WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

bull market ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นแต่อาจมีขายทำกำไร เฟดมีแนวโน้มขึ้นดบ.ค่อยเป็นค่อยไป

      นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ยังมองเป็นบวกอยู่ เพียงแต่ระหว่างทางอาจจะย่อตัวลงได้บ้างจากแรงขายทำกำไรหลังจากที่ดัชนีฯได้ปรับตัวขึ้นไปมากพอควรแล้ว เนื่องจากรายงานผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงให้เห็นว่าเฟดยังคงจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ก็ปรับตัวขึ้นมา โดยวันนี้อาจได้เห็นกลุ่ม Commodity เข้ามาหนุนตลาดฯ

     อย่างไรก็ดี ให้ติดตามตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯในคืนวันศุกร์นี้ ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อของไทยที่ปรับตัวสูงขึ้นแต่ก็ยังอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้

      ทั้งนี้ วันนี้อาจเป็นวันแรกที่ทางกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จะขายบางส่วนออกมา ซึ่งเฉลี่ยรอบนี้ที่จะขายออกมาก็ประมาณ 5-6 พันล้านบาท ดังนั้น ตลาดฯยังมี Upside เพียงแต่อาจมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง

     พร้อมให้แนวรับ 1,558-1,550 จุด ส่วนแนวต้าน 1,570-1,580 จุด

      ขณะที่บทวืเคราะห์ของ บล.ทรีนิตี้ มองว่า จากรายงานการประชุมเฟดรอบล่าสุดจะเห็นได้ว่าคณะกรรมการยังคงกังวลกับความไม่แน่นอนของนโยบายการคลังในช่วงถัดไป ซึ่งหมายความว่าจะทำให้นโยบายการเงินของเฟดมีความไม่แน่นอนสูงไปด้วย

       อย่างไรก็ดี พอจะคาดเดาได้ว่าในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ คงจะยังไม่เห็นผลกระทบทางนโยบายการคลังมาสักเท่าไหร่ ซึ่งหมายความว่าเฟดน่าจะยังไม่มีแรงกดดันที่จะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 6 เดือนแรกนี้ เราคงมุมมองเดิมว่าด้วยส่วนผสมของคณะกรรมการ FOMC ที่มีมุมมอง Dovish เป็นส่วนใหญ่ จะทำให้เฟดไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเกิน 1 ครั้งในช่วงครึ่งปีแรก และไม่เกิน 3 ครั้งตลอดทั้งปี 2560 นี้

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

     - ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (4 ม.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,942.16 จุด เพิ่มขึ้น 60.40 จุด (+0.30%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,477.00 จุด เพิ่มขึ้น 47.92 จุด (+0.88%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,270.75 จุด เพิ่มขึ้น 12.92 จุด (+0.57%)

     - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 7.94 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 0.88 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 168.17 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 4.40 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 0.12 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 20.16 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.52 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 20.91 จุด

   - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (4 ม.ค.60) 1,563.58 จุด เพิ่มขึ้น 20.64 จุด (+1.34%)

      - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,222.00 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 ม.ค.60

     - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (4 ม.ค.60) ปิดที่ 53.26 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 93 เซนต์ หรือ 1.8%

    - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (4 ม.ค.60) ที่ 6.90 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

    - เงินบาทเปิด 35.80/82 แนวโน้มยังแข็งค่า ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ

     - ครม.เห็นชอบแก้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน บังคับอายุ 60 ปีเกษียณถือเป็นเลิกจ้าง บีบนายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยสูงสุด 10 เดือน บังคับใช้ พ.ค.นี้

      - กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) ของไทยในเดือน ธ.ค. 2559 เงินเฟ้อมีค่าเท่ากับ 106.93 เพิ่มขึ้น 0.13% เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย. 2559 และสูงขึ้น 1.13% เมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค. 2558 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 25 เดือน นับจากเดือน พ.ย. 2557 ที่เพิ่มสูงขึ้น 1.26% ส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ย ทั้งปี 2559 สูงขึ้น 0.19% เมื่อเทียบกับปี 2558

     - ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (นาโนไฟแนนซ์) ในเดือน ต.ค.59 ว่า มีจำนวนบัญชีผู้ใช้สินเชื่อรวม 4.24 หมื่นบัญชี เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนที่มี 4,134 บัญชี เพิ่มขึ้น 3.83 หมื่นบัญชี หรือ 926% ยอดสินเชื่อคงค้างรวม 1,059 ล้านบาท เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนมียอดสินเชื่อ 74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 985 ล้านบาท หรือ 1,331% เฉลี่ยแล้วได้กู้ประมาณ 2 หมื่นบาท/ราย แม้อัตราการโตจะสูง แต่ยอดสินเชื่อรวมยังต่ำ ทั้งที่โครงการดำเนินมา 2 ปีแล้ว

      - นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริการปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์ปี 2560 จะเป็นไปในทิศทางบวกจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่น รวมถึงความชัดเจนทางการเมืองที่จะมีการเลือกตั้ง

     - สถิติการประกอบและขยายกิจการโรงงาน (ร.ง.4) ในช่วง 12 เดือนของปี 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 5,215 โรงงาน ลดลง 4.66% คิดเป็นเงินลงทุน 4.78 แสนล้านบาท ลดลง 21.12% หรือ 1.2 หมื่นล้านบาทเทียบกับปีก่อนมีจำนวนโรงงานทั้งสิ้น 5,470 โรงงาน มูลค่าลงทุน 6.06 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

     - ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชให้เปิดตลาดเสรีนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (ดับเบิ้ลยูทีโอ) คราวละ 3 ปี (2560-2562) ไม่จำกัดปริมาณ อัตราภาษีนำเข้า 0% และให้เปิดตลาดเสรีนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้กรอบการค้าอื่น ได้แก่ AFTA FTA และ ACMECS ให้เป็นไปตามข้อผูกพัน โดยคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเป็นผู้กำหนดแนวทางและมาตรการบริหารการนำเข้า ซึ่งนายกฯ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหาแนวทางการเพิ่มผลผลิตของถั่วเหลือง ด้วยการส่งเสริมการปลูกแบบเกษตรแปลงใหญ่

*หุ้นเด่นวันนี้

      - BANPU (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดกำไร 2560 เติบโตแข็งแกร่ง จากราคาถ่านหินที่สูงขึ้นจนพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร อีกทั้งราคาถ่านหินทุก 5 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จะเพิ่มกำไร 1.5 พันล้านบาท อีกทั้งผลการดำเนินงานปัจจุบันผันผวนน้อยลงจากการมีธุรกิจไฟฟ้า (BPP)

     - UNIQ (ไอร่า)เป้า 30 บาท คาดการเปิดประมูลโครงการต่างๆ ภาครัฐทยอยเกิดขึ้นต่อเนื่องในปี 60 เบื้องต้นคาดมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.45 ล้านล้านบาท โดย UNIQ มีความสามารถในการทำกำไรโดดเด่นสุดในกลุ่ม แม้ระดับ Backlog และรายได้งานก่อสร้างจะอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับ ITD, CK และ STEC แต่ภายใต้โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างปัจจุบัน 7 โครงการ  ทำให้ควบคุมได้ทั้งคุณภาพและต้นทุนส่งผลให้ความสามารถทำกำไรดีและสูงต่อเนื่อง GPM เฉลี่ย 17% และ NPM เฉลี่ยประมาณ 7%

      - ASEFA (กรุงศรี) เป้า 9.3 บาท คาด Backlog ยังแข็งแกร่ง 1.9 พันล้านบาท และคาดกำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ใน Q4/59 จะหนุนให้กำไรสุทธิทั้งปี 59 สูงขึ้น 6% พร้อมประมาณการกำไรปี 60 ของผู้บริหารเป็นไปในทิศทางเดียวกับสมมติฐานของเรา โดยบริษัทได้เลื่อนกำหนดเสร็จของสำนักงานขายใหม่ 10 แห่งทั่วประเทศไปเป็น Q1/60

     - AOT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 460 บาท แม้นักท่องเที่ยวจีนจะลดลงแบบเดือนต่อเดือน 3 เดือนติดต่อกันหลังการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นในเดือน พ.ย.โดยคาดกำไรของ AOT +8% Y-Y เร่งตัวจากปีก่อนที่ +5% Y-Y ส่วนการแตกพาร์เหลือ 1 บาทจาก 10 บาท จะช่วยให้สภาพคล่องหุ้นดีขึ้น (ยังไม่กำหนดวัน รอประชุมผู้ถือหุ้น 27 ม.ค.นี้)

      - LIT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 14 บาท ได้ประโยชน์โดยตรงจากการลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่มีมากขึ้นในปี 60 เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มาจากธุรกิจก่อสร้าง วางระบบ และตกแต่งอาคาร แม้ผู้บริหารจะให้เป้าสินเชื่อและรายได้ปี 60 ในเชิงรุก แต่ไม่น่ากังวลเริ่องเพิ่มทุนเพราะเป้า D/E 4 เท่าทำให้ขยายธุรกิจได้อีกมาก โดยคาดกำไรปีนี้ +24% Y-Y และเชื่อว่าจะรักษาการเติบโตกว่า 20% ได้ถึงปี 63

ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นเช้านี้ ขานรับรายงานการประชุมเฟด

      ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกเมื่อคืน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค. โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวรวดเร็วขึ้นเนื่องจากมาตรการกระตุ้นการคลังของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ

     ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,602.10 จุด เพิ่มขึ้น 7.94 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,157.91 จุด ลดลง 0.88 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,302.64 จุด เพิ่มขึ้น 168.17 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,282.56 จุด ลดลง 4.40 จุด

     ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,045.52 จุด ลดลง 0.12 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,941.47 จุด เพิ่มขึ้น 20.16 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,647.99 จุด เพิ่มขึ้น 0.52 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,051.86 จุด เพิ่มขึ้น 20.91 จุด

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : แรงซื้อหุ้นกลุ่มสร้างบ้านหนุนฟุตซี่ปิดบวก 11.85 จุด

     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (4 ม.ค.) โดยดัชนี FTSE 100 ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดต่อเนื่อง 5 วันทำการ ด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารและหุ้นกลุ่มบริษัทสร้างบ้าน

      ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดเพิ่มขึ้น 11.85 จุด หรือ 0.17% แตะที่ 7,189.74 จุด

     หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น โดยหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ พุ่งขึ้น 1.5% หุ้นบาร์เคลย์ส เพิ่มขึ้น 1.3% และหุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เพิ่มขึ้น 0.8%

      หุ้นกลุ่มบริษัทสร้างบ้านปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งด้วยแรงหนุนจากข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ที่สดใส โดย Markit/CIPS เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการก่อสร้างเดือนธ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 54.2 ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตรารวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2559

      หุ้นบาร์แรตต์ เดเวลลอปเมนต์ส ทะยานขึ้น 4.1% และหุ้นเทย์เลอร์ วิมปีย์ พุ่งขึ้น 3.8%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : หุ้นยุโรปปิดเกือบทรงตัว ขณะหุ้นค้าปลีกร่วงหนัก

      ตลาดหุ้นยุโรปปิดเกือบทรงตัวเมื่อคืนนี้ (4 ม.ค.) โดยหุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลงหลังจากบริษัทเน็กซ์ พีแอลซี เปิดเผยผลประกอบการที่ย่ำแย่ อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงหนุนจากรายงานที่ว่า ดัชนีภาคการผลิตและภาคบริการของยูโรโซนมีการขยายตัวได้ดีในเดือนธ.ค.

      ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.1% ปิดที่ 365.26 จุด

     ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,584.31 จุด เพิ่มขึ้น 0.07 จุด หรือ +0.00% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,899.40 จุด เพิ่มขึ้น 0.07 จุด หรือ +0.00% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,189.74 จุด เพิ่มขึ้น 11.85 จุด หรือ +0.17%

     ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยบวกหลังจากมาร์กิต อิโคโนมิคส์ ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีรวมภาคการผลิตและภาคบริการของยูโรโซนในเดือนธ.ค.อยู่ที่ระดับ 54.4 ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากระดับ 53.9 เมื่อเดือนพ.ย.

     รายงานของมาร์กิตระบุว่า ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการยูโรโซนได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าตัวเลขเบื้องต้น นำโดยกิจกรรมในภาคการผลิต ส่วนภาคบริการได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งเช่นกัน สำหรับประเทศสมาชิกยูโรโซนที่เศรษฐกิจขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดได้แก่ สเปน ตามมาด้วยเยอรมนี

     หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น หลังจากนักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยหุ้นเครดิต สวิส พุ่งขึ้น 3.5% หุ้นยูบีเอส กรุ๊ป ดีดขึ้น 2.5% และหุ้นดอยซ์แบงก์ พุ่งขึ้น 3.1%

     อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง หลังจากบริษัทเน็กซ์ พีแอลซี ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกสินค้าแฟชั่นรายใหญ่ของอังกฤษ เปิดเผยยอดขายลดลงและยังได้ปรับลดคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการในปี 2560 ทั้งนี้ หุ้นเน็กซ์ ร่วงลง 14% หุ้นมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ดิ่งลง 6.1% หุ้นเบอร์เบอร์รี่ กรุ๊ป ร่วงลง 2.1%

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 60.40 จุด หลังเฟดเผยรายงานการประชุม

   ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (4 ม.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค. โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวรวดเร็วขึ้นเนื่องจากมาตรการกระตุ้นการคลังของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งอาจทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วขึ้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มรถยนต์ หลังจากบริษัทรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) และฟอร์ด มอเตอร์

      ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,942.16 จุด เพิ่มขึ้น 60.40 จุด หรือ +0.30% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,477.00 จุด เพิ่มขึ้น 47.92 จุด หรือ +0.88% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,270.75 จุด เพิ่มขึ้น 12.92 จุด หรือ +0.57%

     ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกัน 2 วันทำการ โดยปัจจัยล่าสุดที่หนุนตลาดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ มาจากรายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค.ของเฟดที่ระบุว่า แม้นโยบายต่างๆของนายทรัมป์ยังไม่มีความแน่นอนในขณะนี้ แต่ก็คาดว่านโยบายกระตุ้นการคลังของนายทรัมป์จะส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะผลักดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้นด้วย และสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่รวดเร็วขึ้น

     นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์โวยา ไฟแนนเชียลกล่าวว่า รายงานการประชุมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า คณะกรรมการเฟดมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ และพร้อมที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจในวันข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดได้ออกแสดงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐในการประชุมเมื่อเดือนธ.ค.ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการเติบโตจนใกล้บรรลุเป้าหมายการผลักดันการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ

      หุ้นกลุ่มรถยนต์ดีดตัวขึ้น ซึ่งนับเป็นอีกปัจจัยที่หนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกด้วย โดยหุ้นจีเอ็ม ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 5.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น 10% ขณะที่หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ พุ่งขึ้น 4.6% หุ้นเทสลา มอเตอร์ส ปรับตัวขึ้น 4.6%

     หุ้น Amazon.com ปรับตัวขึ้น 0.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่แข็งแกร่งในช่วงเทศกาลวันหยุด

     หุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน พุ่งขึ้น 7.6% โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของราคาโลหะทองแดง

     นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนธ.ค.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนธ.ค.โดยมาร์กิต และดัชนีภาคบริการเดือนธ.ค.โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)

     ส่วนในวันพรุ่งนี้ ทางการสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนธ.ค., ยอดนำเข้า,ส่งออก และดุลการค้าเดือนพ.ย. และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ย.

      อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!