นต้องยกเลิกการส่งเสริมการขายที่เป็นแพคเกจและโปรโมชั่นเหมาจ่าย และกรณีดังกล่าวจะทำให้ผู้บริโภคที่โทรนานจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น

*หุ้นเด่นวันนี้

                - SAWAD (โกลเบล็ก) เป้า IAA consensus 57 บาท SAWAD ยื่นทำเทนเดอร์ฯ หุ้นทั้งหมดของ BFIT หุ้นละ 11.42 บาท(คิดเป็น 1.1 เท่าของ BV) แบบมีเงื่อนไขคือ 1)เข้าซื้อหุ้นจากน.ส.นริศรา กิจพิพิธจำนวน 53 ล้านหุ้นคิดเป็น 26.51% ราคาหุ้นละไม่เกิน 10.50 บาท 2) ได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง (วันประชุม 8 มี.ค. 60 XM 17 ม.ค. 60) และบริษัทมีแผนปรับโครงสร้างในการโอนธุรกิจบางส่วนได้แก่ธุรกิจสินเชื่อแบบมีหลักประกันทุกชนิดรวมถึงสาขาทั้งหมดให้กับบจ.ศรีสวัสดิ์ 2014 ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้น 97% เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็นโฮลดิ้ง ส่วน BFIT จะบริการสินเชื่อที่ไม่ทับซ้อนกับศรีสวัสดิ์ 2014 จึงมีมุมมองเชิงบวกต่อการควบรวมกิจการต่อปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของ SAWAD ในการมีต้นทุนทางการเงินต่ำลงเนื่องจาก BFIT สามารถระดมเงินฝากจากประชาชนซึ่งบริษัทมีแผนระดมเงินจากลูกค้ากลุ่ม High networth การขยายฐานไปสู่การปล่อยสินเชื่อ SME และช่วยลดความเสี่ยงจากการออกกฏหมายกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น

                - ANAN (ไอร่า) เป้า 5.70 บาท ภายใต้ผลประกอบการใน 4Q/59 ที่คาดจะเติบโตสูงสุดในรอบปี จากการโอน 4 โครงการต่อเนื่องจาก 3Q/59 และคาดทั้งปี 59 มีรายได้ 11,421 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% และ 13% ตามลำดับ และภายใต้ Backlog ที่มีสูงถึง 41,340 ล้านบาท เพียงพอต่อการเติบโตถึงปี 61 ขณะที่ในปี 60 คาดจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก JV เป็นปีแรกที่สูงถึง 410 ล้านบาท ซึ่งช่วยหนุนกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นถึง 27% คาดอยู่ที่ 1,730 ล้านบาท

                - TU (ยูโอบี เคย์เฮียน) กำไรปี 2560 เติบโต 16.6% สูงสุดในกลุ่มอาหาร ได้ปรับประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน รวมถึงการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมในอนาคต ความเสี่ยงในเรื่องต้นทุนที่เป็นโภคภัณฑ์ต่ำกว่าเนื้อสัตว์บก  และไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไข้หวัดนกในยุโรปและเอเชีย

                - TISCO (ฟินันเซีย ไซรัส) นำร่องประกาศงบ 4Q59 วันนี้ คาดกำไรสุทธิ 4Q59 +5.6% Q-Q, +6.1% Y-Y กำไรที่เพิ่มขึ้น Q-Q ถือว่าดีสวนทางกลุ่ม และน่าจะทำให้กำไรทั้งปี 2559 +18.4% Y-Y และคาดปี 2560 +6.2% Y-Y และจะเร่งตัวขึ้นในปีหน้าหลังได้ synergy จากการซื้อพอร์ตรายย่อยจาก StanChart เต็มที่ TISCO เป็น Top pick เพราะกำไรปี 2560-2561 ที่จะโดดเด่นกว่ากลุ่ม และคาด Dividend yield 5%

ตลาดหุ้นเอเชียลดลงเช้านี้ ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ

                ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงในเช้าวันนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดลบเมื่อคืน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงเกือบ 4% หลังสหรัฐเพิ่มการขุดเจาะและผลิตน้ำมัน ซึ่งก่อให้เกิดความวิตกกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อความพยายามของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในการปรับลดกำลังการผลิต

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,414.83 จุด ลดลง 39.50 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,167.57 จุด ลดลง 3.67 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,561.17 จุด เพิ่มขึ้น 2.48 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,344.19 จุด เพิ่มขึ้น 1.77 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,043.30 จุด ลดลง 5.48 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,972.93 จุด ลดลง 8.61 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,668.36 จุด เพิ่มขึ้น 0.46 จุด

                ทั้งนี้ เบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะบ่อน้ำมันสหรัฐ รายงานว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐในสัปดาห์ที่แล้ว มีจำนวนเพิ่มขึ้น 4 แท่น สู่ระดับ 529 แท่น ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 10 ติดต่อกัน

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดบวก 27.72 จุด หลังปอนด์อ่อนค่าจากความวิตก Brexit

                ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อวานนี้ (9 ม.ค.) โดยดัชนี FTSE 100 ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ด้วยแรงหนุนจากการที่เงินปอนด์อ่อนค่าลง หลังจากนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวให้สัมภาษณ์ต่อสื่อท้องถิ่นว่า อังกฤษพร้อมถอนตัวออกจากตลาดร่วมยุโรป ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าเธอจะผลักดันกระบวนการ Brexit อย่างแข็งกร้าว

                ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดเพิ่มขึ้น 27.72 จุด หรือ 0.38% แตะที่ 7,237.77 จุด

                ตลาดหุ้นลอนดอนได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์ หลังจากที่นางเมย์ได้กล่าวให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวสกายนิวส์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เธอจะให้ความสำคัญกับการที่รัฐบาลอังกฤษยังคงมีอำนาจควบคุมการเข้าเมืองของชาวต่างชาติเป็นอันดับแรก มากกว่าการให้ความสำคัญต่อการที่อังกฤษสามารถเข้าสู่ตลาดร่วมยุโรป ทันทีที่อังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU)

                หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้น โดยนักวิเคราะห์มองว่า อุตสาหกรรมเหมืองแร่ของอังกฤษได้รับปัจจัยเกื้อหนุนจากการที่จีนยังคงเดินหน้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมไปถึงได้รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐภายใต้รัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่

                หุ้นเกลนคอร์ ทะยานขึ้น 3.6% หุ้นแองโกล อเมริกัน เพิ่มขึ้น 1.7% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน เพิ่มขึ้น 1.8%

                หุ้นกลุ่มธนาคารที่น่าจับตา หุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป ลดลง 1% ภายหลังรัฐบาลอังกฤษระบุว่า ทางรัฐบาลไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของลอยด์อีกต่อไป หลังจากที่ได้ตัดขายหุ้นบางส่วนซึ่งรัฐบาลได้เข้าถือครองตามมาตรการช่วยเหลือธนาคารในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลก

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : วิตกผลประกอบการเอกชน ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (9 ม.ค.) หลังจากบริษัทรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงสายการบินลุฟฮันซา ได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกกอบการ อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน จากการพุ่งขึ้นของหุ้นเฟียต ไครสเลอร์ หลังจากบริษัทประกาศทุ่มเงินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาโรงงานผลิตรถยนต์ในสหรัฐ

                ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.5% ปิดที่ 363.67 จุด

                ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,887.57 จุด ลดลง 22.27 จุด หรือ -0.45% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,563.99 จุด ลดลง 35.02 จุด หรือ -0.30% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,237.77 จุด เพิ่มขึ้น 27.72 จุด หรือ +0.38%

                ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทเอกชน หลังจากที่สายการบินดอยช์ ลุฟฮันซา เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นในปีนี้ โดยข่าวดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นดอยช์ ลุฟฮันซา ร่วงลง 5.8%

                หุ้นฟรีเซเนียน เมดิคอล แคร์ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายอุปกรณ์ไตเทียม ร่วงลง 6.8% หลังจากบริษัทระบุว่า ธุรกิจในสหรัฐอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายด้านสุขภาพ

                หุ้นวิลเลียม ฮิลล์ ดิ่งลง 2.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการปี 2559 ที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์

                อย่างไรก็ตาม หุ้นเฟียต ไครสเลอร์ ปรับตัวขึ้น 1.4% หลังจากบริษัทประกาศทุ่มเงินลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในการปรับปรุงและพัฒนาโรงงานผลิตรถยนต์ในรัฐมิชิแกน และโอไฮโอ โดยการปรับปรุงโรงงานครั้งใหญ่นี้จะช่วยให้เกิดการจ้างงานกว่า 2,000 ตำแหน่ง

                นายเซอร์จิโอ มาร์ชิออนเน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เฟียต ไครสเลอร์ ออโตโมบิลส์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมรถยนต์จำเป็นต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับกลยุทธ์ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 76.42 จุด หลังราคาน้ำมันร่วง

                ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (9 ม.ค.) เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงเกือบ 4% ได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย อย่างไรก็ตาม ดัชนี NASDAQ ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มกลุ่มสุขภาพ ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน และแบงก์ ออฟ อเมริกา

      ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,887.38 จุด ลดลง 76.42 จุด หรือ -0.38% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,268.90 จุด ลดลง 8.08 จุด หรือ -0.35%  ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,531.82 จุด เพิ่มขึ้น 10.76 จุด หรือ +0.19%

      ดัชนี ดาวโจนส์ปิดตลาดอ่อนแรงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลง 3.8% เมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่า การที่สหรัฐเพิ่มการขุดเจาะและผลิตน้ำมัน จะส่งผลกระทบต่อความพยายามของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในการปรับลดกำลังการผลิต

      ทั้งนี้ เบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะบ่อน้ำมันสหรัฐ รายงานว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐในสัปดาห์ที่แล้ว มีจำนวนเพิ่มขึ้น 4 แท่น สู่ระดับ 529 แท่น ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 10 ติดต่อกัน

     ด้านนักวิเคราะห์จากธนาคารบาร์เคลย์สคาดการณ์ว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐ จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 850-875 แท่นในปลายปีนี้

      ราคาน้ำมันที่ร่วงลงอย่างหนักนั้น ได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย โดยหุ้นเซาเทิร์น เอนเนอร์จี ร่วงลง 4.9% หุ้นแรนจ์ รีซอสเซส ดิ่งลง 4.3% และหุ้นเดวอง เอนเนอร์จี ร่วงลง 4.3%

     หุ้นแมคโดนัลด์ ปรับตัวลง 0.3% หลังจากบริษัทประกาศขายหุ้น 80% ของธุรกิจฟาสต์ฟู้ดในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง ให้แก่กลุ่มบริษัทที่นำโดยซิติก กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลจีน ในข้อตกลงวงเงิน 2.1 พันล้านดอลลาร์

     อย่างไรก็ตาม ดัชนี NASDAQ ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มสุขภาพ โดยหุ้นเมอร์ริแมค ฟาร์มาซูติคอล พุ่งขึ้น 1.9% หลังจากบริษัทตัดขายสินทรัพย์บางส่วน ซึ่งรวมถึงธุรกิจยารักษาโรคมะเร็งตับอ่อน ให้กับบริษัทอินเพน เอสเอ ซึ่งเป็นบริษัทยาของฝรั่งเศส ในวงเงินสูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์

     ขณะที่หุ้นเซอร์จิคอล แคร์ พุ่งขึ้น 16.2% หลังจากมีรายงานว่าบริษัทยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป ได้ตกลงซื้อกิจการเซอร์จิคอล แคร์ มูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ ปรับตัวลง 0.3%

    นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน และแบงก์ ออฟ อเมริกา

   นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนธ.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค.,  ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

  อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!